เมื่อแม่ทัพฮั่วเดินทางมาถึงหมู่บ้านมู่หลางแล้วเขาถึงกลับต้องตกใจกับภาพตรงหน้าที่เห็น เมื่อคืนเวลาประมาณยามโฉว่[1] เขาได้รับรายงานมาว่าหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านโดยรอบอีกหลายๆ หมู่บ้านในเมืองจี้โจวนั้นได้ถูกโจรป่าบุกปล้นและสังหารผู้คนไปนับไม่ถ้วน
แม้เขาจะรีบสั่งการส่งกองกำลังทหารเข้าช่วยเหลือแต่เพราะข่าวสารที่ล่าช้าเกินไปจึงทำให้บางหมู่บ้านเข้าช่วยเหลือไม่ทันการ ชาวบ้านถูกสังหารไปหลายชีวิตเหล่าทหารรุดหน้าไปช่วยหญิงสาวที่ถูกจับตัวไปและเพิ่งจะส่งถึงมือชาวบ้านก็เช้าตรู่นี้เอง
แม่ทัพฮั่วได้ส่งหมอโจซึ่งเป็นท่านหมอที่เก่งและมีชื่อเสียงที่สุดในตัวเมืองจี้โจวมาช่วยรักษาคนบาดเจ็บที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาไม่สามารถส่งหมอออกมาได้หลายคนนักเพราะเมื่อคืนหมู่บ้านรอบๆ ก็ถูกปล้นเช่นกัน จึงต้องแบ่งท่านหมอกระจายกันออกไปตามหมู่บ้านต่างๆ
หมู่บ้านมู่หลางดูเหมือนจะได้รับความเลวร้ายที่สุดพวกโจรป่าบุกปล้นและสังหารไม่เว้นแม้แต่สตรีและเด็กๆ ทั้งยังเผาบ้านเรือนไปหลายหลัง เมื่อมาเห็นด้วยตาของตนเองจึงรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่ง
“ทำความเคารพท่านแม่ทัพขอรับ”
“เหตุใดพวกเจ้าถึงยืนอยู่ตรงนี้ล่ะข้าได้ยินมาว่าพระชายาก็มาด้วย แล้วตอนนี้นางไปอยู่เสียที่ไหน”
ก่อนหน้านี้เขามาถึงหน้าหมู่บ้านก็มองเห็นรถม้าจอดอยู่หนึ่งคันแต่เมื่อมองเข้าไปกลับไม่เห็นผู้ใดเลยสักคน แม่ทัพฮั่วหันมองไปโดยรอบเขาเห็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งการแต่งกายคล้ายสาวใช้
‘อาจจะเป็นสาวใช้ของพระชายากระมัง’
“พระชายารักษาคนเจ็บอยู่ด้านในขอรับท่านแม่ทัพ”
“หืม เจ้าบอกว่าพระชายาของพวกเจ้ารักษาคนเจ็บอยู่เช่นนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ”
ชิงอียิ้มแห้งๆ ตัวเขาเองก็เพิ่งจะรู้ว่าพระชายามีทักษะทางการแพทย์ก็เมื่อครู่นี้เช่นกัน แม้ท่าทางของนางจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนักแต่เมื่อถึงเวลาจวนตัวชีวิตที่ไร้หนทางรักษาแม้แต่ท่านหมอผู้เก่งกาจยังส่ายหัว เมื่อนางเสนอตัวรักษาให้เป็นใครก็ไม่อาจละทิ้งโอกาสนี้ไปได้
“ท่านแม่ทัพพระชายาไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน ท่านนั่งคอยอยู่ตรงนี้เถอะขอรับอย่าเข้าไปรบกวนนางเลย หากไปขัดใจนางเข้าอาจจะโดนดุเอานะขอรับ”
แม่ทัพฮั่วเชื่อในเรื่องนี้เขาเคยไปร่วมงานแต่งงานของอ๋องฉินและอยู่ร่วมงานมงคลไปสามวันเต็มๆ เห็นถึงความร้ายกาจของนางมาบ้างแล้วการอยู่ให้ห่างจากนางนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่สุด
การรอคอยที่ยาวนานของทุกคนสิ้นสุดลงเมื่อประตูถูกเปิดออกพร้อมใบหน้า
ที่ดูเหนื่อยล้าของลู่เหยียนซินที่เดินออกมาข้างนอก นางปิดประตูลงแผ่วเบาเหมือนกลัวว่าคนป่วยข้างนั้นจะตื่นตกใจอย่างไงอย่างนั้น
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับแม่นาง”
“เรียบร้อยแล้วล่ะ รอดูอาการของนางอีกสักสองชั่วยาม[2] หากไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นก็แสดงว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว”
“จริงหรือขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านได้ยินดังนั้นก็แทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
“ท่านก็คอยเฝ้าดูอาการของนางเอาไว้เมื่อนางฟื้นขึ้นมาพยายามอย่าให้นางขยับตัวมาก หากบาดแผลปริแตกออกมาอีกครั้งน่ากลัวว่าข้าจะต้องเย็บแผลนั้นอีกครั้งถึงตอนนั้นนางอาจจะเจ็บปวดทรมานมากกว่านี้ก็เป็นได้”
“ขอบคุณแม่นางมากๆ นะขอรับ”
“พระ…” ลู่เหยียนซินรีบหันไปถลึงตาใส่ลี่ถิงด้วยความรวดเร็วด้วยกลัวว่านางจะหลุดปากบอกฐานะของนางให้คนอื่นๆ รู้ในเวลานี้
“เอ่อ…นายหญิง ท่านดูเหนื่อยมากแล้วไปพักด้านนั้นก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”
ลี่ถิงที่เพิ่งจะถูกนายสาวของตนดุผ่านสายตาไปหมาดๆ ออกปากชวนนางไปพักผ่อนเมื่อเห็นว่าพระชายาของตนเองนั้นเริ่มมีใบหน้าซีดลงเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าดูแล้วคงจะเหนื่อยน่าดู
“ก็ดีเหมือนกัน ฝากเรียนท่านหมอดูแลนางต่อด้วยนะ”
“ขอรับแม่นาง”
ลู่เหยียนซินเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นตรงไปยังร่มไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เพราะแสงแดดที่เจิดจ้าเกินไปทำให้นางต้องหลี่ตาและก้มหน้าลงจึงไม่ทันได้สังเกตถึงการปรากฎตัวของคนผู้หนึ่ง นางนั่งลงบนเก้าอี้ทั้งยังเอ่ยปากถามชิงอีเสียงดัง
“ชิงอี ตาอ๋องบ้านั่นจะกลับมาเมื่อไหร่”
แม่ทัพฮั่วได้ยินดังนั้นก็ทำตาโตทันที
‘เหตุใดพระชายาที่ดูจะคลั่งรักท่านอ๋องมากนั้นถึงได้เรียกขานเขาเช่นนั้นกันล่ะ’
“ข้าน้อยไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเพียงแค่รับสั่งให้พระชายาไปพักที่จวนเจ้าเมืองก่อนท่านจะกลับเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ลู่เหยียนซินที่นั่งหลับตาฟังอยู่ก็ลืมตาขึ้นมองไปยังเรือนด้านหน้าที่บัดนี้มีผู้คนมากหน้าหลายตาล้อมรอบอยู่
“ยังก่อน รออีกสักสองชั่วยาม[2] เถอะ”
นางบอกก่อนจะหันกลับไปมององค์รักษ์หนุ่มแต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อสายตาประสานเข้ากับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง หน้าตาช่างคุ้นเคยเหลือเกินเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“ท่านคือ?…”
“ข้าน้อยคิดว่าพระชายาจะไม่ทักเสียแล้วข้าคือแม่ทัพฮั่วนามว่าฮั่วซื่อเหลียน ประจำการอยู่ที่เมืองจี้โจวแห่งนี้แทนท่านเจ้าเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
“แม่ทัพฮั่วเช่นนั้นหรือมิน่าข้าถึงได้คุ้นหน้าท่านยิ่งนัก แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่กัน”
“ท่านอ๋องรับสั่งให้ข้าน้อยมาดูแลพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“ดูแลข้า? ข้าเนี่ยนะ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้มาดูแลหรือให้มาเฝ้ากันแน่ จะไม่ให้ข้ามีอิสระเลยหรืออย่างไรกัน!”
นางกอดอกมุ่ยหน้าทันทีสีหน้าของนางแสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์เป็นที่สุด เมื่อนึกถึงใบหน้าของฉินอ๋องผู้นั้นแล้วนางก็อารมณ์เสียขึ้นมาดื้อๆ
‘อย่าให้มีโอกาสได้หนีนะ จะไปแบบไม่หันหลังกลับเลยคอยดู’
ภูมิทัศน์โดยรอบของเมืองแห่งนี้เป็นภูเขาที่ราบสูงสลับกับเนินเขา อ๋องฉินขึ้นมายังหุบเขาใกล้ๆ กับหุบเขาหูซานเมื่อมองลงไปด้านล่างนั้นก็มองเห็นหมู่บ้านหลายๆหมู่บ้าน แม่น้ำที่รายล้อมป่าเขาทอดยาวพาดผ่านหมู่บ้านมู่หลางและหมู่บ้านโดยรอบเมือง แต่น้ำที่อยู่ในแม่น้ำกลับดูมีปริมาณน้อยเกินไปเห็นได้ชัดว่าเมืองแห่งนี้มีความแห้งแล้งหนักมาก
อ๋องฉินลาดตระเวนโดยรอบแต่ไม่พบโจรป่าสักคนพวกนั้นน่าจะอยู่ที่หุบเขาหูซานเป็นหลัก เขาคงต้องกลับไปวางแผนการโจมตีที่ตัวเมืองอีกครั้งเพื่อลดความสูญเสียกองกำลังทหารหากต้องมีการต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ เขาจึงหันหลังมุ่งหน้ากลับไปทางหมู่บ้านมู่หลางทันที
เดิมอ๋องฉินตั้งใจจะส่งลู่เหยียนซินไปพักในจวนเจ้าเมืองก่อนแต่เพราะเหตุภัยคุกคามจากโจรป่าเขาจึงรีบเร่งออกตรวจสอบหมู่บ้านและหุบเขาโดยรอบเมือง เมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้านองครักษ์คนสนิทก็รายงานว่าพระชายานั้นมุ่งหน้าไปยังลานที่รวบรวมคนบาดเจ็บไว้
“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้เดี๋ยวข้ามา”
"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
อ๋องฉินเร่งฝีเท้าไปยังลานกว้างนั้นด้วยความรวดเร็วแม่ทัพฮั่วเห็นดังนั้นก็อดอมยิ้มไม่ได้ สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้อ๋องผู้นี้ยังมีแก่ใจห่วงชายาของตนเองที่บอกว่าไม่ได้สนใจนางคงเป็นเขาที่โป้ปดกระมัง
ข่าวในเมืองหลวงนั้นแว่วมาว่าอ๋องฉินผู้นี้นั้นรังเกียจพระชายาของตนเองยิ่งนักแต่มาตอนนี้กลับตาลปัตรต่างจากสิ่งที่ได้ยินอย่างสิ้นเชิง ก็เพราะเวลานี้นั้นท่านอ๋องตามติดพระชายาเหมือนกลัวว่านางจะได้รับอันตรายอย่างไรอย่างนั้น
“ลู่เหยียนซิน!”
เสียงดุดันนั้นไม่หันไปมองก็รู้ว่าใครเป็นคนพูด ลู่เหยียนซินเพียงแค่หันไปมองเขาครู่เดียวแล้วหันกลับไปทำแผลต่อ
“ไหนเจ้าบอกว่าจะอยู่ดูแค่ครู่เดียวแล้วจะเข้าเมืองไปรอที่จวนอย่างไรเล่าแล้วเหตุใดเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่”
เขามองใบหน้านางที่มีเหงื่อผุดขึ้นมาตรงหน้าผากสายตาของเขาจับจ้องไปยังใบหน้าเรียบเฉยนั้นอ๋องฉินเริ่มโมโหขึ้นมาแล้ว เขาถามนางไปแต่กลับไม่ได้รับคำตอบใดๆ ‘นี่นางหูหนวกหรืออย่างไรกัน!’
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าถามหรืออย่างไร”
“ได้ยินเพคะ ข้าแค่อยากช่วยเหลือพวกเขาไม่เห็นหรืออย่างไรกันว่าที่นี่มีหมอแค่คนเดียวรักษาคนบาดเจ็บแทบไม่ทันอยู่แล้ว”
“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าพระชายาของท่านอ๋องมีทักษะทางการแพทย์ด้วย” แม่ทัพฮั่วเอ่ยออกมาพลางอมยิ้ม เขาเดินตามอ๋องฉินมาติดๆ เพราะกลัวว่าสองคนนี้จะทะเลาะกันหนักท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่มองดูอยู่ห่างๆ
“พระชายาหรือ!”
“คนที่รักษาบาดแผลให้พวกเราคือพระชายานั่นเอง'”
ชาวบ้านที่กำลังนอนให้นางรักษาแผลอยู่นั้นเมื่อได้ยินว่าหญิงสาวตรงหน้าของตนเองคือพระชายาของอ๋องฉินก็ตกใจลนลานจะลุกขึ้นไปก้มกราบจนทำให้แผลที่นางเพิ่งเย็บเสร็จเมื่อครู่เกือบจะปริแตกออกมาแล้ว
นางถลึงตามองเขาทันทีแววตานางดูดุดันยิ่งนัก “อย่าขยับ! แผลเจ้าจะปริออกมาได้ตอนนี้ข้าคงต้องเย็บแผลสดๆ ของเจ้าใหม่แบบไม่มียาชา”
ชาวบ้านคนนั้นเมื่อได้ยินว่าอาจต้องเย็บแผลใหม่ถึงกับรีบนอนนิ่งไปทันที
“ข้ามารักษาคนเจ็บหาได้ก่อกวนใครเสียหน่อยเหตุใดต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ด้วย”
อ๋องฉินมองหน้านางอย่างนึกสงสัย นางมีทักษะการแพทย์ด้วยอย่างนั้นหรือ
“ท่านถอยออกไปหน่อยเถอะ อย่าขวางทางข้า”
อ๋องฉินจำต้องยอมถอยร่นออกมาหลังจากพินิจดูแล้วว่านางเพียงแค่รักษาคนเจ็บไม่ได้ก่อเรื่องแต่อย่างใดจึงสั่งให้ชิงอีคอยอยู่ดูแลนางอีกที เขาเดินไปนั่งรอนางที่ใต้ร่มไม้แต่โดยดีแต่ก็ยังไม่ยอมละสายตาไปจากนาง แม่ทัพฮั่วเห็นดังนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยต่างจากบุรุษตรงหน้าที่เอาแต่ขมวดคิ้วทั้งสองข้างจนแทบจะชนกันอยู่แล้ว
‘มันยังไงกันนะคู่นี้’
- - - - - - - - - - - - -
[1] ยามโฉว่ = 01.00-02.59 น.
[2] สองชั่วยาม = 4 ชั่วโมง