“กูว่ามึงเปิดร้านเถอะเชื่อกู รุ่ง!”
“หลิน มึงอย่าเว่อได้ไหม” เมื่อได้ยินเพื่อนสนิทพูดเช่นนั้น ผมก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วส่ายหัวให้กับความเล่นใหญ่ของอีกฝ่าย หลังในช่วงเช้าของวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของเราทั้งคู่ ผมได้ชักชวนเธอให้มาเล่นที่ห้องของตัวเอง แล้วทำแกงส้มกุ้งใส่ผักรวมให้อีกฝ่ายได้ลองชิมเป็นครั้งแรก
“มึงงงงง แต่มันอร่อยมากเลยนะ ขนาดกูที่ไม่ชอบกินแกงส้มยังว่าอร่อยเลยอะ คิดดู” หลินตอบกลับมา พยายามโน้มน้าวให้ผมเปิดร้านขายอย่างเต็มที่
“….”
“จริง ๆ นะ มึงเป็นคนทำแกงส้มอร่อยอะแพรว ถ้าวันไหนเบื่อ ๆ ว่าง ๆ มึงก็หารายได้พิเศษแก้เหงาไง”
“เฮ้อ… ถ้ามันอร่อยอย่างที่มึงว่าจริง งั้นก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วกัน เพราะทุกวันนี้งานกูเยอะมาก” ผมว่า ไอ้เรื่องการหารายได้พิเศษผมก็อยากทำอยู่หรอก แต่จะให้มาเปิด ๆ ปิด ๆ ร้านเน้นเอาความสะดวกของตัวเองเป็นหลัก ลูกค้าที่ไหนจะมารอกัน ไหนจะรสชาติที่ยังไม่คงที่อีก ไม่แน่… หากทำครั้งหน้ามันอาจจะไม่อร่อยเหมือนอย่างครั้งนี้แล้วก็ได้ใครจะรู้
“ตามใจมึงแล้วกัน แล้วนี่ทำไมถึงนึกอยากทำแกงส้มอะ”
“อ—อ๋อ พอดีเมื่อคืนกูกดเข้าไปดูคลิปที่เขาสอนทำแกงส้มไง แล้วเห็นว่าวิธีมันไม่ได้ยุ่งยากมากนักก็เลยนึกอยากลอง”
“เหรอ แล้วทำไมมึงหน้าต้องแดงด้วย?” หลินถามต่ออย่างจับผิด ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรีบใช้มือทั้งสองข้างตะปบเข้าที่ข้างแก้มของตัวเองโดยพลัน จนทำให้อีกฝ่ายถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วพูดต่อ “มึงจะเล่นใหญ่ทำไมเนี่ย! กูก็แค่แซวเล่นเอง”
“อ—อ้าว ก็กูตกใจไง” ผมว่าเสียงอ่อน ก่อนจะรีบหันหลังให้อีกฝ่ายไปจัดการพวกเครื่องครัวทั้งหลายแหล่ที่ยังไม่เก็บเข้าที่ทันที
“กูว่าคืนนี้เราไปร้านนี้กันดีปะ? อยู่ใกล้คอนโดมึงด้วย” เสียงของหลินดังขึ้น ระหว่างที่เรากำลังนอนดูหนังด้วยกันอยู่คนละมุมห้อง
“ไหนมึงบอกว่าจะเริ่มเก็บเงินแล้ว” ผมถาม เพราะจำได้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะพูดเรื่องนี้ไปตอนที่เรากำลังนั่งกินแกงส้มกันแท้ ๆ ว่าจะเริ่มเก็บเงินเพื่อเตรียมซื้อรถคันแรกของตัวเองแล้ว
“ไว้วันอื่นแล้วกัน แต่วันนี้กูขอเที่ยวก่อน”
“เออ ให้มันได้แบบนี้สิ” เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ผมก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วลองกดค้นหาชื่อร้านที่หลินอยากจะไปในค่ำคืนนี้ดู เพื่อเช็กว่าใกล้คอนโดของผมที่เพื่อนว่า มันใกล้มากแค่ไหนกัน
ในทุกวันหยุดที่ไม่ได้มีธุระที่ไหน ผมก็มักจะทำแบบนี้อยู่เสมอ หากไม่ไปเล่นคอนโดเพื่อนก็มักจะชวนเพื่อนมาเล่นที่คอนโดของตัวเองเป็นประจำ ลองทำอาหารใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยทำให้เพื่อนได้ลองชิมบ้าง นอนดูหนังดูการ์ตูนด้วยกันบ้าง บางทีก็มีออกไปถ่ายรูปที่คาเฟ่ใหม่ ๆ บ้างและในบางครั้งก็มักจะออกไปดื่มกันบ้าง ตามประสาคนที่เพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ และยังไม่มีพันธะอะไรให้ต้องรับผิดชอบ
มันเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ จนกลายเป็นความเคยชินไปแล้วว่าผมจะต้องเจอกับเพื่อนทุกวันเสาร์
หลังเราตกลงกันได้แล้วว่าจะไปร้านที่หลินสนใจ เมื่อดูหนังเรื่องหนึ่งจบเธอก็ขอตัวกลับห้องของตัวเอง เพื่อไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ทันที โดยเราจะมาเจอกันอีกครั้งที่คอนโดของผมในช่วงสามทุ่มครึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยออกไปร้านนั่งชิลที่ว่านั้นพร้อมกัน
“ม—มึงกูว่าเราเปลี่ยนร้านกันดีปะ? ร้านนี้มันมืดอะ เดี๋ยวจะถ่ายรูปไม่สวยนะ” เมื่อเดินเข้าไปในร้านแล้ว ผมก็รีบพูดกับเพื่อนเสียงตะกุกตะกักทันที หลังความบังเอิญทำให้ผมได้เจอกับใครบางคนในร้านนี้
ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เจอเขา…
“ทำตัวแปลก ๆ นะมึง ปกติเราสนใจถ่ายรูปกันที่ไหน ถ้าไม่ได้ไปคาเฟ่อะ” หลินว่า พลางหันไปขอเล่มเมนูจากพนักงานทันที
“ก็วันนี้กูอยากถ่ายรูปด้วยไง กูว่าเราเปลี่ยนร้านกันเถอะนะ ๆ” ผมรบเร้า
“ถ้ามึงอยากถ่ายรูป เดี๋ยวเราค่อยไปถ่ายวันอื่นก็ได้มั้ง เพราะกูขอเล่มเมนูจากพนักงานไปแล้วเนี่ย” เธอไม่ว่าเปล่า แต่ยังทิ้งตัวลงนั่งอีกด้วย ทำเอาผมได้แต่หวีดร้องในใจ หลังรู้ตัวแล้วว่าตลอดทั้งคืนนี้ตัวเองจะต้องได้นั่งอยู่ในร้านเดียวกันกับคุณนภัทร
ตลอดการสั่งอาหารและนั่งรอ ผมก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีอย่างเห็นได้ชัด เพราะกำลังตบตีกับความคิดของตัวเองอยู่ว่าควรจะปฏิบัติตัวกับเหตุการณ์ในตอนนี้อย่างไรดี
ผมควรจะทำเป็นไม่เห็นเขาหรือควรจะเดินเข้าไปทักดี แต่ก็มีความคิดหนึ่งแย้งมาว่าตอนนี้คุณนภัทรกำลังคุยกับกลุ่มเพื่อนของตัวเองอยู่ มันคงไม่ดีแน่หากผมจะเดินเข้าไปทัก โดยในขณะที่ผมกำลังตบตีกับความคิดของตัวเองอยู่นั้น จู่ ๆ คุณนภัทรที่ไม่ทันเห็นผมในตอนแรก ก็หันมาเจอผมด้วยความบังเอิญพอดี
เราสองคนสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าให้กันเล็กน้อยคล้ายกับเป็นการทักทาย ซึ่งในเวลาต่อมาผมก็พยักหน้าตอบกลับไปบ้าง
โดยไม่ลืมที่จะส่งยิ้มจาง ๆ ให้อีกฝ่ายด้วย
“ใครวะ” หลินที่หันมองตามสายตาผม ถามขึ้นทันที
“ก็คุณนภัทรไง หัวหน้าแผนกที่กูเคยเล่าให้ฟัง” ผมตอบเสียงแผ่ว เพราะต้องการให้ได้ยินแค่เราเท่านั้น
“นี่คือคนที่ไอ้โก้ชอบแซวว่ามึงไปแอบชอบเขาอะนะ?”
“ใช่” ผมพยักหน้ารับ เมื่อหลินกำลังพูดถึงเพื่อนสนิทอีกคนที่มักจะจับผิดเสมอ เวลาที่ผมเล่าเรื่องหัวหน้าของตัวเองให้ฟัง จนทำให้ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยได้เล่าเรื่องพวกนี้ให้เพื่อนฟังอีกแล้ว
“หล่อจังวะ นี่ขนาดไฟในร้านสลัวนะเนี่ยแต่ความหล่อเขาชัดเจนมากเลยมึง แต่เดี๋ยวนะ…. มึง! เขาเป็นเพื่อนนายแบบเลยเหรอ”
“….”
“มึง! ใช่จริง ๆ ด้วย นั่นคือคุณไทระนี่”
“หลิน… กูขอร้องล่ะ มึงอย่าพูดเสียงดังได้ไหม เดี๋ยวเขาก็รู้หรอกว่าเรากำลังพูดถึงเขา” ผมรีบเอ็ดเพื่อนทันที หลังอีกฝ่ายหันกลับไปมองกลุ่มเพื่อนของคุณนภัทรอย่างสนใจ จนผมเกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว
“มึง กูตื่นเต้นอะ! เจ้านายมึงเป็นเพื่อนกับนายแบบดังเลยนะเว้ย ทำไมมึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้กูฟังเลย!”
“กูก็เพิ่งรู้พร้อมมึงนี่แหละว่าเขาเป็นเพื่อนกับคุณไทระ” ผมตอบกลับไป โดยปกติแล้วผมไม่ค่อยได้ตามวงการบันเทิงไทยเท่าไรนัก แต่เพราะคุณไทระกำลังโด่งดังมาก เดินไปทางไหนก็จะเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายตามสื่อโฆษณาต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ นั่นจึงทำให้ผมได้รู้จักอีกฝ่าย
“นี่เป็นครั้งแรกเลยอะที่ได้บังเอิญเจอกับคนดัง งั้นมึงรีบไปตีสนิทกับหัวหน้าตัวเองไว้เลยนะ เผื่อจะได้รู้จักกับคุณไทระด้วย อิอิ” พูดจบ หลินก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“อย่าเลย เพราะแค่เท่านี้ไอ้โก้ก็ชอบล้อกูแล้วว่ากูชอบหัวหน้าตัวเอง” ผมตอบกลับไปพลางส่ายหัวอย่างระอา หลังนึกไปถึงเพื่อนอีกคนที่ไม่ได้มาด้วย
ขณะที่กำลังนั่งจิบเบียร์แล้วพูดคุยกับเพื่อนอย่างออกรส ไม่รู้ทำไมสายตาของผมถึงได้ชอบหันไปมองกลุ่มของคุณนภัทรที่นั่งอยู่ห่างออกไปนัก อาจเพราะพวกเขาที่กำลังนั่งจับกลุ่มกันอยู่สี่ห้าคนโดดเด่นมากก็ได้ สายตาของผมถึงมักจะหันไปมองอยู่เรื่อย แล้วก็มักจะใจกระตุกทุกครั้งที่สายตาของตัวเองไปเผลอสบกับหนึ่งในสมาชิกที่นั่งอยู่ในกลุ่มนั้น
เพราะอีกฝ่ายเองก็มองมาทางผมอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน
“หน้าแดงอีกแล้ว นี่มึงเมาเบียร์หรือไง? ก็มันเป็นยี่ห้อเก่าที่เราเคยกินนะ” เสียงของหลินทำให้ผมได้สติ รีบผละสายตาออกจากคุณนภัทรโดยพลัน แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมยกมือขึ้นมาสัมผัสกับใบหน้าของตัวเอง
“หยอกเล่นอีกแล้วเหรอ” ผมถามเธอ
“อันนี้ไม่ได้หยอกเล่นจ้า แต่ตอนนี้หน้ามึงแดงแจ๋มากเลย” หลินไม่พูดเปล่า แต่ยังหยิบตลับแป้งของตัวเองออกมาส่งให้ เพื่อให้ผมได้ดูใบหน้าของตัวเองอีกด้วย
“อะไรเนี่ย…ทำไมกูหน้าแดงจังอะ ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ คิ้วเริ่มขมวด เมื่อเห็นว่าข้างแก้มและใบหูของตัวเองกำลังเป็นสีชมพูระเรื่ออย่างที่เพื่อนบอกจริง ๆ
“นี่มึงเขินเขาเหรอ?” หลินถามขึ้น ซึ่งคำถามของอีกฝ่ายก็ทำเอาผมถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะผละสายตาออกจากกระจกตรงหน้า แล้วทำทีจ้องหน้าหลินอย่างงุนงง
“….”
“คือกูเห็นมึงมองไปทางนั้นหลายรอบแล้วอะ คือมึงกำลังเขินหัวหน้าตัวเองเหรอ? งั้นแสดงว่าที่ไอ้โก้พูด….” ยังไม่ทันที่เธอได้พูดจบ ผมก็รีบพูดแทรกขึ้นเสียก่อน เพราะต้องการจะแก้ต่างให้ตัวเอง
“บ้า… กูมองนายแบบในโต๊ะนั้นต่างหาก”
การได้บังเอิญเจอคุณนภัทรพร้อมกับเพื่อนของเขาที่ร้านนั่งชิล มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการที่เราเผลอสบตากันอยู่บ่อย ๆ โดยหลังจากที่นั่งแช่อยู่ในร้านได้สักระยะผมกับหลินก็เป็นฝ่ายเดินออกมาจากร้านก่อน เพราะจะไปต่อที่ร้านอื่น ในขณะที่คุณนภัทรกับเพื่อนของเขาก็ยังคงนั่งคุยกันต่อ
“โอ๊ย… แจ้งเตือนอะไรนักหนาเนี่ย” ช่วงเช้าของวันถัดมา เสียงบ่นกระปอดกระแปดของผมก็ดังขึ้นทันที หลังแรงสั่นครืดและเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ที่ถูกวางทิ้งไว้ข้างหมอน กำลังรบกวนการพักผ่อนในช่วงวันอาทิตย์ของผมอย่างหนัก
โดยหลังจากที่ลืมตาขึ้นได้ ผมก็รีบคว้าโทรศัพท์มาเช็กแจ้งเตือนทั้งหลายแหล่นั้นทันที เพราะปกติแล้วมันไม่เคยแจ้งเตือนเยอะจนรบกวนการนอนของผมเช่นนี้ ก่อนที่ในเวลาต่อมาผมจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เมื่อยอดผู้ติดตามอินสตาแกรมของผมเพิ่มขึ้นจากปกติราว ๆ ห้าร้อยคนได้
“เดี๋ยวนะ มาจากไหนกันเนี่ย” ผมพึมพำทั้งคิ้วขมวด พร้อมไล่ดูผู้ติดตามของตัวเองทันทีว่ามีคนดังมาหลงกดติดตามผมหรือเปล่า คนอื่น ๆ เลยมากดติดตามด้วย ซึ่งผมก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หลังเห็นว่าเหล่าบรรดาเพื่อน ๆ ของคุณนภัทร รวมไปถึงคุณไทระได้มากดติดตามผมด้วย!
วูบหนึ่งในความคิด… ผมคิดว่าเป็นกลุ่มบ้านแฟนคลับของคุณไทระที่มากดติดตามกันเฉย ๆ แต่พอผมลองกดเข้าไปดูในหน้าบัญชีผู้ใช้ แล้วเห็นว่าบัญชีผู้ใช้ดังกล่าวมียอดผู้ติดตามเกือบหกล้านคน ไหนจะเครื่องหมายVerified Badge นั่นอีก
ผมจึงแน่ใจแล้วว่าคุณไทระได้มากดติดตามผมไว้จริง ๆ แล้วเหล่าแฟนคลับของอีกฝ่ายจึงได้แห่มากดติดตามผมด้วยเช่นกัน ผมใช้เวลาเช็กผู้ติดตามของตัวเองสักระยะ ก่อนจะสรุปได้ว่ากลุ่มเพื่อนของคุณนภัทรที่ผมกับหลินได้บังเอิญเจอเมื่อคืนนี้ได้มากดติดตามอินสตาแกรมผมไว้ทั้งหมด
…ยกเว้นคุณนภัทรคนเดียวที่ผมยังไม่เห็น
“ฉิบหายแล้ว กูไปเผลอสร้างเรื่องอะไรไว้วะ” ผมพึมพำพร้อมทึ้งหัวของตัวเองอย่างแรง เพราะว่านี่มันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติแล้ว