“ใช่ รวิ ศังกร เขาเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ มีตึกให้เช่าหลายตึก มีโรงแรมหลายแห่งในอเมริกา ตอนนี้มีข่าวว่าเขากำลังจะลงทุนในเมืองไทย พ่อเลยอยากให้ผมเข้าพบเขา ชวนเขามาร่วมลงทุนกับเรา...แต่จนป่านนี้เขายังไม่กลับเข้ามาเลยเนี่ย” เขาทำเสียงเซ็ง ๆ พลางมองไปรอบ ๆ “ให้ตายสิ มีคนมารอพบเขาเยอะเลย คุณเห็นผู้ชายสองคนที่นั่งถัดเราไปสามโต๊ะมั้ย นั่นก็มาจากธุรกิจโรงแรม โต๊ะมุมโน้นก็เป็นเจ้าของธุรกิจห้าง”
“โห เขามีอิทธิพลและเป็นที่ต้องการขนาดนั้นเลยเหรอคะ” ปภาดาอุทานทึ่ง ๆ
“ตอนนี้เขามีอำนาจสูงสุดในบริษัท ใคร ๆ ก็ต้องการรวิมาร่วมหุ้น”
“เอ...ช่วงนี้ได้ยินชื่อรวิบ่อย แต่คนที่ปอยรู้จัก ไม่ใช่ลูกครึ่ง คนนั้นมาจากอินเดีย คนที่ปอยบอกว่าปอยต้องแต่งงานกับเขาเพื่อใช้หนี้ไงคะ”
ณัฐพัชร์ตาลุกวาวขึ้นมาวูบหนึ่ง “รูปร่างหน้าตาเขาเป็นยังไง สูง ๆ หน้าตาดี เอ่อ ไม่ใช่สิ หล่อมากเลยต่างหาก หรือเปล่า”
หญิงสาวสั่นหน้าหวือ “ไม่ใช่ค่ะ คนละคน คนนี้แม่บอกว่าอ้วน ๆ ดำ ๆ เตี้ย ๆ หน้าตาขี้เหร่เลย”
“แบบนี้เนตรก็น่าสงสารน่ะสิ” พูดเสียงเยาะ แววตาสมเพชหญิงสาวเจ้าของชื่อ เธอเป็นคนสวย แต่เป็นคนสวยที่ไร้เสน่ห์สำหรับเขา แต่งตัวก็เรียบร้อยจนเกินไป ท่าทางจืดชืด น่าเบื่อหน่าย ที่สำคัญ เขาเคยลองเกี้ยวเธอลับหลังปภาดา เธอก็ทำเล่นตัว เหอะ เป็นไงล่ะ ไม่ชอบเขา แต่กลับได้แต่งงานกับคนที่ขี้เหร่กว่าเขา สมน้ำหน้า!
“สงสารได้ แต่อย่าไปสงสารกันบนเตียงนะณัฐ” ปภาดาส่งเสียงแหลม มองหน้าเขาเชิงรู้เท่าทัน
“โอ๊ย อะไรกันจ๊ะ บี๋จ๋า ณัฐทั้งรักทั้งหลงบี๋จนโงหัวไม่ขึ้นแบบนี้ จะไปทำอะไรแบบนั้นกับคนอื่นได้ยังไง”
“ปอยก็ว่างั้นแหละ คนเทสต์ดีแบบณัฐจะสนใจคนแบบยายเนตรได้ยังไง...มาถ่ายรูปกันดีกว่าค่ะ” พูดจบก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกด ‘เซลฟี่’ ชายหนุ่มยอมถ่ายแต่โดยดี
“ไม่ต้องโพสต์ลงที่ไหนนะครับบี๋ ผมกลัวพ่อเห็น แกจะบ่นว่าผมไม่จริงจังกับการทำงาน ผมขี้เกียจฟัง”
“เดี๋ยวนะคะ ถ่ายรูปลงไอจีแค่นี้ จะไม่จริงจังกับการทำงานยังไงอะคะ” เธอทำหน้าไม่พอใจระคนเบื่อหน่าย “บี๋ไม่เคยให้ปอยลงรูปคู่ของเราเลยนะ”
“ก็ผมอยากเป็นส่วนตัวนี่ครับบี๋ เอาน่า แค่รูปบี๋คนเดียว ยอดไลก์ก็ถล่มทลายแล้ว...บี๋ไปไลฟ์ขายลิปสติกก็ได้น้า คงอีกนานกว่าคุณรวิจะกลับมา” เขาชี้ไปที่เก้าอี้ว่างตัวหนึ่งซึ่งอยู่ริมกระจก
ปภาดาทำหน้าเง้า แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี เพราะเธอก็คิดถึงบรรดาลูกค้าของเธอจะแย่อยู่แล้ว
หญิงสาวหยิบกระเป๋าสะพายของตน ซึ่งในนั้นบรรจุเครื่องสำอางที่เธอตั้งใจจะรีวิว ได้แก่ ลิปสติก แป้งพัพฟ์ ครีมกันแดด ครีมทาหน้า ครีมทาเท้า เป็นต้น
ด้วยความไม่ระวัง ทำให้เธอชนเข้ากับชายคนหนึ่ง กระเป๋าหล่น เครื่องสำอางกระเด็นกระดอนออกมา แป้งพัพฟ์แตกกระจายทันที ปภาดาอุทานออกมาด้วยความตกใจ แล้วก็กลายเป็นความโกรธ เธอเงยหน้ามองชายผู้นั้น ก็เห็นว่าเขาเป็นชายวัยประมาณสามสิบ ผิวคล้ำจนเกือบดำ อ้วน เตี้ย ตาโปน ๆ จมูกเขาโด่งแบบคนแขก ซึ่งเธอคุ้นหน้าเป็นอย่างมาก แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
“ทำไมเดินไม่ดูล่ะคุณ ของของฉันเสียหายหมดเลย” เธอต่อว่าเขาทันที
“แหม ถ้าคุณเดินแล้วดู ก็คงจะไม่ชนผม” ฝ่ายนั้นก็ไม่ยอมเธอเช่นกัน เขาพูดพลางยักคอยักหน้า
“คุณเป็นคนมาชนฉันนะ แล้วนี่ยังไม่ขอโทษอีก”
“คุณก็ขอโทษผมด้วยนะ เพราะคุณก็ชนผมเหมือนกัน อ้ะ เดี๋ยวผมช่วยเก็บของ” พูดจบก็ก้มลงเพื่อจะทำตามที่บอก แต่ปภาดาทนเห็นมือคล้ำ ๆ นั่นแตะข้าวของของตนไม่ได้
“หยุดเลยนะ หยุดเลย อย่าแตะต้องของของฉัน” เธอกรีดเสียงแหลม
“มีเรื่องอะไรกันบี๋” ณัฐพัชร์เดินเข้ามาถาม
“ก็อีตาคนนี้นะสิคะ เดินมาชนปอยแล้วไม่ขอโทษ ดูซิคะ ของปอยพังหมดเลย” เธอรีบฟ้อง เท่านั้นเอง ณัฐพัชร์ก็หันไปคว้าคอเสื้อชายผู้นั้น แล้วออกคำสั่ง
“ขอโทษแฟนกูเดี๋ยวนี้”
ตอนนั้น หลายคนเริ่มหันมามองแล้ว หนึ่งในนั้นคือเจ้าของโรงแรมที่อยู่แถวนั้นพอดี จึงรีบเดินเข้ามาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ โดยมีผู้จัดการเดินตามมาอีกคน
“ขอโทษนะครับ มีปัญหาอะไรกันหรือครับ”
ณัฐพัชร์หันไปมอง พอเห็นอังศุธรก็จำได้ เพราะมีรูปลงตามสื่อต่าง ๆ อยู่บ่อย ๆ ขณะที่ปภาดานั้นมองอังศุธรด้วยดวงตาเบิกกว้าง ตัวจริงของเขาหล่อกว่าในรูปมาก แถมยังมีออร่าของผู้นำเปล่งประกาย นี่ขนาดผิวคล้ำ ๆ แต่งตัวตามสบายนะ ถ้าขาวกว่านี้ แต่งตัวในชุดที่เป็นทางการกว่านี้จะหล่อขนาดไหน
“ก็หมอนี่น่ะสิ เดินชนแฟนผม ข้าวของเสียหาย แล้วไม่คิดจะขอโทษ แถมยังพูดจาแทะโลมด้วย”
‘หมอนี่’ ตาเหลือก เพราะตนยังไม่ได้พูดอะไรสักคำที่ส่อไปในทางนั้น
อังศุธรเหลือบมองมาโนชญ์ ส่งยิ้มขำไปให้แวบหนึ่งก็จางหาย “จริงหรือเปล่าครับคุณ”
“ไม่จริงค่ะ ไม่ได้พูดค่ะ” ปภาดารีบทำตัวเองให้อยู่ในสายตาอังศุธร เพราะทั้งที่เธอออกจะสวยโดดเด่นสะดุดตา แต่เขาไม่ยักหันมามอง ซึ่งคราวนี้ได้ผล ชายหนุ่มเจ้าของโรงแรมหันมาทางเธอ
“ตกลงว่ายังไงครับ เขาพูดหรือไม่พูด” แต่คนที่ถามคือลูกน้องของเขา
ณัฐพัชร์หน้าแหก มองคนรักด้วยความไม่พอใจที่เธอไม่เล่นด้วยกับมุกของตน แต่เขาก็ยอมปล่อยคอเสื้ออีกฝ่ายโดยดี
“ถึงไม่พูด แต่ท่าทางเขาก็บอก เขาจงใจเดินชนแฟนผม”
“แต่ไม่เป็นไรค่ะ ปอยไม่ถือ” ปภาดารีบเอ่ยขึ้นอีก ตามองอังศุธรตลอดเวลา
ณัฐพัชร์หน้าแหกเป็นครั้งที่สอง และครั้นเห็นอาการของคนรัก เขาก็ยิ่งโมโหหึงและเสียหน้าที่แฟนมองผู้ชายอื่นด้วยสีหน้าแววตาแบบนี้
“ไม่ถือไม่ได้ ต้องให้เขาขอโทษสิ ก็เขาชนบี๋”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณณัฐ มันเป็นอุบัติเหตุน่ะค่ะ...คุณไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ” พูดจากับชายคนรักอย่างเป็นทางการและห่างเหิน ซ้ำตอนท้ายก็หันไปมองชายผิวคล้ำด้วยความเมตตา ราวกับตัวเองเป็นนางฟ้าผู้อารี และเมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร วงตรงนั้นก็เลยแตก ต่างคนต่างแยกย้ายกัน ณัฐพัชร์ชวนปภาดากลับโรงแรมที่ตนพักทันที