บทที่ 3

2086 Words
                เพราะถูกคุณนภัทรถามเช่นนั้น ผมจึงต้องรักษาระยะห่างกับคุณเขาทันที                 คำพูดของคุณนภัทรทำให้ผมได้สติ เพราะหลังจากที่เกิดบทสนทนาทำนองนั้นขึ้น ผมก็ตระหนักได้ว่าตัวเองอาจกำลังเข้าใกล้อีกฝ่ายมากเกินไป                 แล้วเพราะเหตุผลนั้น… นั่นจึงทำให้เราสองคนเหลือไว้เพียงแค่การทักทายกันตามมารยาทเท่านั้น หากอยู่ในสถานการณ์ที่เจอหน้ากันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เราก็จะทักทายกันตามปกติ แต่จะไม่มีชวนคุยเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากเรื่องงานอีกแล้ว                 ทุกอย่างเหมือนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น                 “แพรว พี่ขอยืมเครื่องปรินต์หน่อยนะ พอดีเครื่องพี่น้ำหมึกหมดอะ”                 “ครับ ตามสบายเลยครับพี่” ผมพยักหน้าเชิงอนุญาต เมื่อพี่ที่นั่งทำงานอยู่ข้างกันพูดขึ้น                 “แล้วนี่แพรวเตรียมของแพรวเสร็จแล้วเหรอ?” อีกฝ่ายถามต่อ                 “ครับ เรียบร้อยแล้วครับ”                 “ดีจังเลยน้า งั้นแสดงว่าตอนนี้แพรวก็แค่รอเข้าประชุมอย่างเดียวสิ”                 “ฮ่า ๆ ใช่แล้วครับ” เป็นอีกครั้งที่ผมพยักหน้าตอบกลับไป                 ในทุก ๆ เดือนบริษัทจะมีการประชุมใหญ่หนึ่งครั้ง เพื่อประเมินงานตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมาและพูดคุยเรื่องโปรเจกต์ใหม่ในเดือนถัดไปว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งบรรยากาศจะเต็มไปด้วยความตึงเครียดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของลูกค้าตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมาทั้งนั้น                 ขณะที่การประชุมในช่วงบ่ายเริ่มต้นขึ้น ผมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคุณนภัทรก็เอาแต่ก้มหน้าลง แล้วจ้องเอกสารตรงหน้าของตัวเองเท่านั้น หลังไม่อยากเกิดเหตุการณ์เผลอไปสบตากับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน                 ทั้ง ๆ ที่โดยปกติแล้ว ผมไม่เคยกลัวการสบตากับคุณนภัทรเลย                 ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงการพบหน้าคุณนภัทร หลีกเลี่ยงแม้กระทั่งการสบตากับเขา ซึ่งก็อาจเป็นเพราะคำถามของคุณนภัทรในตอนนั้นก็ได้ มันถึงได้ทำให้เกิดพฤติกรรมทำนองนี้ขึ้น                 แม้ในตอนนั้นผมจะเป็นฝ่ายยืนยันกับเขาเองว่าไม่ได้คิดเกินเลยด้วย                 ตลอดทั้งการประชุม ผมเอาแต่ก้มหน้าอ่านเอกสารอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งอีกฝ่ายลุกออกไปพูดเรื่องโปรเจกต์ในอนาคตแล้วนั่นแหละ ผมถึงได้มีโอกาสเงยหน้าขึ้นจากเอกสารของตนเองบ้าง                 แล้วความกล้าก็เริ่มมีมากขึ้นเล็กน้อย เมื่อไม่ได้มีแค่ผมเท่านั้นที่จ้องหน้าคุณนภัทร ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูด…                 ขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูดเรื่องงาน สายตาของผมก็จ้องไปที่เขาตาไม่กะพริบ เพราะคุณนภัทรมักจะดูดีเสมอยามที่อีกฝ่ายอยู่ในชุดสูท ส่วนสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายต้องใส่ชุดสูทอยู่เสมอนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าคุณนภัทรต้องออกไปพบลูกค้าอยู่เป็นประจำนั่นเอง                 ในระหว่างที่อีกฝ่ายพูด ผมก็ไม่สามารถละสายตาออกไปจากเขาได้เลย                 เพราะไม่ว่าคุณนภัทรจะทำอะไรก็ดูน่ามองไปเสียหมด นั่นจึงทำให้ผมเอาแต่จ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ แล้วก็มักจะหลบสายตาทุกครั้ง เวลาที่เราเผลอสบตากันด้วยความบังเอิญ                 “เดือนหน้ามีแต่งานชิ้นใหญ่ ๆ ทั้งนั้น เพราะงั้นอาจเหนื่อยหน่อยนะครับ ซึ่งค่าความเหนื่อยก็จะถูกตอบแทนเป็นโบนัสปลายปี มีใครไม่เข้าใจหรือมีข้อสงสัยอะไรไหมครับ?” คุณนภัทรถามขึ้น เมื่อการประชุมประจำเดือนใกล้จะสิ้นสุดแล้ว                 “คุณแพรวครับ คุณสงสัยอะไรไหม?” เมื่อไม่มีใครมีปัญหาอะไร คราวนี้คุณนภัทรจึงเจาะจงถามมาที่ผมแทน ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งห้องประชุมต่างหันมองผมเป็นสายตาเดียว                 “อ—เอ่อ ไม่ครับ” หลังตั้งสติได้ผมก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที                 “ครับ งั้นก็ดีแล้ว” คุณนภัทรพยักหน้ารับแล้วพูดต่อ “ถ้าทุกคนไม่มีข้อสงสัยอะไร งั้นเราก็ปิดการประชุมประจำเดือนนี้เลยนะครับ …ขอบคุณครับ”                 สิ้นเสียงของอีกฝ่าย เสียงเคลื่อนเก้าอี้ของเหล่าพนักงานก็ดังขึ้นทันที โดยขณะที่พนักงานคนอื่นพากันทยอยออกจากห้องประชุมไปนั้น ผมก็เอาแต่นั่งนิ่ง แล้วจ้องไปที่หัวหน้าของตัวเองอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องเจาะจงถามแค่ผมด้วย                 ผมจ้องคุณนภัทรอยู่อย่างนั้นนานมาก แล้วก็เหมือนเดิม…ผมจะหันหน้าหนีทุกครั้งที่อีกฝ่ายหันกลับมามอง แต่ทว่าครั้งนี้มันกลับต่างไปจากเดิมเล็กน้อย เมื่อผมสังเกตได้ว่าคุณนภัทรแอบยกยิ้มมุมปากจาง ๆ หลังจากที่อีกฝ่ายจ้องผมกลับ                 ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมถึงกับขมวดคิ้วทันที เพราะวูบหนึ่งในความคิด… ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังถูกอีกคนปั่นหัวอยู่                                  ขณะที่กำลังเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน ผมก็พยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวไปด้วย หลังเรื่องราวของคุณนภัทรกำลังยึดครองพื้นที่ในหัวมากเกินไป ทั้ง ๆ ที่ในความจริงอีกฝ่ายอาจไม่ได้มีเจตนาแฝงอะไรเลย ผมก็แค่คิดไปเองทั้งนั้น                 “ผมกลับก่อนนะพี่” หลังเก็บกระเป๋าเสร็จพร้อมจะกลับบ้านแล้ว ผมก็ไม่ลืมหันไปบอกพี่ที่ยังคงต้องทำงานต่อ                 “จ้ะ เจอกันพรุ่งนี้นะ” อีกฝ่ายตอบกลับมา แล้วหลังจากนั้นผมก็เดินไปรอลิฟต์ทันที                 หลังยืนรอลิฟต์ได้พักหนึ่งในที่สุดประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออก ซึ่งทันทีที่เห็นเช่นนั้นผมก็รีบเดินเข้าไปแล้วกดชั้นที่จะไปตามปกติทันที แต่ทว่าในจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลงนั้น จู่ ๆ ก็มีคนมากดเปิดมันอีกครั้ง นั่นจึงทำให้ผมเงยหน้ามองตามปกติ ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย                 …เมื่อคนที่กดเปิดประตูลิฟต์คือคุณนภัทร                 ซึ่งทันทีที่เราพบหน้ากันอีกครั้งต่างฝ่ายก็ต่างชะงักไป ก่อนที่คุณนภัทรจะก้าวเท้าเข้ามาในลิฟต์ตัวเดียวกันแล้วกดชั้นที่เจ้าตัวจะไป โดยหลังจากที่ประตูลิฟต์ถูกปิดลงอีกครั้ง ความอึดอัดที่ฟุ้งไปทั่วพื้นที่สี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี้ทันที                 “จะกลับบ้านเหรอ?” ระหว่างที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวลงไปชั้นล่าง จู่ ๆ คุณนภัทรก็ถามขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมแอบสะดุ้งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าคุณเขาจะถามกัน                 “ใช่ครับ” ผมตอบกลับไปไม่ได้ชวนคุยอะไรเพิ่มเติม นั่นจึงทำให้บทสนทนาระหว่างเราจบลงแค่เท่านั้น                   แม้ผมจะเริ่มทำงานมาได้สักระยะแล้ว แต่ผมก็ยังไม่มีรถส่วนตัวใช้ ดังนั้นในช่วงการสร้างเนื้อสร้างตัวนี้ผมจึงต้องอาศัยระบบขนส่งสาธารณะไปเสียก่อน ซึ่งในระหว่างที่ผมกำลังนั่งรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายนั้น จู่ ๆ รถหรูคันคุ้นตาก็มาจอดเทียบพอดี                 “ขึ้นรถ เดี๋ยวผมไปส่ง” ทันทีที่ลดกระจกลง คุณนภัทรก็พูดขึ้นทันที                 “ครับ?” แล้วเพราะเป็นเขา ผมจึงขานรับอย่างงง ๆ                 “เร็วสิ เดี๋ยวรถเมล์จะลงป้ายแล้ว” อีกฝ่ายเร่งเร้าต่อ ไม่สนใจท่าทีงุนงงของผมเลยแม้แต่นิด ประจวบเหมาะกับที่รถเมล์ใกล้จะลงจอดป้ายแล้ว นั่นจึงทำให้ผมต้องรีบขึ้นไปนั่งข้างคนขับอย่างงง ๆ                 “ช่วงนี้เป็นอะไร? คุณดูเหม่อแปลก ๆ นะ” หลังขึ้นมานั่งบนรถอีกฝ่ายแล้ว คุณนภัทรก็พูดขึ้นทันที                 “อ๋อ พอดีช่วงนี้ผมนอนไม่ค่อยพอน่ะครับ สมองเลยทำงานช้านิดหน่อย” ผมตอบกลับไปเสียงแผ่ว                 “เครียดเรื่องงานเหรอ?” อีกฝ่ายถามต่อ ในขณะที่สายตาก็กำลังจับจ้องไปที่ถนนข้างหน้า                 “เปล่าหรอกครับ แต่เป็นเพราะผมเองต่างหาก”                 “….”                 “คือช่วงนี้ผมจัดสรรเวลาไม่ค่อยได้น่ะครับ ตารางชีวิตรวนแปลก ๆ มันก็เลยส่งผลทำให้นอนไม่พอ” ผมอธิบายต่อ แล้วก็เริ่มเป็นฝ่ายชวนคุยบ้าง เพราะไม่อยากให้คุณนภัทรต้องเป็นคนชวนคุยเพียงฝ่ายเดียว “ว่าแต่ขนมที่ให้ไป รสชาติเป็นไงบ้างครับ?”                 “อร่อยดีครับ ขอบคุณนะ”                 “….”                 “พี่สาวคุณทำเองเหรอ?” อีกฝ่ายถาม                 “ใช่ครับ พี่สาวแท้ ๆ เลย”                 “งั้นไว้ถ้ามีโอกาส เดี๋ยวผมจะลองแนะนำร้านของพี่สาวคุณให้เพื่อนผมรู้จักแล้วกัน เพราะเพื่อนผมเขาเปิดร้านกาแฟอยู่แถวปิ่นเกล้า เผื่อได้เอาขนมไปฝากขาย”                 “อ๋อ ขอบคุณมากนะครับ” ผมว่าพร้อมระบายยิ้มออกมาจาง ๆ อย่างอดใจไม่ไหว แล้วพูดต่อ “เอ่อ… คุณนภัทรครับ เดี๋ยวช่วยจอดส่งผมตรงตลาดข้างหน้านี้ด้วยนะครับ”                 “หืม? บ้านคุณอยู่แถวนี้เหรอ”                 “เปล่าหรอกครับ แต่คือผมจะแวะซื้ออาหารเย็นด้วยน่ะครับ” ผมตอบกลับไป ซึ่งโดยปกติแล้วก่อนที่จะกลับเข้าห้อง ผมก็จะต้องแวะตลาดก่อน เพื่อซื้ออาหารเย็นไม่ก็ของสดไปแช่ที่ห้องด้วย                 “โอเค ผมก็ว่าจะแวะซื้อดอกไม้ไปไหว้พระอยู่พอดี” คุณนภัทรตอบกลับมา ซึ่งคำพูดของอีกฝ่ายก็ทำเอาผมแอบขมวดคิ้วอยู่เล็กน้อย เพราะนี่ไม่ใช่วันพระ                 แค่วันนี้คุณนภัทรจะเป็นคนไปส่งกัน ผมก็ประหลาดใจอยู่แล้ว พอเราได้มาเดินตลาดยามเย็นด้วยกันอีก นั่นก็ยิ่งทำให้ผมทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่                   “แพรว อันนั้น… เขาเอาไปทำอะไรกินเหรอ?” ระหว่างที่เรากำลังเดินผ่านร้านขายผักสด คุณนภัทรที่หันไปเจออะไรบางอย่างก็ถามขึ้น                 “อันไหนครับ”                 “ไอ้ดอกสีเหลือง ๆ น่ะ”                 “ก็ดอกโสนไงครับ”                 “….”                 “เอาไปทำไข่เจียว กินคู่กับแกงส้มอร่อยนะ” ผมว่า เมื่อคุณนภัทรยังคิ้วขมวดไม่เลิก                 “เหมือนกับ… แกงส้มชะอมไข่น่ะเหรอ” อีกฝ่ายถามต่อ                 “ใช่เลยครับ คุณนภัทรสนใจเหรอ?” เพราะคุณนภัทรยังคงวอแวกับดอกโสนไม่เลิก ผมจึงถามออกไป                 “อืม งั้นเดี๋ยวผมขอแวะซื้อสักหน่อยแล้วกัน เผื่อให้แม่บ้านเอาไปทำอาหารน่ะ”                 “….”                 “เพราะผมชอบกินแกงส้ม” ว่าจบ คุณนภัทรก็เดินเข้าไปซื้อดอกโสนจำนวนสองแพ็กเล็กทันที                 ตอนแรกตั้งใจแค่จะแวะซื้อของเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมพอไป ๆ มา ๆ ตอนที่เราจะเดินกลับไปขึ้นรถ ข้าวของมากมายทั้งของสดและอาหารสำหรับเย็นนี้ถึงได้เต็มไม้เต็มมือไปเสียหมด                 “นี่ฝนตกเหรอ?”                 “น่าจะเป็นละอองฝนมากกว่านะครับ” ผมให้คำตอบคุณนภัทร หลังเราขึ้นมานั่งบนรถแล้วและอีกฝ่ายก็เตรียมมุ่งหน้าไปส่งผมที่คอนโดต่อ                 โดยในระหว่างขากลับนั้น คุณนภัทรก็ได้เปิดเพลงคลอบนรถเพื่อทำลายความเงียบด้วย ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี จนกระทั่งผมได้ลองตั้งใจฟังเนื้อหาเพลงสากลที่อีกฝ่ายกำลังเปิดคลอเบา ๆ อยู่นั่นแหละ                 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปทันที                 เพราะจากที่ผมนั่งอยู่เฉย ๆ ผมก็เริ่มรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จนต้องรีบหันข้างให้อีกฝ่าย เพราะเกรงว่าคุณนภัทรจะรู้ว่าผมกำลังหน้าแดง หลังเพลงที่อีกฝ่ายกำลังเปิดอยู่นั้นมันกำลังพูดเรื่องเซ็กส์อย่างถึงพริกถึงขิง                 “เป็นอะไรหรือเปล่า?” คุณนภัทรถามขึ้น เมื่อรถใกล้จะขับถึงคอนโดผมแล้ว                 “ป—เปล่าครับ” ผมว่า                 “แล้วทำไมนั่งแบบนั้น”                 “อ—อ๋อ คือผมชอบดูวิวข้างทางน่ะครับ” ผมพูดโป้ปดคำโต ก่อนจะรีบพูดต่อเพื่อไม่ให้คุณนภัทรซักไซ้อะไรอีก หลังรถของอีกฝ่ายขับมาถึงหน้าคอนโดผมแล้ว “ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณมากนะครับ”                 “ครับ ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายตอบกลับมา แล้วหลังจากนั้นเราสองคนพูดคุยกันอีกนิดหน่อย ก่อนที่ผมจะลงจากรถแล้วยืนมองรถของคุณนภัทรขับออกไปอย่างช้า ๆ ผมยืนอยู่ตรงที่เดิมนานมาก จนกระทั่งรถของอีกฝ่ายขับออกไปไกลแล้วนั่นแหละ ผมถึงได้เดินเข้าคอนโดของตัวเองไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD