“คุณก็ไม่ยอมบอก บอกแต่ว่าเป็นทนาย ฉันก็เรียกคุณทนายสิ” เธอว่าพลางส่งวงค้อนแสนน่ารักให้เขา
“ถ้าคุณอิ่มแล้ว ลงไปเดินย่อยอาหารกันหน่อยมั้ย” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง
“ไปค่ะ” เธอพยักหน้าเร็วรี่ ไม่อิดออดสักนิด เพราะใจนั้นอยากไปเดินเล่นนานแล้ว รวิจึงเรียกเก็บเงิน เรียบร้อยแล้วก็พาเธอเดินบันไดลงไปชั้นล่าง
ดาริกาซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ รีบควักโทรศัพท์ออกมาแล้วแอบถ่ายสองหนุ่มสาว จากนั้นส่งรูปเหล่านั้นเข้าไลน์ของอังศุธร
“ถามมันมันไม่ตอบ ฉะนั้นมึงต้องตอบ ไอ้ตะวัน”
ทางด้านรวิกับเนตรา ชายหนุ่มพาเธอเดินเลียบชายหาดไปเรื่อย ๆ
เนตราถอดรองเท้าออกถือ มือข้างหนึ่งก็รวบชายกระโปรงให้พ้นน้ำ ส่วนชายหนุ่มก็พับขากางเกงขึ้น และถอดรองเท้าถือไว้เช่นกัน
คืนนี้ท้องฟ้าปล่อยดวงดาวให้ออกมาเปล่งประกายเต็มที่ และดวงดาวก็ขับท้องฟ้าให้ยิ่งสวย แม้ตอนกลางคืนจะมองไม่เห็นทะเล แต่การได้เดินฟังเสียงคลื่น ก็ให้ความรู้สึกสงบดีไม่น้อย
เนตราย่ำเท้าบนผืนทรายเนื้อละเอียดนั้นช้า ๆ ด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นนิดหน่อย แม้ว่าส่วนมากจะยังหนักอึ้งกับสิ่งที่ต้องพบเผชิญก็ตามที
หญิงสาวสูดลมหายใจยาว ๆ เอากลิ่นทะเล กลิ่นลมเข้าปอด
เดินเงียบ ๆ กันมาสักครู่ ก็ถึงบริเวณที่ปลอดคน ไม่มีแสงไฟ และเห็นว่าเดินมาไกลพอสมควรแล้ว เนตราจึงหันไปเอ่ยกับเขา
“กลับกันดีมั้ยคะ”
“ขอเวลาผมอีกหน่อยได้มั้ย ผมอยากอยู่กับคุณให้นานกว่านี้อีกนิด..."
“คุณคาร์ล...” หญิงสาวเอ่ยชื่อเขาออกมาด้วยความตกใจ ขณะเดียวกัน เธอเองก็ยอมรับว่าการได้อยู่ใกล้ ๆ เขามันทำให้เธออบอุ่นใจ และอยากทอดเวลาให้ยาวนานออกไปเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่เขานั้นปากจัด ชอบกัด ชอบแซะเธอ แต่ก็เป็นคนเดียวกันกับที่ตามหาเธอและช่วยเหลือเธอจากคนร้ายได้ทัน ในชีวิตที่ผ่านมา แทบไม่มีใครเคยปกป้องเธอหรือทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจแบบนี้เลย
นี่ไม่นับรวมกับบุคลิกของเขาที่มันมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้หัวใจหวั่นไหวได้ง่าย ๆ
“ได้ไหม เนตรา...” เขาถามย้ำ
หญิงสาวส่ายหน้าทันที สิ่งที่เขาร้องขอนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
“ไม่ได้ค่ะ เรากลับกันดีกว่านะคะ” พูดจบ เธอก็หันหลังกลับ เพื่อจะเดินย้อนกลับไปทางเดิม
"ถ้าคุณตาไม่บอดจนเกินไป คุณคงดูออกว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ" เขาเอ่ยไล่หลังมา เนตราสั่นหน้าไปมา ไม่ยอมรับสิ่งที่เขาพูด รวิก้าวตามทันที
“ตั้งแต่พบคุณที่บ้าน ผมก็ลบภาพคุณออกจากหัวไม่ได้เลย ผมรู้ว่ามันผิด มันไม่เหมาะสมเพราะคุณเป็นว่าที่ภรรยาของ...เขา แต่...ผมหักห้ามใจไม่ได้...”
“คุณต้องทำให้ได้ค่ะ หยุดพูดและหยุดรู้สึกอะไรก็ตามที่คุณกำลังรู้สึกกับฉันค่ะ คุณคาร์ล” เธอเอ่ยโดยไม่ได้หันไปมองหน้าเขา เขาก้าวยาว ๆ มาดักหน้าเธอเอาไว้
“บอกผมสิ ว่าคุณเองก็รู้สึกไม่ต่างจากผม”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณเลย” เธอตอบกลับเสียงดังฟังชัด ฉาดฉาน และมั่นคง ทั้งที่ในใจนั้นแสนจะหวั่นไหวและสับสนไปหมด
เขาทำแบบนี้ทำไม เขาต้องการอะไรจากเธอ เขากำลังชวนเธอให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่นะ
“ถ้างั้นตอนตอบกรุณามองตาผมด้วย” รวิเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจในตนเอง “แล้วตอบผมมา”
“ฉันไม่มอง...ไม่ตอบ และฉันจะกลับห้อง กรุณาไปส่งด้วยค่ะ” เอ่ยเสียงเด็ดขาด แล้วออกเดินอีกครั้ง
“ผมมีเงินมากพอที่จะใช้หนี้แทนคุณนะ ถ้าเราใจตรงกัน ผมจะใช้หนี้แทนคุณ แล้วเราจะไปใช้ชีวิตด้วยกัน” อีกคนไม่ยอมแพ้ ยังตามมาอ้อนวอน
“ไม่ควรมีใครต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องหนี้นี่อีกแล้วค่ะ ฉันไม่มีวันรบกวนเงินคุณด้วยเรื่องของครอบครัวฉัน”
“ผมยินดีให้คุณรบกวน และสำหรับผม ผมไม่เรียกว่ารบกวน แต่มันคือการช่วยเหลือกัน มีน้ำใจให้กัน”
“โอเคค่ะ ถ้าเราเป็นคนรักกัน คบกันมานาน การมีน้ำใจให้กันไม่แปลก แต่เราเพิ่งเจอกันไม่กี่วันเองนะคะ ฉันขออนุญาตยังไม่เชื่อความรู้สึกที่คุณมีให้ฉัน ที่สำคัญถ้าฉันไปกับคุณ ก็เท่ากับครอบครัวของฉันผิดสัญญาหนักเข้าไปอีก คนที่จะเดือดร้อนก็คือผู้มีพระคุณของฉัน”
“ผู้มีพระคุณที่ไม่เคยเห็นคุณเป็นคนในครอบครัวนะเหรอ” เขาทำเสียงเยาะ
หญิงสาวหันขวับไปมองเขา “อย่าพูดแบบนี้นะคะ ถ้าไม่มีคุณลุงคุณป้า ฉันก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่จนป่านนี้”
เขาส่ายหน้า มองเธอด้วยความน้อยใจ
“คุณปฏิเสธผม แล้วเลือกผู้ชายอัปลักษณ์คนนั้น ผมมีอะไรสู้เขาไม่ได้ บอกผมมาซิ”
“เราจะไม่คุยเรื่องนี้กันอีก” พูดจบ เธอก็เร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งกว่าเดิม รวิไม่ได้ก้าวตามในทันที เขายืนมองตามร่างแบบบางที่เดินอย่างมั่นคงตรงไปข้างหน้านั้นด้วยรอยยิ้มพึงพอใจสุดล้น
ละครสั้น ๆ ที่เขาแสดงเมื่อครู่นี้ พิสูจน์อะไรได้มากมายเหลือเกิน...