สายลมพัดพลิ้วโชยแผ่วท่ามกลางแสงแดดของฤดูร้อนช่างสงบสุข แต่ถึงแม้แสงอาทิตย์จะแรงกล้าแค่ไหนก็ไม่อาจทำให้ปราสาทมุกดาที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือยอดเขาสูงลิบจนคลอเคล้าเมฆขาวเกิดความร้อนได้เลย เพราะมีกระแสลมที่จะพาพัดความเย็นสบายส่งผ่านเข้าสู่ตัวปราสาทตลอดทั้งวัน เบื้องล่างของยอดเขาคือทะเลสาบสีมรกตที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและป่าเขียวขจีที่อุดมสมบูรณ์
ตูม!
เสียงระเบิดดังสนั่นและรุนแรงจนพื้นห้องนั่งเล่นสะเทือนทำให้พญาครุฑวายุปักษ์แทบจะสำลักชายามบ่ายที่เพิ่งจิบแล้วหันไปมองทางต้นเสียง ยังไม่ทันจะเรียกทหารมาถามไถ่เรื่องราว นางกำนัลก็วิ่งกระหืดกระหอบมารายงาน พวกราชองครักษ์ก็วิ่งกันวุ่นไปทางโรงครัวที่มีควันดำพวยพุ่งออกมา
"เกิดอะไรขึ้นแม่อัมพร" พญาครุฑวายุปักษ์ถามแล้ววางถ้วยชากลิ่นมินต์ลงบนจานรอง
"องค์ชายอรัณย์ทำครัวระเบิดค่ะ" นางกำนัลอัมพรเล่าแล้วยกมือทาบอกด้วยความเหนื่อยจากการวิ่งมา เพราะมีกฎห้ามบินในปราสาท
"มันทำยังไงให้ครัวระเบิด" พญาวายุปักษ์ขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งยากขึ้นมาทันที
"องค์ชายอรัณย์บอกว่าอยากลองทำองุ่นชุบแป้งทอดค่ะ แล้วทีนี้เผลอทำน้ำหกใส่กระทะน้ำมันที่กำลังร้อนจัดจนไฟลุกท่วม แล้วองค์ชายก็เอาน้ำสาดดับไฟ มันเลยเกิดระเบิดค่ะ"
คำรายงานของนางกำนัลทำเอาพญาครุฑวายุปักษ์ยกสองมือกุมหน้าด้วยความปวดหัวแรง
"แล้วนคินทรกับพนาลีไปไหน"
"องค์ชายนคินทรกับองค์ชายพนาลีกำลังช่วยกันดับไฟค่ะ ส่วนองค์ชายอรัณย์ถูกองค์ชายนคินทรสั่งทหารควบคุมตัวเอาไว้ไม่ให้ขยับ กลัวว่าจะทำครัวระเบิดเพิ่มค่ะ"
"เออ ไปบอกทหารพาตัวอรัณย์มาที่นี่เถอะ ข้าจะจัดการไอ้ตัวแสบเอง" พญาครุฑวายุปักษ์โบกมือไล่นางกำนัลด้วยความเหนื่อยอ่อนระอาใจ
นางกำนัลรับคำแล้วเดินกลับไป ครู่เดียวอรัณย์ก็ทำหน้ามุ่ยเดินมากับทหารองครักษ์ ไม่ต้องถามก็รู้ว่าถูกนคินทรด่ามาแน่นอน เผลอ ๆ ถูกตีด้วยซ้ำที่ก่อเรื่อง
"ไปทำอะไรมาอีกล่ะ" วายุปักษ์ถามด้วยความใจเย็น
"ก็ข้าแค่จะทอดองุ่นไว้กินเล่น แต่น้ำมันมันระเบิดขึ้นมาเองนี่" อรัณย์ตอบด้วยสีหน้ามุ่ย
"แล้วน้ำมันมันระเบิดได้ยังไง"
"ก็ข้าเผลอทำน้ำหกใส่กระทะนิดหน่อยไฟมันเลยลุกท่วม ข้าตกใจก็เลยเอาน้ำในเหยือกไปสาดใส่ไฟ แต่มันดันเกิดระเบิดขึ้นมา"
"แล้วเจ้าไม่รู้หรือว่าถ้าน้ำมันติดไฟจะเอาน้ำไปดับไม่ได้ เรื่องพื้นฐานแค่นี้พวกราชครูสอนเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ"
"ก็สอน... มั้ง"
"เจ้าไม่สนใจเรียนน่ะสิถึงไม่เคยจดจำเรื่องสำคัญแบบนี้ น้ำดับไฟไม่ได้ทุกอย่าง มันต้องดูองค์ประกอบอื่นทั้งเชื้อเพลิงทั้งอุณหภูมิ แต่เจ้าดันเอาน้ำไปสาดใส่ไฟที่กำลังไหม้น้ำมัน มันก็ต้องเกิดระเบิดอยู่แล้ว เพราะเจ้าไม่สนใจเรียนนี่แหละถึงเกิดเรื่องวุ่นวายไม่รู้จบ เวลาสั่งให้เจ้าเรียนเจ้าก็ชอบโดดเรียนไปเที่ยว แล้วก็เกิดเรื่องทุกทีเพราะความดื้อรั้นของเจ้า"
"ข้าก็แค่อยากกินองุ่นทอดเองนะท่านพ่อ"
"แล้วทำไมไม่ให้พวกในครัวทำให้กิน ทำไม่เป็นแล้วจะไปทำเองทำไม"
"ก็ข้าอยากลองทำเอง"
"ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว"
"สิบแปดย่างสิบเก้าครับ เดือนหน้าข้าก็เต็มสิบเก้าแล้ว"
"ปีหน้าเจ้าก็อายุยี่สิบ เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่เจ้ายังทำตัวเหมือนเด็กไม่เอาไหน ก่อแต่เรื่องวุ่นวายยิ่งกว่าลูกชาวบ้าน เจ้าเป็นถึงเจ้าชายนะอรัณย์ จะทำตัวให้สมกับเป็นเจ้าชายไม่ได้เลยหรือไง หรืออยากให้ข้าส่งเจ้าไปอยู่กับพวกเลี้ยงไก่ ให้อยู่กับไก่เลยดีไหม"
วายุปักษ์บ่นใส่ลูกชายคนเล็กด้วยความอิดหนาระอาใจ ไม่ว่าจะด่าว่าหรือลงโทษอย่างไรทุกอย่างก็เหมือนเดิม อรัณย์ยังคงทำตัวดื้อรั้นเล่นสนุกไปวัน ๆ ก่อแต่เรื่องให้ปวดหัวประจำ แล้วดูสิ พอด่าเข้ามาก ๆ ก็โกรธหน้าหงิกหน้างอไม่พอใจอีก
"กลับห้องของตัวเองไปได้ละ แล้วอยู่ในห้องจนถึงค่ำห้ามออกไปไหน สำนึกกับการกระทำของตัวเองด้วย" วายุปักษ์โบกมือไล่
"ก็ได้ครับ" อรัณย์ทำหน้างอใส่พระบิดาแล้วหันหลังเดินไปทางส่วนด้านในที่เป็นห้องพัก
วายุปักษ์ถอนใจแล้วยกชามินต์มาจิบเพื่อลดความเครียด สักพักเจ้าชายรัชทายาทกับเจ้าชายองค์รองก็เดินมาหา
"เป็นยังไงบ้างนคินทร" วายุปักษ์ถามแล้ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ
"ครัวพังไปสามส่วนสี่ครับ อุปกรณ์เครื่องครัวส่วนมากไหม้หมด ข้าเบิกอัญมณีในคลังให้พวกทหารไปซื้อมาใหม่แล้ว เย็นนี้พวกเราคงต้องกินอาหารที่ไม่ใช้ไฟไปก่อน ไม่งั้นก็ต้องไปจุดไฟที่สวนข้างนอกแล้วใช้อุปกรณ์สนามทำครัวแบบตอนไปตั้งแคมป์ครับ" นคินทรรายงานด้วยความเหนื่อยอ่อนกับความวุ่นวายหายนะในครัว
"อรัณย์ล่ะครับ เห็นนางกำนัลบอกว่าท่านพ่อเรียกมาหา" พนาลีถามขึ้นเมื่อไม่เห็นน้องชายตัวป่วน
"ข้าไล่มันกลับไปสำนึกตัวในห้องแล้ว" วายุปักษ์บอกแล้วถอนใจพรืด
"ข้าว่าเราคงต้องดัดนิสัยมันบ้างแล้วครับ ไม่งั้นปราสาทมุกดาของท่านพ่อพังพินาศแน่ แค่นี้มันก็ทำครัวระเบิดไปมากกว่าครึ่งแล้ว" นคินทรเสนอออกมา
"จะดัดมันยังไงล่ะท่านพี่ มันกลัวใครที่ไหน ขนาดท่านพ่อทั้งด่าทั้งตีมันยังไม่สำนึกเลย" พนาลีหันไปท้วงพี่ชาย
"แล้วครั้งนี้ท่านพ่อไม่ได้ลงโทษมันเหรอครับ" นคินทรถามออกมา
"ไม่ ครั้งนี้มันทำครัวระเบิดด้วยความไม่ได้ตั้งใจ ก็เลยแค่อบรมแล้วไล่กลับห้อง แต่ถ้ามันทะเลาะกับชโลทรแล้วทำป่าพังแบบเดือนก่อนนั่นข้าฟาดมันไปแล้ว" วายุปักษ์ตอบลูกชาย
"ก็นั่นสิครับ" เจ้าชายสองพี่น้องถอนใจออกมา
คิดหาวิธีดัดนิสัยเจ้าชายอรัณย์ตัวแสบป่วนของอาณาจักรกันสักพักวายุปักษ์ก็พูดขึ้น
"ข้าว่า ส่งอรัณย์ไปเรียนรู้สังคมมนุษย์กับระเบียบวินัยจากมนุษย์บ้างก็คงจะดี"
"มันจะได้ผลเหรอท่านพ่อ พวกมนุษย์อ่อนแอกว่าพวกเรามาก พลังอะไรก็ไม่มี ผลักเบา ๆ ก็ปลิวแล้ว ไม่มีทางจัดการอรัณย์ได้แน่" พนาลีท้วงออกมาอย่างไม่เห็นด้วย
"ไม่แน่นะพนาลี อรัณย์อยู่ที่นี่ในฐานะเจ้าชาย มีอำนาจเหนือพวกครุฑาทั้งหมดก็เลยไม่รู้จักเกรงใจหรือกลัวผู้ใด แต่หากไปอยู่กับมนุษย์ ได้มีเพื่อน มีสังคม อาจจะทำตัวดีขึ้นมาบ้างก็ได้" นคินทรแย้งน้องชาย
"ใช่ ข้าคิดว่าเพราะในปราสาทนี้อรัณย์ไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกัน จะออกไปคบกับลูกชาวบ้านพวกนั้นก็เกรงกลัวบารมีของเจ้าชายมากกว่าจะกล้ามาเป็นเพื่อน อรัณย์ก็เลยทำอะไรตามใจตัวเองเพราะขาดเพื่อน" วายุปักษ์บอก
"ก็อาจจะเป็นเช่นที่ท่านพ่อกับท่านพี่ว่าก็ได้ แล้วจะส่งมันไปเรียนที่ไหนล่ะครับ" พนาลีถามออกมา
"มหาวิทยาลัยสิขร ที่อยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบมรกต ให้มันเรียนเกษตร จะได้ฝึกความอดทนและรู้จักรักษาธรรมชาติบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ทำลายจนสัตว์กับป่าไม้แทบจะสูญพันธุ์อย่างที่ผ่านมา" วายุปักษ์บอกด้วยความมั่นใจในแผนการของตัวเอง
"แล้วมันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เหรอครับ ความรู้ในระดับที่มนุษย์สอนกันไม่มีสักอย่าง" พนาลียังคงสงสัย
"ไม่ยากหรอกน่า แค่สะกดมนุษย์ที่มีอำนาจมากที่สุดในมหาวิทยาลัยให้รับมันเข้าเป็นนักศึกษาสักคนก็ได้แล้ว" วายุปักษ์ยิ้มมุมปาก
"เอาแบบนั้นก็ได้ครับ เรื่องเสื้อผ้าชุดนักศึกษากับพวกหนังสือเรียนเดี๋ยวข้าไปจัดหามาให้เอง" นคินทรรับคำ
เมื่อตกลงกันแล้วเจ้าชายทั้งสองก็แยกไป วายุปักษ์ก็เรียกนางกำนัลมาเก็บถ้วยชาแล้วออกจากปราสาท ลงไปยังโลกมนุษย์เบื้องล่างเพื่อจัดเตรียมสถานที่เรียนให้กับลูกชายคนเล็ก ถึงจะไม่มั่นใจว่ากฎระเบียบและวินัยของมหาวิทยาลัยจะจัดการอรัณย์ได้ แต่หากได้มีเพื่อนสักคน ได้เล่าเรียนวิชาของมนุษย์ ก็อาจจะทำให้ลูกชายตัวแสบมีความคิดและความประพฤติที่ดีขึ้นมาได้บ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี
เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยวายุปักษ์ก็เรียกอรัณย์มาคุยและสั่งให้ไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยที่จะเปิดเรียนในเดือนหน้า
"ให้ข้าไปอยู่ในสังคมมนุษย์เหรอ" อรัณย์ขมวดคิ้วถามด้วยความไม่เข้าใจและไม่ชอบใจ
"ใช่ ไปศึกษาวิชาของมนุษย์ เจ้าจะได้มีความรู้บ้าง จะได้มีเพื่อนด้วย" วายุปักษ์พยักหน้า
"ไม่เห็นจำเป็นเลยนี่ท่านพ่อ อยู่ที่นี่ข้าก็เรียนได้ พวกราชครูก็สอนข้าได้"
"แล้วเจ้าเรียนบ้างไหม วันหนึ่งเจ้านั่งเรียนกี่นาทีกัน ครึ่งชั่วโมงถึงไหม วันไหนเบื่อเจ้าก็โดดเรียนไปเที่ยวป่า แล้วก็มาบอกว่าเรียนแล้ว พอราชครูให้ท่องตำราท่องประวัติศาสตร์หรือกฎหมายเจ้าก็ท่องได้แค่ส่วนต้นนิดเดียว ให้เรียนยุทธศาสตร์การรบเจ้าก็เล่นมากกว่าจะจริงจัง ถ้าให้สอบรวมกับพวกลูกข้าราชการเจ้าคงสอบตกทุกวิชาแน่" วายุปักษ์จี้จุดที่ทำให้ลูกชายเถียงไม่ออก
"แต่ข้าไม่อยากไปอยู่ที่โลกมนุษย์นี่" อรัณย์ทำหน้ามุ่ย
"แต่โลกมนุษย์มีของกินอร่อยเยอะนะ วันก่อนที่ข้าลงไปที่มหาวิทยาลัยนั่น ที่โรงอาหารกลางมีอาหารเยอะแยะมากมายที่น่ากิน อาหารต่างชาติก็มี เครื่องดื่มก็อร่อยทุกอย่าง ขนมหวานแบบที่เจ้าชอบก็มี ผลไม้ก็มีเยอะแยะ เจ้าสามารถเลือกกินได้ตามใจชอบเลย ห้องนอนที่หอพักก็มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย ตอนเลิกเรียนเจ้าก็จะได้เล่นฟุตบอลหรือบาสเกตบอลแบบที่เจ้าเคยดูในโซเชียลด้วย ไม่สนหรือไง"
คำบอกของพระบิดาทำเอาอรัณย์นิ่งเงียบไป หากเป็นเช่นที่พระบิดาบอกมันก็น่าสนใจไม่น้อย มีอาหารกับขนมและผลไม้ให้กินเยอะแยะ มีห้องนอนเย็นฉ่ำ มีกิจกรรมหลังเลิกเรียนให้เล่น มีเพื่อนรุ่นเดียวกันมากมาย มันก็คงสนุกกว่าอยู่ในปราสาทที่มีแต่พวกข้าราชการหน้าแก่กับนางกำนัลขี้บ่นและพวกทหารหน้านิ่ง
"ก็ได้ท่านพ่อ ข้าจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนั่น"
"ดีมาก นคินทรเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์การเรียนให้เจ้าครบแล้ว จะไปส่งเจ้าเข้ามหาวิทยาลัยก่อนเปิดเรียนสามวันด้วย"
"เข้าใจแล้วครับ"
เมื่อลูกชายตัวดียอมรับที่จะไปเรียนในโลกมนุษย์ วายุปักษ์ก็วางใจได้เปลาะหนึ่งว่า อย่างน้อยปราสาทมุกดาเหนือยอดเขาก็คงไม่ถูกทำลายพินาศด้วยมือของอรัณย์ ส่วนในโลกมนุษย์ก็ไม่น่าจะวุ่นวายอะไรเพราะมีเพื่อนเล่นสนุก อาจจะมีดื้อบ้างซนบ้าง แต่หากเห็นเพื่อนร่วมคลาสตั้งใจเรียนแล้วตัวเองก็คงไม่อยากแปลกแยกจากคนอื่น ก็น่าจะไม่เป็นไรนั่นแหละ
แต่หากวายุปักษ์ได้ทักไปถามเพื่อนรักสักนิดก็คงจะได้รู้ว่าจักรภุชงค์มีความคิดแบบเดียวกันเปี๊ยบราวกับลอกการบ้านกันมา เพราะจักรภุชงค์ก็จะส่งชโลทรไปเรียนที่มหาวิทยาลัยสิขรเหมือนกัน แล้วยังเป็นคณะเกษตรศาสตร์เหมือนกันด้วย จะโชคดีสักหน่อยที่อรัณย์พักหอตะวันออก ชโลทรพักหอตะวันตก ไม่งั้นมหาวิทยาลัยคงพินาศตั้งแต่วันแรกที่เจ้าชายทั้งสองคนเข้าหอ
พอถึงวันรายงานตัวเข้าหอพัก นคินทรกับพนาลีก็ไปส่งน้องชายที่หน้าหอตะวันออก ส่วนเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวอะไรพวกนั้นมีคนเอาขึ้นไปจัดให้เรียบร้อยแล้ว
"จำไว้นะ ห้ามใช้พลังต่อหน้ามนุษย์ ห้ามแสดงตนให้มนุษย์รู้ ห้ามแกล้งมนุษย์ ห้ามก่อเรื่อง เชื่อฟังอาจารย์ที่สอนแล้วตั้งใจเรียนนด้วย" นคินทรกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"รู้แล้วน่าท่านพี่ ท่านพูดแบบนี้มาสามวันแล้วนะ ข้าจำได้หมดแล้ว" อรัณย์ทำหน้าเบื่อหน่ายกับคำสั่งที่ย้ำนักย้ำหนาราวกับเขาเป็นเด็กน้อยที่จะลืมคำสั่งภายในสามวินาที
"เปลี่ยนคำพูดด้วย ต้องใช้คำพูดแบบมนุษย์ อย่าใช้คำพูดเช่นตอนที่อยู่ปราสาท" พนาลีทำหน้าดุใส่
"รู้แล้วน่าพี่ ผมจำได้ทุกอย่างนั่นแหละ" อรัณย์ทำหน้าเบื่อใส่พี่ชาย
"ก็ดี ข้าจะแวะมาหาเจ้าบ่อย ๆ จะสอบถามอาจารย์หอพักกับอาจารย์ที่ปรึกษาถึงความประพฤติของเจ้าด้วย" นคินทรมองหน้าน้องชายแบบไม่ค่อยไว้ใจนัก
"โอเค ๆ พี่กลับไปได้แล้ว ผมจะขึ้นหอแล้ว" อรัณย์เอ่ยปากไล่ด้วยความรำคาญใจกับพี่ชายขี้บ่น
"ก็ได้ ทำตัวเป็นเด็กดีด้วยล่ะ อย่าใช้เงินเปลืองด้วย เดี๋ยวพวกมนุษย์จะสงสัยว่าเจ้าเป็นมหาเศรษฐีมาจากไหน"
"รู้น่า ในมหาลัยนี้มันจะมีอะไรให้ใช้เงินมากกันนอกจากของกินกับของใช้ส่วนตัวแบบพวกมนุษย์" อรัณย์ทำหน้าล้อเลียนพี่ชายอีก
"ก็ดี งั้นข้ากลับละ ดูแลตัวเองด้วย" นคินทรยกมือยีผมสีน้ำตาลที่มีประกายสีแดงยามสะท้อนกับแสงแดดแล้วเดินจากมา
"ชิ! สั่งนั่นสั่งนี่เยอะแยะไปหมด" อรัณย์ทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วมองพี่ชายทั้งสองคนเดินจากไป ชั่วพริบตาที่ไม่มีมนุษย์สังเกตเห็น ร่างของนคินทรกับพนาลีก็หายไปกับสายลม