ร่างกายที่แทบไม่ได้ใช้งานหนักแต่กลับเหนื่อยล้าและหนักอึ้งจนทำให้เธอไม่อยากขยับเลยสักนิด แต่ที่แย่กว่านั้นคือพอกลับมาถึงห้องยังไม่ทันได้นั่งหายเหนื่อยก็เจอกับสายเรียกเข้าที่ทำให้เธอได้แต่ถอนหายใจออกมาแต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากกดรับสาย
“ค่ะแม่” คนที่ทำให้เราเหนื่อยได้ที่สุดก็คือคนที่มีอิทธิพลต่อเราที่สุด นั่นจึงไม่ผิดที่พ่อแม่จะทำให้เธอเหนื่อยใจได้ขนาดนี้
(ใกล้สอบแล้วใช่ไหม) ปลายสายถามอย่างรู้ดี รู้ตารางช่วงเวลาของเธออย่างดีตั้งแต่เทอมแรกจนเทอมนี้
“ค่ะ” แม้อยากจะปิดบังเพราะไม่อยากตอบคำถามเรื่องนั้นแต่รู้ดีว่าโกหกไม่ได้จึงทำได้เพียงยอมรับออกไป
(ถ้าเป็นไปได้สอบเสร็จก็กลับบ้านเลย กลับมาพร้อมกับผู้ชายคนนั้นก่อนได้ยิ่งดี) คำสั่งดังขึ้นอีกครั้งโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้เลยว่าลูกตัวเองยังหนักใจกับเรื่องนี้อยู่
“พลับยังไม่แน่ใจว่าจะหมั้น...”
(ไม่แน่ใจอะไรอีก! พลับไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเรื่องที่ตัวเองก่อขึ้นนะ ที่สำคัญฝ่ายนั้นเขาตกลงเรียบร้อยแล้วจะมาทำเป็นเล่นแบบนี้ไม่ได้!) เสียงของแม่เธอแทรกดังขึ้นกับคำพูดของเธอ แต่ประโยคนี้กลับทำให้เธอชะงักไปไม่น้อย
“พ่อพี่ผาโทรไปหาแม่แล้วเหรอคะ” เธอถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
(ก็ใช่น่ะสิ ยังดีนะที่คนพ่อยังมีความเป็นผู้ใหญ่รับผิดชอบสิ่งที่ลูกตัวเองทำ) แม่เธอบ่นถึงอีกฝ่ายก่อนจะพูดต่อโดยเข้าเรื่องของเธอ (ช่างเถอะ ตั้งใจสอบให้ดีแล้วรีบกลับบ้าน แล้วแม่หวังว่าเกรดเทอมนี้จะไม่ต่ำกว่าเทอมที่แล้วนะ)
คำสั่งซ้ำ ๆ ไม่ต่างกันตั้งแต่เรียนมัธยมต้นจนขึ้นมหาลัยก็คือเรื่องเกรดที่ห้ามต่ำกว่าเดิมมาตลอดดังขึ้น แต่กลับไม่เคยทำให้เธอชินเลยสักครั้งกับความกดดันคาดหวังพวกนี้
“ค่ะ” แต่เธอจะทำอะไรได้มากกว่าการตอบรับออกไปอย่างว่าง่ายในฐานะลูกที่มีชนักติดหลัง
(งั้นแค่นี้นะ)
“ค่ะ” เธอก็อยากให้เป็นแบบนี้มาตลอดเหมือนกันจึงตอบรับและต่างฝ่ายต่างวางสายไปก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้าอีกครั้ง
“ทำไมเทอมนี้เกรดตก เพื่อนพาไปเหลวไหลมาใช่ไหม!”
“แม่ พลับก็พลาดของพลับเองทำไมต้องโทษเพื่อนของพลับด้วยล่ะ” เธอได้แต่เสียงอ่อนอย่างทำอะไรไม่ได้กับความตำหนิที่ดังขึ้นพาดพิงบุคคลที่สาม
“ก็เพื่อนที่พลับคบมันใช้ได้ที่ไหน เป็นเด็กเป็นเล็กแต่กลับซ้อนรถกอดกันกับผู้ชาย ไม่รู้จักอายเลยสักนิด!”
“.....” ถ้าซ้อนรถจักรยานยนต์ไม่จับหรือเกาะคนหน้าไว้ก็ได้ตกพอดีสิ แต่เธอก็ทำได้เพียงคิดในใจแล้วเงียบอย่างไม่ตอบโต้อะไร
“แม่บอกแล้วให้เลิกคบเพื่อนพวกนี้ไป เด็กนิสัยแก่แดดมีแฟนในวัยนี้สุดท้ายเป็นยังไง!”
“เทอมหน้าพลับจะตั้งใจให้มากกว่านี้นะคะ” เธอทำได้เพียงพูดแค่เรื่องเกรดของตัวเองแล้วรีบเดินขึ้นห้องไปอย่างทำอะไรไม่ได้
และตอนนี้ที่เธอเรียนมหาลัยแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม เกรดเฉลี่ยห้ามต่ำกว่าเดิมเป็นอันขาด
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้คือเรื่องการหมั้นหมายของเธอกับหินผา เรื่องที่เขาไม่ได้พูดบอกอะไรเธอเลยทั้งที่พ่อของเขาโทรไปคุยกับครอบครัวเธอแล้วแท้ ๆ เพราะแบบนั้นทำให้เธอตัดสินใจโทรไปหาเขาอีกครั้งทั้งคิดถึงและอยากถามเรื่องนี้
(ตู๊ดดด...) เสียงปลายสายดังขึ้นโดยที่เธอก็เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ สองอาทิตย์แล้วที่เธอกับเขาไม่ได้คุยกันไม่ได้เจอหน้ากันและไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนที่ผ่านมา มันเป็นสองอาทิตย์ที่ทรมานสำหรับเธอมาก แต่เธอเผื่อใจไว้แล้วว่าทุกอย่างคงจบลงเพียงแค่นี้เพราะเขาไม่พอใจกับการถูกบีบบังคับจากครอบครัวเธอ
แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วเขาจะตอบรับการหมั้นหมาย แม้เธอไม่รู้ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
(.....) สัญญารอสายเงียบลงพร้อมกับเสียงแผ่วเบาที่แทบไม่ได้ยิน ทำให้พลับพลึงต้องดึงโทรศัพท์ออกจากหูและเห็นเวลาเริ่มเดินจึงรู้ว่าเขารับสายแล้ว
“พี่ผา” เธอกรอกเสียงเรียกเขาออกไปและเงียบลงกลั้นใจก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “มาคุยกันหน่อยได้ไหม”
หลังจากเธอพูดจบก็เงียบรอเขาหลายวินาทีที่เขาไม่พูดอะไร ไม่รู้เลยว่าเขาจะพูดอะไรกับเธอบ้างหรือเปล่า
(เรื่องอะไร) สุดท้ายปลายสายก็ตอบกลับมาสั้น ๆ
“ทำไมพี่ผา ถึงตกลงหมั้นกับพลับเหรอ” ในเมื่อดูท่าทีแล้วเขาไม่อยากมาหาเธอ เธอจึงถามออกไปจากสายแทน
(เดี๋ยวคนอื่นจะด่าพ่อเอา) เป็นคำตอบที่ทำให้เธอได้แต่ยกยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง เหตุผลที่ไม่ได้เกี่ยวกับเธอเลยสักนิด
“ไม่ว่าจะเพราะอะไร” เธอพูดขึ้นอย่างพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นแต่ก็ไม่ง่าย แต่ก็ยังฝืนพูดมันต่อ “ขอบคุณนะคะที่พี่ผาทำแบบนี้”
เพราะนี่ก็เป็นผลพลอยได้ของเธอไปด้วยที่จะไม่ต้องถูกซ้ำเติมและต่อว่า ไม่ต้องถูกจำกัดกรอบชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม
(.....) เขาเงียบอย่างไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก มันทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่อยากคุยกับเธอเลยสักนิด
“พลับไม่กวนแล้วค่ะ” พูดจบก็ถือหูรอหลายวินาทีหวังว่าเขาจะพูดอะไรออกมาบ้างแม้แต่ประโยคเดียว แต่สุดท้ายก็เป็นเขาที่เป็นฝ่ายวางไปก่อน
เธอมองหน้าจอที่ตอนนี้เหลือเพียงหน้ารายชื่อการโทรเข้าออกที่เธอกดเข้าล่าสุด เธอกดออกและเข้าไปยังอัลบั้มรูปภาพก่อนจะเปิดดูรูปที่เคยถ่ายไว้เมื่อไม่นานมานี้ รูปคู่ของเธอกับเขาที่ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะยอมถ่ายด้วย
“พี่ไม่ชอบถ่ายรูป ให้รูปเดียวนะ” คำพูดของเขาดังขึ้นอย่างใจอ่อนหลังจากเธออ้อนขอถ่ายนานสองนาน
“ได้ค่ะ” เธอตอบรับออกไปอย่างว่าง่าย แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่หนึ่งรูปอย่างที่เขาบอก และตัวเขาเองก็ยอมให้เธอถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำยังให้เธอส่งรูปที่ถ่ายไปให้และใช้ตั้งเป็นรูปเบอร์ของเธออีกด้วย
รูปที่ตอนนั้นเธอยิ้มอย่างมีความสุข และแม้เขาจะไม่ได้ฉีกยิ้มแต่แววตาของเขากลับอบอุ่นไม่น้อยตอนอยู่กับเธอ
ทั้งที่ความสัมพันธ์มันกำลังเป็นไปได้ด้วยดี แต่มันกลับแย่เพียงเพราะความคิดบีบบังคับของผู้ใหญ่ที่ทำให้เราไม่ได้เลือกอะไรในเวลาที่ตัวเราเองเหมาะสม เพราะแบบนั้นเธอไม่ได้โกรธหรือโทษเขาเลยสักนิดที่เขาจะรู้สึกแย่ เหมือนที่เธอก็รู้สึกแย่เหมือนกัน
แต่คนที่แทบจะเคยชินกับการถูกชี้นิ้วให้เดินตามทางที่พ่อแม่กำหนดไว้ให้อย่างที่นาน ๆ ทีจะกล้าขัดคำสั่งอย่างเธอ สุดท้ายหลังจากสอบเสร็จก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้เผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง เผชิญหน้าเพื่อกลับไปยังบ้านที่ต่างจังหวัดของเธอทำเรื่องหมั้นหมายให้ถูกต้องตามประเพณีและถูกในความคิดของพ่อแม่
“พี่ผากินข้าวหรือยัง” เขาเป็นฝ่ายขับรถมารับเธอเองที่คอนโด เธอทั้งดีใจ แต่ก็เผื่อใจว่าบางทีเมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยเขาคงจะใช้รถที่ขับไปขับกลับทันที
“ไม่หิว” เขาตอบกลับสั้น ๆ ก่อนจะใส่เกียร์เคลื่อนรถไปด้านหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรและไม่แม้แต่จะปรายตามองเธอเลย
“พี่ผา โกรธพลับใช่ไหมที่พลับปฏิเสธพ่อแม่ตัวเองไม่ได้” เธอไม่อยากทนอยู่ในความเงียบแบบนี้ เธออยากคุยกับเขาจึงเริ่มพูดออกไปและพูดต่อ “เพราะพลับรักพี่ผา การที่พลับปฏิเสธพ่อแม่ไม่ได้ มันเลยทำให้พี่ผามองว่าพลับอยากให้เป็นแบบนี้”
เพราะเขาคงคิดว่าความสุขของคนที่รักคือการอยากครอบครอง และไม่แปลกถ้าเธอจะอยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ในมุมของเขา
“.....” เขากลับเงียบไม่พูดอะไร
“ความรู้สึกดี ๆ ที่พี่ผาเคยมีให้พลับ มันเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม” เธอถามออกไปอีกครั้งด้วยความอยากรู้ ตอนนี้ไม่อยากรู้แล้วว่าเขาคิดยังไงต่อเธอ แต่อยากรู้ว่าเขารู้สึกยังไงต่อเธอมากกว่า
ตอนแรกไม่ได้รักเธอรู้ แต่เขาก็รู้สึกดีต่อเธอไม่น้อยเหมือนกันเธอสัมผัสได้
แล้วตอนนี้ล่ะ
“.....” เขากลับเงียบและมองไปข้างหน้าราวกับไม่ได้ยินคำถามของเธอ
สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงหันหน้าออกไปมองข้างทางกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าของตัวเองไว้ ไม่ให้ไหลออกมาแม้ว่ามันจะแอบหยุดลงมาแล้วก็ตาม
โทษเขาไม่ได้ เขาไม่ได้ผิดอะไร ผิดที่เธอไม่เคยบอกเล่าถึงความผิดเพี้ยนบางอย่างของครอบครัวตัวเอง ผิดที่ครอบครัวเธอยึดติดและเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางว่าสิ่งที่ถูกคือต้องทำ สิ่งที่ผิดคือต้องรับผิดชอบแก้ไข โดยไม่สนใจว่าสำหรับคนอื่นอาจไม่ได้ผิดหรือถูกเหมือนเรา
ไม่เป็นไร เพราะสุดท้ายก็ลูกอย่างเธอนี่แหละที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง โดยเฉพาะความรู้สึกของตัวเอง