“นี่เรียวอิจิคุง~”
อันนาเดินเข้ามาทักทายนานาเสะอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับยืนเกาะโต๊ะเขาไปด้วย เธอหวังว่าคราวนี้เขาจะยอมพูดดีๆ กับเธอ
“…ไปให้พ้น…”
นานาเสะพูดพร้อมกับเงยหน้ามองเธอด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ นัยน์ตาสีดำทอประกายเย็นชาใส่เธอแบบไม่มีปราณี
“ใจร้ายอ่ะ ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยแท้ๆ”
อันนาทำแก้มป่องน้อยๆ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมชายคนนี้ถึงได้ทำตัวเย็นชาแบบนี้กัน แถมปากที่ชอบพูดจาร้ายกาจนั่นอีก ถ้านานาเสะเป็นเด็กน้อยเธอจะจับเขาตีก้นให้เข็ดหลาบเสียเลย
“ฉันไม่มีอะไรที่จะต้องเสวนากับเธอ”
นานาเสะพูดพร้อมกับเขียนจดบันทึกการเรียนจากหนังสือล่วงหน้าเอาไว้ เพื่อในตอนที่ถึงคาบเรียนเขาจะได้สามารถตามบทเรียนทัน และเป็นการทบทวนไปในตัว
อันนาถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะไปนั่งลงที่โต๊ะของตัวเองข้างๆ โต๊ะของนานาเสะ จากนั้นเธอก็เอนตัวนอนราบไปกับโต๊ะพร้อมกับยิ้มนุ่มนิ่มให้กับเขา
“นี่~ คุณเรียวอิจิคะ คุณจะช่วยกรุณาบอกฉันได้ไหมคะ ว่าทำไมเมื่อคืนคุณถึงได้ร้องไห้กัน?”
อันนาพูดจาสุภาพใส่นานาเสะเพื่อเป็นการแกล้งเขา เธอคาดหวังปฏิกิริยาน่ารักๆ จากเขาอยู่ เพราะนี่คือท่าไม้ตายของเธอ ไม่ว่าใครที่โดนมันเข้าไป ใจอ่อนทุกราย
นานาเสะชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดจาร้ายกาจใส่เธออีกครั้ง
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน มันไม่ใช่กงการอะไรของเธอ”
หลังจากนั้นนานาเสะก็ทำตัวเหมือนอันนาเป็นอากาศธาตุสำหรับเขา ไม่สิ เรียกว่าทุกคนรอบตัวเขาเลยต่างหาก เขาดำดิ่งสู่โลกส่วนตัวไปเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าหลังจากนั้นอันนาพยายามที่จะถามซักไซร้เขา แต่ก็ไม่เป็นผล นานาเสะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาเลยแม้แต่น้อย
อันนาเริ่มชักจะรู้สึกว่าบัดดี้ของเธอคนนี้มีบางอย่างที่น่าสนใจซ่อนอยู่ เธอรู้สึกและสัมผัสได้ว่าความเย็นชา และพวกคำพูดร้ายกาจนั่นเป็นเพียงเปลือกนอกที่เขาสร้างขึ้นมา เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองด้านใน
ตัวตนที่แท้จริงของเขาจะเป็นแบบไหนกันนะ?
“ถ้างั้นก็ได้!!!”
อันนาพูดพร้อมกำหมัดเล็กๆ
“I’ll make you pay attention to me, just wait and see!!!!”
เธอตะโกนออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ต่อหน้าคนทั้งห้อง เป็นการประกาศกร้าวว่าเธอจะไม่ยอมรามือจากบัดดี้ของเธอง่ายๆ อย่างแน่นอน
นานาเสะที่ทำเหมือนทุกคนเป็นอากาศธาตุนั้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งที่อันนาพูด เขาได้ยินทุกประโยค ทุกถ้อยคำที่เธอพูด เพียงแต่เขาคิดว่าอันนานั้นแค่จะทำเล่นๆ ไม่ได้คิดจริงจัง สักพักพอเธอหมดอารมณ์ที่จะทำ เธอก็จะเลิกสนใจเขาไปเอง
‘ตัวฉันมีอะไรให้น่าสนใจกันนะ?’
นานาเสะตั้งคำถามกับตัวเอง แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา
.
นับตั้งแต่วันที่อันนาประกาศต่อหน้าทุกคนในห้องว่าจะทำให้นานาเสะหันมาสนใจตัวเอง เธอก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ทุกๆ ที่ที่นานาเสะไป เธอมักจะห้อยสอยตามไปด้วย
“เรียวอิจิคุง~”
“เรียวอิจิคุง~”
“เรียวอิจิคุง~”
เสียงของอันนานั้นหลอนหูนานาเสะไปหมด ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อันนาจะโผล่ไปราวกับมีจิตใจหยั่งรู้ได้ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร
.
วันนึงพอถึงคาบพละ นักเรียนในห้องต่างตื่นตะลึงเมื่อเห็นอันนาในชุดพละครั้งแรก เธอสวมเสื้อยืดสีขาวค่อนข้างกระชับตัว กางเกงขายาวสีแดง รองเท้าผ้าใบสีชมพู นั่นทำให้รูปร่างที่โดดเด่นของเธอถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคน
เหล่านักเรียนชายจ้องเธอตาเป็นมัน ส่วนนักเรียนหญิงบางคนมองด้วยความชื่นชม บางส่วนก็เฉยๆ แต่บางส่วนก็มองด้วยความอิจฉา
“คุณฮอฟมันรูปร่างดีเนอะ”
“นั่นสิ ชาวต่างชาติหุ่นดีแบบนี้ทุกคนเลยหรือเปล่านะ?”
“ดูนั่นดิ แม่เจ้าโว้ย รูปร่างในฝันของผู้ชายชัดๆ”
“จริงด้วย ถ้าได้เธอมาเป็นแฟน ฉันว่าฉันใช้แต้มบุญทั้งชีวิตนี้หมดไปแล้วแน่ๆ เลยว่ะ”
เสียงซุบซิบจากทั้งผู้หญิงและผู้ชายในห้องดังขึ้น อันนาค่อนข้างมั่นใจว่ารูปร่างของเธอต้องทำให้นานาเสะหันมาสนใจเธอแน่ๆ แต่เปล่าเลย นานาเสะไม่ได้สนใจเธอสักนิดเดียว กลับกันเขายืนเหม่อๆ มองไปยังทิศทางอื่นอยู่
อันนาทำแก้มป่องน้อยๆ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอะไร อาจารย์ก็เป่านกหวีดเรียกนักเรียนให้ไปรวมตัวกันเสียก่อน
เนื่องจากคาบนี้เป็นคาบเรียนแรก อาจารย์เลยให้พวกนักเรียนจับคู่กันเพื่อช่วยกันยืดเส้นยืดสาย พร้อมกับให้พากันออกกำลังกายเบาๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของร่างกาย
พวกนักเรียนพากันจับคู่กันอย่างชุลมุน พวกนักเรียนชายบางคนมาเอ่ยปากชวนอันนาให้คู่กับตนเอง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอย่างสุภาพจากเธอมา เพราะอันนามีเป้าหมายของเธออยู่แล้ว
นานาเสะนั้นไม่ทำอะไรเลย เขากะว่าจะรอให้เพื่อนๆ จับคู่กันเสร็จหมดแล้ว แล้วเขาค่อยจับคู่กับคนที่เหลือเอาก็ได้ เพราะยังไงซะห้องเรียนเขาก็เป็นจำนวนเลขคู่อยู่แล้ว
ในขณะที่เขากำลังยืนเหม่อๆ อยู่นั้น ชายเสื้อของเขาก็ถูกดึงเบาๆ จากด้านหลัง พอหันไปดูก็พบกับอันนาที่กำลังจับชายเสื้อของเขา พร้อมกับส่งสายตาหวานๆ มาให้เขา
“มีอะไร?”
นานาเสะถามออกไป
“คือว่า…ถ้านายยังไม่มีคู่ มาจับคู่กับฉันเอาไหม?”
อันนาตอบคำถามของเขา
“ขอปฏิเสธ…”
นานาเสะตอบกลับทันทีอย่างไม่ต้องคิด
“แต่นายเป็นบัดดี้ฉันนะ!! นายจะทิ้งฉันหรือยังไง?”
อันนาพูด
“นั่นมัน……ก็ได้”
นานาเสะอ้ำอึ้งอยู่ครู่นึง แต่สุดท้ายก็ตอบตกลงเธอไป จริงอยู่ที่เขาไม่อยากคู่กับอันนา แต่ว่าเขาเองก็เป็นบัดดี้ของเธอ ที่มีหน้าที่ต้องคอยดูแลเธอตลอดการแลกเปลี่ยนให้เป็นไปด้วยความราบรื่น
“ตรงนั้นจับคู่กันได้แล้วใช่ไหม?”
อาจารย์ตะโกนถามพวกเขาทั้งคู่ เพราะคนอื่นๆ ในห้องนั้นจับคู่กันได้หมดแล้ว
“ได้แล้วค่ะ อาจารย์”
อันนาตะโกนออกไปด้วยความดีใจ ในที่สุดเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ยอมมีปฏิสัมพันธ์กับเธอแล้ว
ตอนวอร์มร่างกาย นานาเสะนั้นทำตัวล่อกแล่กอย่างเห็นได้ชัด เพราะการได้เห็นสัดส่วนที่เป็นรูปร่างของผู้หญิงในอุดมคติของผู้ชายหลายคนกำลังยืดเส้นยืดสายตรงหน้า มันทำให้เขาทำตัวไม่ถูก
ยิ่งตอนที่นานาเสะต้องนั่งแล้วโน้มตัวไปแตะนิ้วเท้า แล้วอันนาต้องมาช่วยดันหลังให้เขา ความนุ่มนิ่มที่เขาสัมผัสได้จากแผ่นหลังของตัวเอง ยิ่งทำให้หัวใจเขาเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นอะไรไป? หรือว่านายกำลังเขินอย่างงั้นเหรอ~”
อันนาเหย้าแหย่นานาเสะ เมื่อเห็นว่าหน้าของเขาแดงก่ำ
“นะ…หนวกหู!!”
นานาเสะตอบ พร้อมกับเบือนหน้าหนี
อันนารู้สึกสนุกที่ได้เย้าแหย่เขาแบบนี้ ยิ่งได้เห็นปฏิกิริยาน่ารักๆ ที่เธอคาดหวังเอาไว้แล้วก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกสนุกเข้าไปใหญ่ มันทำให้เธอรู้สึกว่าเข้าใกล้เขาได้มากขึ้นนิดนึงแล้ว
แต่พอจบคาบพละ นานาเสะที่แสนจะเย็นชาคนเดิมก็กลับมา ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นก็สลายหายไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นหรือมีอยู่มาก่อน
‘ให้ตายเถอะ เป็นผู้ชายที่เข้าใจยากเสียจริง’
อันนาคิดในใจ แต่ก็ตะโกนเรียกนานาเสะ ในขณะที่เขากำลังเดินไปโรงอาหารในช่วงพักเที่ยง
“เรียวอิจิคุง~ รอฉันด้วย”
.
ที่โรงอาหาร อันนานั่งทานเบนโตะของเธอที่ฮานาโกะเตรียมเอาไว้ให้อยู่ ตรงข้ามกับนานาเสะที่กำลังนั่งทานข้าวกับน้ำราดแกงกะหรี่เปล่าๆ
ถ้าเทียบอาหารของเธอกับของเขาแล้ว คงบอกได้ว่ามันต่างกันราวฟ้ากับเหว เบนโตะของอันนานั้นเต็มไปด้วยสารอาหารและโภชนาการที่เหมาะสม แต่กับนานาเสะแล้วแทบจะไม่มีโภชนาการอะไรเลย
ในที่สุดอันนาก็ทนดูไม่ไหว เลยพูดออกไป
“ถ้านายทานแบบนั้นทุกวัน มันจะไม่ดีต่อสุขภาพของนายเอานะ”
“ไม่ใช่กงการอะไรของเธอ”
นานาเสะตอบเสียงเรียบ
อันนาสังเกตว่าบัดดี้ของเธอนั้นทานอาหารแค่ไม่กี่คำ ก็วางช้อนแล้ว ทั้งๆที่อาหารยังพร่องไปไม่ถึงครึ่งจานด้วยซ้ำ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นไปเก็บจานและเดินออกจากโรงอาหารไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้อันนานั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว เพราะเธอยังทานอาหารไม่หมด
‘หมอนี่โภชนาการแย่ชะมัดเลยแฮะ’
อันนาคิดในใจ
ด้วยความที่แม่ของอันนาที่เป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์นั้น เป็นเชฟที่ทำอาหารอยู่ในโรงแรมแห่งนึงใกล้บ้านของเธอในเยอรมัน เธอจึงได้รับการฝึกฝนการทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก และมีความสามารถในการคำนวณค่าโภชนาการอาหาร จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมอันนาถึงรู้สึกเป็นห่วงนานาเสะ เมื่อเห็นเขากินอาหารแบบนั้น
“จำไว้นะอันนา ลูกต้องใส่ใจในรายละเอียดเกี่ยวกับโภชนาการให้ดีนะ เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกายและการดำรงชีวิต”
แม่เธอเคยสอนเอาไว้แบบนั้น ตอนที่เธอเรียนทำอาหารกับแม่ในช่วงแรกๆ
‘ดีล่ะ งั้นคาบคหกรรม วันพรุ่งนี้เราจะทำอาหารให้เขาทาน’
เธอคิดในใจ
.
พอวันถัดมาในคาบคหกรรมอาจารย์ให้จับคู่กันสองคน เพื่อทำอาหารง่ายๆ อันนาก็ใช้วิธีเดิมคือการตื้อนานาเสะให้มาจับคู่กับเธอ นานาเสะที่รำคาญเลยต้องยอมตามน้ำเธอไป
นักเรียนทุกคนทำอาหารร่วมกับคู่ของตัวเองอย่างสนุกสนาน ผิดกับคู่ของอันนากับนานาเสะ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นฝ่ายอันนาที่ทำคนเดียวเสียมากกว่า ส่วนนานาเสะนั้นทำแค่ยืนดู หรือช่วยหยิบจับอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ ตามการร้องขอของอันนา
.
“ฟู่ววว~ เสร็จแล้ว”
อันนายิ้ม พลางตักอาหารที่เธอทำเสร็จแบ่งออกเป็นสองถ้วย ถ้วยนึงตกแต่งสวยงามสำหรับส่งอาจารย์ ส่วนอีกถ้วยไม่ได้ตกแต่งอะไรสำหรับเอาไว้ทานกับนานาเสะ แต่กระนั้นหน้าตาของอาหารจานที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรก็ยังดูดีอยู่ดี
“เชิญชิมได้เลย ฉันค่อนข้างมั่นใจในรสชาตินะ”
อันนายื่นถ้วยมาให้นานาเสะ พร้อมกับยิ้มนุ่มนิ่มให้กับเขา
อาหารที่เธอทำก็คือ ‘ซุปมันฝรั่งและแครอทต้มกับเนื้อหมู’ ที่เธอมั่นใจว่าโภชนาการอาหารนั้นครบถ้วนและเพียงพอสำหรับนานาเสะแน่นอน
นานาเสะรับถ้วยซุปนั้นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะตักมันฝรั่งชิ้นนึงขึ้นมาชิม พอคำแรกที่เข้าปากเขาไป นานาเสะถึงกับเผลออุทานออกมาเบาๆ ว่า
“อร่อย”
รสชาติของซุปที่ไม่เข้มข้นและไม่จืดจางจนเกินไปในแบบที่เขาชอบ ตัวมันฝรั่งเองก็ไม่ได้นิ่มจนเละ ยังพอมีส่วนให้เคี้ยวอยู่บ้าง
นานาเสะลองตักแครอทกับเนื้อหมูชิมดูบ้างซึ่ง แครอทก็เหมือนกับมันฝรั่งไม่มีผิด นิ่มแต่ว่าไม่ได้เละจนไม่ได้เคี้ยว ส่วนเนื้อหมูก็ไม่ได้เหนียวจนกัดไม่ขาด กลับกันมันเปื่อยกำลังพอดี
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่อาหารในถ้วยนั้นหายไปจนหมด กระทั่งน้ำซุปก็ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
พอนานาเสะรู้ตัว ก็เห็นภาพที่อันนายืนเท้าคางบนโต๊ะพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้เขา
“เป็นยังไงบ้าง? อร่อยไหม?”
อันนาถามนานาเสะเชิงหยอกล้อ
“ก็อร่อยดี”
นานาเสะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันอร่อยมากจริงๆ เผลอๆ อาจจะอร่อยมากกว่าที่แม่หรือพี่สาวของเขาทำให้กินเสียอีก เขาจึงตอบมันอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ความเคารพแก่ผู้ที่ทำมันและอาหารที่เขาพึ่งกินไป
“คิกๆ นายนี่เข้าใจง่ายจังเลยนะ แล้วที่นี้จะยอมหันมาคุยกับฉันดีๆ ได้หรือยังล่ะ?”
อันนาหัวเราะคิกคัก ก่อนจะฉวยโอกาสถามเขา
“ขอปฏิเสธ”
นานาเสะยังคงยืนยันคำเดิมของเขา ที่จะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครทั้งนั้น
“ง่ะ! ทำไมล่ะ?”
อันนาถามเขา
“ไม่ใช่ธุระอะไรของเธอ”
นานาเสะผู้เย็นชาได้กลับมาแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อครู่บรรยากาศของเขายังดูผ่อนคลายมากกว่านี้อยู่เลย
อันนาพองแก้มน้อยๆ ด้วยความแง่งอน แต่ยังไม่ทันทำหรือพูดอะไรคาบเรียนคหกรรมก็เลิกเสียก่อน และนานาเสะก็ลุกและเดินไปโดยที่ไม่รอเธอเลย
‘ให้ตายสิ เป็นผู้ชายที่เข้าใจยากชะมัด’
อันนาคิดในใจ แต่ก็ออกตัววิ่งตามนานาเสะไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าแผนการของเธอที่จะทำให้นานาเสะหันมาสนใจและพูดคุยกับเธอ
ดูเหมือนจะล้มเหลว แต่ถึงกระนั้นอันนาก็ไม่ยอมแพ้ สายเลือดของชาวเยอรมันในตัวเธอกำลังกู่ร้องอย่างสุดเสียงว่าอย่าพึ่งถอดใจและยอมแพ้ไปทั้งแบบนี้
ดังนั้นในคาบพักเที่ยงของวันนั้น อันนามานั่งคุยกับนานาเสะที่นั่งจดเนื้อหาการเรียนล่วงหน้า และได้ทำตัวเมินเธอเหมือนเช่นเคย
ถึงจะบอกว่ามานั่งคุยกับนานาเสะ แต่อันนารู้สึกเหมือนคุยกับกำแพงมากกว่า ไม่สิคุยกับกำแพงยังให้ความรู้สึกที่ดีกว่าเลย เพราะนอกจากนานาเสะจะนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ทำตัวเหมือนทุกคนเป็นอากาศธาตุแล้ว เขายังปล่อยบรรยากาศที่น่าอึดอัดออกมาอีก
อันนาพยายามปล่อยมุขตลกๆ หรือเล่าเรื่องสนุกๆ ให้นานาเสะฟัง เพื่อที่หวังจะได้เห็นปฏิกิริยาของเขาบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี ขอแค่เขาหลุดขำหรืออมยิ้มน้อยๆ ออกมาก็ได้
แต่อันนาก็พบว่านานาเสะนั้น ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรกลับมาเลย ทำเอาเธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่นั่นก็เป็นการสุมไฟความพยายามของอันนาให้โหมกระหน่ำยิ่งกว่าครั้งไหนๆ มากเสียยิ่งกว่าตอนที่เธอพยายามสอบชิงทุนเพื่อมาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นนี้เสียอีก
“ดูนั่นสิ คุณฮอฟมันนี่ใจกล้าเนอะ ที่ไปคุยกับคนแบบนั้นได้”
“จริงด้วยๆ คนแบบนั้นมีอะไรดีกัน ถึงหน้าตาจะดูดี แต่นิสัยแบบนั้นฉันเองก็ไม่ไหวหรอกนะ”
“ฉันเองก็ขอผ่าน ถ้ามีแฟนแบบนี้ ฉันว่าฉันคงเบื่อก่อนแน่ๆ”
เสียงซุบซิบของผู้หญิงในห้องที่จับกลุ่มคุยกันดังขึ้น
ในขณะที่ทางฝั่งผู้ชายนั้น
“ชิ! ไอ้เจ้าบ้านั่นมันมีอะไรดีกัน คุณฮอฟมันถึงได้ไปให้ความสนใจ”
“จริงด้วย บ้าเอ้ย! ถ้าฉันได้เป็นบัดดี้ของเธอล่ะก็ ฉันคงจะดูแลเธอได้ดีกว่าเจ้าคนพรรณนั้นแน่ๆ”
“คนแบบนั้นจะมีใครน่าคบหากัน ฉันว่าอีกไม่นานคุณฮอฟมันก็คงเบื่อและขอเปลี่ยนบัดดี้ไปเองนั่นแหละ จนกว่าจะถึงตอนนั้น พวกเรามาทำตัวให้คุณฮอฟมันเห็นกันเถอะ ว่าเรามีอะไรดีบ้าง!!”
“โอ้ววว!”
“โอ้ววว!”
พวกผู้ชายในห้องต่างพากันกู่ร้องด้วยความฮึกเหิม เมื่อจินตนาการว่าคนน่ารักและสวยอย่างอันนามาขอเป็นบัดดี้กับตัวเอง
นานาเสะเองก็ได้ยินทุกอย่างทั้งเรื่องที่อันนาเล่า และเสียงคุยของคนอื่นๆ เพียงแต่เขาไม่สนใจเรื่องไร้สาระพรรณนั้น
‘ใครจะอยู่หรือใครจะไปมันก็ไม่เกี่ยวกับตัวเราสักหน่อย…’
พอคิดถึงตรงนี้ นานาเสะก็ชะงักไปเล็กน้อย มือที่เขียนเนื้อหาการเรียนอยู่ก็หยุดลง ก่อนจะถอนหายใจและมองออกไปนอกหน้าต่าง
‘ก็เราน่ะ…แค่เรื่องที่สำคัญที่สุด ยังไม่สามารถปกป้องเอาไว้ได้เลย’
บรรยากาศมืดมนของนานาเสะยังคงดำเนินต่อไปทั้งในช่วงพักเที่ยง และช่วงการเรียนคาบบ่าย
อันนาก็ยังคงรุกเข้าหาเขาอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการขอดูหนังสือเรียนด้วย ขอยืมสมุดโน้ตของเขามาอ่าน หรือการชวนคุยเล็กๆ น้อยๆ
แม้ว่าบางครั้งนานาเสะจะเมินใส่ หรือตอบกลับมาด้วยคำพูดที่ร้ายกาจ แต่อันนาก็ไม่ยอมแพ้ นั่นทำให้เพื่อนในห้องต่างรู้สึกทึ่งในตัวเธอเป็นอย่างมาก
เพราะถ้าเป็นพวกเขาแล้ว หากโดนเมินและพูดจาแบบนั้นใส่เข้าไปคงหมดกำลังใจและล้มเลิกไปนานแล้ว…