ตอนที่12 ตอบตกลง

1785 Words
เมื่อได้ไปพูดสิ่งที่ต้องการพร้อมกับการรับปากจากอีกฝ่าย นั่นจึงเป็นโอกาสของเธอที่จะพูดบางอย่างออกไป เพื่อให้ตัวเองได้พื้นที่หายใจหายคอกลับมาอีกครั้งกับการไม่มีพ่อแม่อยู่ใกล้ ๆ ดูเหมือนเป็นลูกไม่รักดีนะ แต่ใครไม่อยู่ในจุดของเธอไม่เข้าใจหรอกว่าการที่เราคิดและตัดสินใจอะไรไม่ได้เวลามีพ่อแม่อยู่ด้วยมันอึดอัดแค่ไหน ชีวิตของเธอจะเป็นของเธอก็แค่ตอนที่เธออยู่ห่างจากพ่อแม่เหมือนที่ผ่านมาเท่านั้น “พ่อกับแม่กลับบ้านก่อนนะคะ” เธอพูดกับพ่อแม่ตัวเองขึ้นหลังจากกลับมาถึงห้อง “ทำไม พ่อกับแม่อยู่ที่นี่ไม่ได้งั้นเหรอ” บัวตองถามลูกสาวขึ้นอย่างไม่พอใจ “พ่อกับแม่ต้องทำงานไม่ใช่เหรอคะ อีกอย่างจะอยู่หรือกลับยังไงก็ต้องรอหลังหนูสอบเสร็จ” เพราะฉะนั้นขอร้องเถอะให้เธอได้อยู่คนเดียวและแก้ปัญหาในส่วนของตัวเองได้ได้หรือเปล่า “ทั้งที่พ่อกับแม่ไว้ใจพลับมาตลอด พ่อไม่คิดเลยว่าพลับจะทำแบบนี้” ธวัชพูดอย่างผิดหวังก่อนจะเข้าห้องที่เขาใช้พักไปเพื่อเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านเพราะเห็นแก่ลูกสาวที่กำลังจะสอบ “.....” พลับพลึงได้แต่นั่งเงียบอย่างไม่ปฏิเสธว่าตัวเองทำให้พ่อแม่ผิดหวังเสียใจ แต่เธอก็ไม่สำนึกหรอกนะเพราะสิ่งนี้สำหรับเธอมันไม่ได้ผิดบาปอะไรเลยสักนิด แต่เพราะคำว่าลูก เธอถึงได้ยอมทุกอย่างแม้แต่สิ่งที่ไม่เห็นด้วยอย่างการหมั้นหมายรับผิดชอบอะไรแบบนี้ “ครั้งนี้พ่อกับแม่ยอมให้ครั้งเดียวนะพลับ หลังสอบเสร็จเราต้องรีบกลับบ้านพร้อมกับผู้ชายคนนั้นและครอบครัว” เพราะกระเป๋าไม่ได้เอาของออกทำให้เก็บไม่นานก็เรียบร้อยทำให้พ่อของเธอที่ลากกระเป๋าออกมาเป็นสัญญาณว่าจะกลับแต่ไม่ลืมพูดย้ำกับเธออีกครั้ง “ค่ะ” เธอตอบรับออกไปอย่างที่ไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยตอนนี้ปล่อยให้เป็นแบบนี้ก่อนแล้วกัน หลังจากพ่อแม่กลับไปแล้วเธอก็นั่งอยู่กับความคิดของตัวเองนานสองนาน คิดว่าสิ่งที่เธอทำมันผิดมากจริง ๆ เหรอ สิ่งที่เธอทำมันทำให้พ่อแม่ถึงกับผิดหวังขนาดนั้นเหรอ เธอแค่อยากมีความรักตามวัยของเธอ เธอแค่อยากทำอะไรแบบที่อยากทำโดยที่เธอก็ดูแลตัวเองอย่างดีและก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตก แต่ทำไมพ่อแม่ของเธอถึงต้องเอาความหวังทั้งหมดมาผูกกับความหวังอย่างใดอย่างหนึ่ง พอทำผิดต่อความคิดของพวกเขาหนึ่งอย่างก็ได้รับความรู้สึกแย่ ๆ จากพวกเขากลับมา พอทำผิดจากความคิดพวกเขาก็กลายเป็นความผิดทั้งที่บางมุมก็ไม่ได้ผิด แต่มันแค่ผิดจากความคิดพวกเขาเท่านั้น เมื่อคิดอะไรไม่ตกสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจโทรออกไปหาหินผาเพื่อคุยเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่เธอรู้ว่าเขารู้สึกไม่พอใจและรู้สึกแย่แค่ไหน (อืม) ปลายสายกดรับสายพร้อมกับกรอกเสียงกลับมาสั้น ๆ “พี่ผาอยู่ไหน พลับมีเรื่องอยากคุยด้วย” เธอไม่รอช้าบอกเขาออกไป (พ่อแม่เธอล่ะ) คำถามพร้อมคำเรียกขานที่ห่างเหินทำให้เธอเห็นแล้วว่าเขาไม่พอใจมากจริง ๆ ไม่พอใจสิ่งที่พ่อแม่เธอทำจนพาลมาถึงเธอ “กลับแล้ว” เสียงของเธอแผ่วเบาขึ้นจากน้ำเสียงเย็นชาห่างเหินของเขา (อืม เดี๋ยวไป) หินผาพูดแค่นั้นก็วางสายไปทันที นั่นทำให้พลับพลึงได้แต่มองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยหัวใจที่เต้นระรัวอย่างไม่สบายใจเลยสักนิด เธอนั่งอยู่กับตัวเองแบบนั้นอย่างหวาดหวั่นเฝ้ารอการมาของหินผา และทุกวินาทีที่เวลาเดินไปมันทำให้เธอคิดไปต่าง ๆ นานาไม่หยุดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากเธอได้เจอกับเขา เราสองคนจะมีประโยคสนทนาอะไรบ้างแล้วประโยคพวกนั้นจะเป็นไปในทางไหนกัน ‘พลับหวังว่าพี่จะเห็นใจพลับเหมือนกันนะ” ติ่งต่อง เสียงออดหน้าห้องดังขึ้นทำให้พลับพลึงรีบลุกไปที่ประตูอย่างไม่รอช้า พอเปิดออกมาก็เป็นเขาจริง ๆ เธอหลีกทางให้เขาเดินเข้ามาก่อนจะดันประตูปิดและตามเขามานั่งที่โซฟาตัวเดียวกัน “ถ้าฉันไม่คิดจะทำตามที่พ่อแม่เธอต้องการ” หินผาพูดขึ้นเป็นคนแรก พูดด้วยคำแทนตัวที่เปลี่ยนไปอย่างเย็นชาเห็นได้ชัด “พี่ผาคิดว่าพลับอยากให้เป็นแบบนี้เหรอคะ” เธอย้อนถามเขากลับไปอย่างลำบากใจไม่น้อย “แล้วยังไง สุดท้ายเธอก็ทำให้พ่อแม่เธอฟังคำพูดของเธอไม่ได้” ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นความลำบากใจของเธอ แต่เธอควรทำอะไรได้มากกว่านี้ “พี่ผารู้ไหมว่าถ้าพี่ผาไม่รับทำเหมือนที่พ่อแม่พลับต้องการพลับจะต้องเจอกับอะไร” เธอเห็นความเย็นชาและไม่ยินดีจากเขาก็ถามขึ้น ก่อนจะบอกให้เขารู้ “พลับจะต้องถูกย้ายกลับไปเรียนมหาลัยใกล้บ้าน พลับจะยิ่งถูกจับตามองชีวิตส่วนตัวมากกว่าเดิม พลับจะไม่มีโอกาสมีความรักในวัยเรียนได้อีก” เธอไม่ได้พูดเกินจริง เธอรู้ว่าถ้าเขาไม่รับผิดชอบพ่อแม่เธอจะต้องผิดหวัง แล้วความเป็นห่วงที่จะเกิดขึ้นอย่างที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นการซ้ำเติมก็จะตามมา ‘เห็นหรือยังว่าสิ่งที่ทำเป็นยังไง’ ‘เชื่อหรือยังว่าที่พ่อแม่สอนมันคือเรื่องจริง’ หรืออีกมากมายที่เธอรู้ว่าจะต้องตามมา แต่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่รู้เลยว่าบางครั้งจุดแตกหักที่เธอได้รับก็มาจากการบีบบังคับของตัวพ่อแม่เองนั่นแหละ “หรือจริง ๆ แล้วเธอก็เต็มใจที่จะให้เป็นแบบนี้” ในเมื่อเธอรักเขาหากได้ครอบครองเขาก็ไม่ผิดที่จะดีใจ “พี่ผาคิดว่าพลับเป็นแบบนั้นจริงเหรอ” เธอหันไปมองหน้าเขาแล้วถามออกมาอย่างผิดหวังที่เขาไม่ได้รู้จักเธอเลยสักนิด มองว่าเธอใช้โอกาสนี้จับเขา “ถ้าพี่ผาเห็นพลับเป็นแบบนั้นก็ไม่ต้องรับผิดชอบหรอก ที่เหลือพลับรับผิดชอบสิ่งที่ตามมาเองได้” เมื่อพูดจบเธอก็ทำได้เพียงลุกเดินเข้าห้องนอนไปอย่างทำอะไรไม่ได้ ลุกไปทั้งน้ำตาที่สุดท้ายก็ไม่ได้มีใครเข้าใจเธอเลยสักคน ทั้งที่เธอเข้าใจความลำบากใจของเขา ทั้งที่เธอเข้าใจว่าการถูกบีบบังคับในเวลาที่ไม่ต้องการมันเป็นยังไง แต่เขากลับไม่ต่างจากพ่อแม่ของเธอที่ไม่ได้เข้าใจเธอ และเลือกจะเข้าใจตัวเองเพียงฝ่ายเดียว หินผาได้ยินแบบนั้นก็ทำได้เพียงนั่งเงียบ ๆ อย่างไม่ได้ตามเธอไป ถ้าถามความคิดของเขาแน่นอนว่าเขารู้สึกกับความเป็นอยู่กับพลับพลึงแบบที่ผ่านมาอย่างไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกดีจนยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากพ่อแม่เธอแบบนี้ ชีวิตคน ๆ หนึ่งต้องจบลงและหยุดลงเพียงเพราะเซ็กส์แค่นั้นเหรอ มีใครบ้างที่ชอบ บางครั้งเซ็กส์ก็คือการเรียนรู้หนึ่งของการคบหากัน แต่ทำไมบางคนถึงเอาเซ็กส์มาเป็นตัวยุติเส้นทางชีวิตและจบลงด้วยคำว่าแต่งงานหรือทำให้ถูกต้องทั้งที่มันไม่ได้ผิดด้วยซ้ำ สุดท้ายหินผาก็ตัดสินใจลุกออกจากห้องของพลับพลึงไปและขับรถกลับห้องตัวเองอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะต่อสายหาพ่อของเขา “หลังสอบพ่อก็ติดต่อไปเรื่องพวกนั้นก็แล้วกัน” เขาบอกความต้องการของตัวเองออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้ (อืม ดีแล้วที่แกทำแบบนี้) คำตอบของพ่อเขารู้ว่าหมายถึงอะไร เขารู้ว่าพ่อไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ของบ้านนั้น แต่พ่อก็อยากยอมรับเพื่อเขา “ผมก็อยากลองดู” ลองดูว่าเขาจะสามารถรู้สึกอะไรได้มากน้อยแค่ไหน หลังจากไม่เคยรู้สึกมานานจนแทบจำไม่ได้ (มันเป็นผลดีต่อตัวแกเอง พ่ออยากให้แกพยายามสักครั้ง) “ครับ” เขาตอบรับออกมาอย่างเข้าใจพ่อดี สองอาทิตย์แล้วตั้งแต่วันนั้นที่คุยกันในห้องเธอเป็นครั้งสุดท้ายก็ไร้การติดต่อจากเขา สองอาทิตย์แล้วเธอเห็นเขาครั้งสองครั้งในมหาลัยเท่านั้น “ฉันบอกแล้วว่าอย่ามั่นหน้าให้มาก สุดท้ายก็ถูกเขี่ยทิ้ง!” น้ำเสียงเยาะเย้ยเหยียดหยามดังขึ้นอย่างสะใจไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่พวกเธอคิด การไร้เงาหินผามารับมาส่งแม้แต่วันเดียวภายในสองอาทิตย์อย่างที่เคยเป็นมา “คงคิดว่าได้เป็นตัวจริงไปแล้ว สุดท้ายก็แค่ตัวตลก!” ไปรยาเสริมเพื่อนด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยอย่างมาก “อีพวกที่ได้คืนเดียวแล้วเขาไม่เอาจนพาลไปทั่วแบบนี้ก็น่าอายดีนะ!” ใบหม่อนพูดขึ้นอย่างไม่ไว้หน้าทันที “ก็แน่ล่ะ เพราะได้แค่คืนเดียวแล้วเขาไม่เอาไงเลยอิจฉาไปทั่ว พอเห็นคนอื่นได้คบก็แขวะไม่หยุด” ซีนพูดเสริมออกมา “ได้คบ? ที่พูดนี่มั่นใจแล้วเหรอว่าเขาเห็นเธอเป็นแฟน พี่ผาไม่เคยคบใครเป็นแฟนไม่รู้เหรอ” เรนนี่พูดขึ้นอย่างที่รู้ดี “งั้นเหรอ ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วแกจะระรานคนอื่นเพื่อ? หรือเพราะกลัวพลับเป็นคนแรกที่พี่ผาคบเป็นแฟนเลยรับไม่ได้?” ใบหม่อนเถียงกลับไปอีกครั้ง “ช่างเถอะ อย่าเสียเวลาเลย” เธอไม่อยากให้เพื่อนต้องมาออกหน้าทะเลาะแทนเธอแบบนี้ เพราะตอนนี้เธอก็เหนื่อยกับปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่มากพอแล้ว “อย่าสนใจเลย” เธอส่ายหัวบอกเพื่อนออกไปอีกครั้งด้วยรอยยิ้มบาง ๆ เป็นการบอกว่าไหว ไม่ไหวที่บอกไหวนั่นแหละ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD