บทที่ 2

2273 Words
                “แค่ถูกเขาเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำเข้าหน่อย มึงก็หงายท้องให้เขาเกาพุงเลยเหรอ?”                 “เปล่าสักหน่อย!”                 “อ๋อเหรอ แต่ตอนที่มึงเล่าเรื่องเขาอะ สายตามึงเป็นประกายมากเลยนะ”                 “….” เมื่อถูกเพื่อนเอ่ยท้วงเช่นนั้นผมก็เงียบไปครู่หนึ่งทันที ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นอีกครั้ง แล้วโวยวายใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ยอมรับ “มึงมั่วแล้ว!”                 “ให้มันจริงเถอะ… แต่กูว่านะอีกสักหน่อย เดี๋ยวต้องมีคนตกหลุมรักก่อนแน่ แล้วก็มีแนวโน้มสูงด้วยว่าคน ๆ นั้นอาจเป็นมึง” ว่าจบ ไอ้เพื่อนตัวดีก็ชี้นิ้วมาทางผม             “…ไม่มีทาง” ผมตอบกลับไปอย่างมั่นใจ                 “กูจะรอดูแล้วกัน แล้วที่นัดออกมาเจอเนี่ย ก็ไม่ใช่เพราะมึงคันปากอยากเล่าเรื่องเขาให้กูฟังเหรอ?” อีกฝ่ายถามต่อ หลังในค่ำคืนนี้ผมเป็นฝ่ายนัดมันออกมาเอง แล้วก็ได้เล่าเรื่องราวที่ออกไปคุยงานกับหัวหน้าให้อีกฝ่ายฟังด้วย มันจึงเกิดบทสนทนาทำนองนั้นขึ้น ไอ้เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ กับหัวหน้าตัวเองน่ะ             ทั้ง ๆ ที่ตัวผมเองไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้นเลย ก็แค่รู้สึกประทับใจคุณนภัทรเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น                 “ไม่ใช่สักหน่อย ปกติกูก็นัดมึงออกมาคุยด้วยอยู่แล้วนะ” ผมว่าพลางยกน้ำขึ้นจิบ แล้วพูดต่อเมื่อไอ้เพื่อนตัวดียังคงจ้องหน้าผมไม่เลิก “เลิกจ้องหน้ากูสักที! ก็บอกแล้วไงว่ากูแค่ประทับใจเขาเท่านั้น ไม่ได้ชอบ”                 “แล้วมึงจะร้อนตัวทำไมเนี่ย กูยังไม่ทันพูดอะไรเลย”                 “ก็มึงจ้องหน้ากูอะ” ผมเถียง                 “อ้าว ถ้าไม่ให้กูจ้องหน้ามึง แล้วมึงจะให้กูมองใครเหรอ? ก็ออกมากินข้าวกันแค่สองคนเนี่ย!” อีกฝ่ายโวยวายกลับบ้าง “แล้วมึงรู้ไหม… ไอ้พวกชอบพูดย้ำ ๆ แบบนี้อะ มันมักจะตกม้าตายทุกรายนะ”                 “….”                 “ปากบอกไม่ชอบแต่คอยพูดถึงเขาอยู่ตลอด ร้อนตัวไปเองเนี่ย มันแปลก ๆ นะ มึงไม่รู้สึกเหรอ?”                 “โอเค งั้นหลังจากนี้กูจะไม่เล่าเรื่องของเขาให้มึงฟังแล้ว ตกลงไหมไอ้เพื่อนเวร!” ผมว่า แล้วหลังจากนั้นเราสองคนก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นทันที โดยไม่วกกลับมาคุยเรื่องของคุณนภัทรอีกเลย               “พี่ครับ… เดี๋ยววันนี้เรากินพวกอาหารจานด่วนได้ไหมอะ เพราะผมต้องรีบขึ้นไปทำงานต่อ” ในช่วงพักเที่ยงของวัน ขณะที่ผมกำลังเดินลงมาชั้นล่างพร้อมกับบรรดาพี่ ๆ ในแผนกเดียวกันอยู่นั้น ผมก็พูดขึ้นทั้งคิ้วขมวด เพราะกำลังคิดหนักกับเรื่องงานที่ยังทำไม่เสร็จ                 “ก็คงต้องอย่างงั้นแหละ เพราะพี่ก็จะขึ้นไปทำงานต่อเหมือนกัน” พี่คนหนึ่งพูดขึ้น                 “อ๋อ งั้นก็โอเคครับ แล้ววันนี้เราจะกินอะไรกันดี?” ผมถามต่อ พลางกวาดสายตามองไปยังร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ เพื่อที่จะหาร้านที่คนน้อยที่สุดจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคอยอาหารมากนัก                 “วันนี้เรากินร้านโก๋ยาก็ได้ น่าจะมีโต๊ะว่างอยู่” พี่อีกคนหนึ่งเสนอขึ้น แล้วหลังจากนั้นเราทั้งหมดก็พากันเดินไปร้านโก๋ยาทันที โดยร้านดังกล่าวก็ตั้งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย                 “เราจะเอาร้านนี้จริงเหรอ?” เมื่อเดินไปถึงหน้าร้านแล้ว หนึ่งในสมาชิกก็พูดขึ้น หลังเธอเห็นใครสักคนหนึ่งกำลังนั่งกินข้าวอยู่ก่อนแล้ว                 “เอาร้านนี้แหละ เพราะน่าจะเหลืออยู่แค่ร้านเดียวแล้วนะ ที่มีโต๊ะว่างน่ะ” เพราะตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน เราจึงไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก โดยหลังจากที่ตกลงกันได้แล้ว ผมกับพี่ ๆ ก็เดินเข้าไปในร้านโก๋ยาที่มีหัวหน้านั่งกินข้าวอยู่ก่อนแล้วทันที                 นับตั้งแต่วันที่ได้ออกไปคุยกับลูกค้าพร้อมกับคุณนภัทร หลังจากวันนั้นเราสองคนก็แทบไม่ได้คุยกันอีกเลย อาจมีทักทายกันบ้างตามมารยาท แต่ก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันแล้ว                 “เป็นอะไรเหรอ? ทำไมชะเง้อหน้ามองเขาจัง” ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ พี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันก็กระซิบถามผมเสียงแผ่ว                 “อ๋อ เปล่าหรอกครับ” ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที แต่ในขณะเดียวกันนั้นสายตาก็ยังไม่ละออกจากแผ่นหลังกว้างที่กำลังนั่งหันหลังให้อยู่ดี ซึ่งในเวลาต่อมาผมก็ได้ตัดสินใจบางอย่าง “ผมมีงานที่ต้องคุยกับหัวหน้า… เพราะงั้นพอได้ข้าวแล้ว ผมขอไปนั่งกับเขานะ”                 “เอางั้นเหรอ? ไม่รอให้กลับแผนกก่อนล่ะ แล้วค่อยไปถาม”                 “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวคุยตอนนี้เลยดีกว่าเพราะผมใจร้อน” ผมตอบกลับไป โดยเมื่อพนักงานมาเสิร์ฟอาหารแล้ว ผมก็ไม่รอช้า รีบลุกขึ้นพร้อมถือจานข้าวไปหาคุณนภัทรทันที                 “ขอนั่งด้วยสิครับ” ไม่ต้องรอให้เขาอนุญาต ผมก็รีบวางจานข้าวของตัวเองลงบนโต๊ะทันที แล้วเพราะการกระทำนั้นของผมก็ทำให้คุณนภัทรถึงกับขมวดคิ้วทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา                 “นึกยังไงถึงจะมานั่งด้วย เพื่อนคุณก็มีไม่ใช่เหรอ?” หลังนั่งประจันหน้ากันได้เกือบนาที ในที่สุดคุณนภัทรก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน                 “ใช่ครับ แต่โต๊ะนั้นคนเยอะผมเลยอึดอัด” ผมโกหกทั้งหน้าตาย ก่อนจะพูดต่อ “แล้วอีกอย่าง… ผมก็เห็นคุณนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวด้วย”                 “คุณกลัวผมเหงาเหรอ? ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องก็ได้นะ เพราะผมสะดวกนั่งกินข้าวคนเดียวมากกว่า” คุณนภัทรพูดอย่างไร้เยื่อใย                 “แต่ว่า… ถ้านั่งกินข้าวด้วยกันสองคนมันดีกว่านะครับ เพราะอย่างน้อย ๆ คุณก็มีเพื่อนให้คุยด้วย” ผมแย้งกลับ             “แต่ปกติเราก็ไม่ได้คุยกันนะ”                 “….”                 “เฮ้อ ตามใจคุณแล้วกัน เพราะผมคงไม่ใจร้ายไล่คุณออกจากโต๊ะหรอก”                 แม้คุณนภัทรจะดูไม่ค่อยยินดีนักที่ผมถือจานข้าวมานั่งกินกับอีกฝ่ายโดยพลการเช่นนี้ แต่ผมก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายพยายามกินข้าวให้ช้าลง เพื่อที่เราสองคนจะได้กินข้าวเสร็จพร้อมกัน แม้ว่าคุณนภัทรจะเริ่มกินข้าวก่อนเป็นสิบนาทีแล้วก็ตาม                 “ของผมกี่บาทครับ อ้อ! รวมกับของคนนี้ด้วยนะ” หลังเรากินข้าวเสร็จและพนักงานก็กำลังคิดค่าอาหารให้อยู่นั้น ผมก็พูดขึ้นทันที เพื่อให้เธอคิดค่าอาหารทั้งของผมและของคุณนภัทรรวมกันไปเลย                 “ถือว่าผมจ่ายคืนให้หัวหน้านะครับ” หลังผมยื่นเงินให้พนักงานร้านแล้ว ผมก็หันไปบอกคุณนภัทรทั้งรอยยิ้ม                 “อ๋อ งั้นก็ขอบคุณแล้วกัน” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ แล้วก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรอีก                 ตอนแรกผมตั้งใจแค่จะนั่งกินข้าวกับคุณนภัทรเท่านั้น แต่พอจ่ายเงินเสร็จแล้วเห็นว่าคุณนภัทรกำลังยืนรออยู่ นั่นจึงทำให้ผมไม่กล้าปลีกตัวเสียอย่างนั้น แล้วสุดท้ายเราสองคนก็ได้เดินกลับบริษัทด้วยกันอย่างที่ผมไม่ได้ตั้งใจ                 “คุณนภัทรครับ รอผมซื้อผลไม้ก่อนสิ” ขณะที่กำลังเดินเคียงกันอยู่ ผมก็หันไปบอกอีกฝ่าย เมื่อเรากำลังเดินผ่านรถเข็นขายผลไม้เจ้าประจำของผม โดยนั่นก็ทำให้คุณนภัทรต้องหยุดรอ                 “เอามะม่วงมันลูกหนึ่ง แล้วก็น้ำปลาหวานหนึ่งกระปุกครับ สับให้เลยนะครับ” ผมสั่งแม่ค้าอย่างชำนาญ พร้อมกับหันไปถามหัวหน้าจอมเนี้ยบของตัวเองด้วย “คุณนภัทรครับ สนใจรับผลไม้ตอนบ่ายไหมครับ? แตงโมก็ชื่นใจนะ”                 “ไม่เป็นไร ผมไม่ชอบกินผลไม้เท่าไร” อีกฝ่ายตอบกลับมา ซึ่งผมก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ แต่บันทึกไว้ในหัวแล้วว่าคุณนภัทรไม่ชอบกินผลไม้                                 เช้าในวันถัดมาผมมาถึงบริษัทพร้อมด้วยข้าวของพะรุงพะรัง หลังวันนี้นอกจากจะมีสัมภาระของตัวเองแล้ว ผมก็ยังมีขนมมาฝากพี่ ๆ ในแผนกอีกด้วย ซึ่งคนทำก็เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของผมเอง                 “ขนมอร่อยดีนะ พี่ว่าแพรวลองให้พี่สาวติดต่อร้านกาแฟดูไหม เพราะถ้าเอาไปวางขายคู่กันกับกาแฟ ก็น่าจะขายออกง่ายนะ”                 “อ๋อ เรื่องนั้นมีแพลนไว้อยู่แล้วครับ ตอนนี้เหลือแค่ทำสัญญากับร้านกาแฟเท่านั้น” ผมตอบกลับไป หลังเพิ่งให้พี่ในแผนกลองชิมขนมฝีมือของพี่สาวดู “ว่าแต่ว่า…รสชาติมันโอเคแล้วใช่ไหมครับ? หรือว่ายังต้องปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมอีก”                 “พี่ว่าโอเคแล้วนะ นี่ถ้ากินคู่กับกาแฟเข้ากันเลยแหละ” เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ผมก็ถึงกับฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนจะถามถึงอีกคนที่ผมยังไม่เห็นแม้แต่เงา “แล้วนี่ เขายังไม่มาเหรอครับ?”                 “หืม ใครเหรอ?”                 “เขาอะครับ” ผมว่า พร้อมมองไปยังห้องทำงานที่ถูกปิดเอาไว้อยู่                 “แฟนแพรวน่ะเหรอ? วันนี้พี่ยังไม่เห็นเลยนะสงสัยเขาจะเข้าสายล่ะมั้ง ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า?”                 “คือผมอยากเอาขนมให้เขาชิมด้วยน่ะครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว พยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวปกติ เพราะไม่อยากให้ใครสงสัยเอา                 “แพรวจะเอาขนมให้เขาชิมด้วยเหรอ งั้นพี่ว่าเราเอาไปวางไว้บนโต๊ะทำงานเขาก็ได้มั้ง แล้วค่อยบอกย้อนหลังเอา” อีกฝ่ายเสนอความคิด                 “อ๋อ โอเคครับ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผมจึงพยักหน้ารับตามมารยาท แต่ก็ไม่ได้ทำตามแต่อย่างใดเพราะอยากให้คุณนภัทรแบบต่อหน้ามากกว่า                                 วันนี้คุณนภัทรเข้างานสายจริง ๆ อย่างที่พี่ในแผนกว่านั่นแหละ                 เพราะหลังจากที่ผมเริ่มทำงานไปได้พักใหญ่แล้ว ผมก็เพิ่งจะเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในแผนก โดยในจังหวะที่คุณนภัทรกำลังเดินผ่านผม เพื่อเข้าห้องทำงานของตัวเองไปนั้น เราทั้งคู่ก็ต่างผงกหัวเชิญทักทายกันเล็กน้อย หลังเผลอสบตากันด้วยความไม่ตั้งใจ                 “เอาไปให้เลยดีไหมวะ” เมื่อคุณนภัทรเดินเข้าห้องไปแล้ว ผมก็พึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นหอบหิ้วถุงขนมที่แยกไว้ให้คุณนภัทรโดยเฉพาะ เข้าไปหาอีกฝ่ายในห้องทำงานทันที             ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!             “เข้ามาได้” คุณนภัทรว่า หลังอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นผมกำลังส่งยิ้มแฉ่งให้กันอยู่                 “ขอบคุณครับ”                 “งานมีปัญหาอะไรเหรอ?” คุณเขาถามขึ้นทันที เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องแล้ว                 “เปล่าหรอกครับ แต่คือ… พี่สาวผมเธอจะเปิดร้านขนมน่ะครับ ผมก็เลยเอามาให้หัวหน้าลองชิมดู” ผมบอกเสียงกระตุกกระตัก โดยในขณะเดียวกันนั้นก็วางถุงขนมลงบนโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย ซึ่งนั่นก็ทำให้คุณนภัทรนิ่งไปทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อถาม                 “ผมถามจริง ๆ นะคุณแพรว นี่คุณกำลังจะจีบผมเหรอ?”                 “ครับ? ม—ไม่ใช่นะครับ!” เมื่อตั้งสติได้ ผมก็รีบโวยวายใส่อีกฝ่ายด้วยอารมณ์ตกใจทันที                 “หรือว่าคุณคิดจะติดสินบนผม?” คุณนภัทรถามต่อ ยังคงปักใจเชื่อว่าเจตนาผมไม่บริสุทธิ์                 “ติดสินบนอะไรครับ” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจ                 “ก็เวลาที่เราคุยงานกันผมก็จะไม่กล้าดุไง เพราะเกรงใจคุณ”                 “เฮ้อ… คุณก็คิดไปเรื่อย” ผมว่า พร้อมถอนหายใจออกมาเล็กน้อย                 “แล้วที่คุณทำตัวแปลก ๆ อยู่ทุกวันนี้ เพราะอะไรเหรอ? หรือว่าคุณไม่สบาย” อีกฝ่ายไม่ถามเปล่า แต่ยังลุกขึ้นยืนแล้วถือวิสาสะใช้หลังมือของตัวเองอังที่หน้าผากของผม ราวกับจะวัดอุณหภูมิให้ ซึ่งนั่นก็ทำเอาผมเกือบจะตีมืออีกฝ่ายเพราะความตกใจ                 “ผมเอามาฝากพี่ ๆ ในแผนกด้วยนะครับ ไม่ได้เจาะจงให้แค่คุณสักหน่อย” ผมเอ่ยทั้งคิ้วขมวด ก่อนจะว่าต่อด้วยความไม่พอใจ “ถ้าคุณไม่สะดวกรับไว้ก็ไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวผมเอาไปให้ป้าแม่บ้านชิมก็ได้”                 “ไม่ต้องหยิบไปเลย คุณเอามาให้ผมชิมไม่ใช่เหรอ? แล้วจะเอาไปให้ป้าแม่บ้านทำไม” คุณนภัทรพูดขึ้นทันที หลังผมทำท่าจะหิ้วถุงขนมของตัวเองกลับ                 “ก็ถ้ามันเป็นปัญหาขนาดนั้น ก็อย่ารับไว้เลยครับ”                 “มันไม่ได้เป็นปัญหา ผมก็แค่สงสัยเฉย ๆ …วางถุงขนมลงด้วย” อีกฝ่ายว่าเสียงเข้ม                 “….”                 “ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขอโทษด้วยแล้วกันและก็ขอบคุณมาก ไว้ผมจะกินคู่กับกาแฟตอนเช้า โอเคไหม” คุณนภัทรพูดต่อ โดยผมก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรไป แต่เดินออกจากห้องทำงานของอีกฝ่ายไปทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD