พอเข้าสู่สัปดาห์ที่สองของการเปิดเรียน อันนาก็เริ่มมีเพื่อนผู้หญิงคนอื่นบ้างแล้ว แต่เธอพยายามเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชายนอกจากนานาเสะโดยที่ไม่จำเป็น เพราะเธอไม่ค่อยสนิทใจกับผู้ชายแปลกหน้าสักเท่าไหร่
ถ้าจะถามว่าทำไมเธอถึงกล้ามีปฏิสัมพันธ์กับนานาเสะ นั่นก็เพราะเธอได้รับการยืนยันจากปากของเรียวโกะและฮานาโกะแล้วว่านานาเสะนั้นเป็นคนที่จิตใจดี เป็นสุภาพบุรุษ เขามักจะให้เกียรติผู้อื่นอยู่เสมอ
อีกทั้งจากการที่อันนาได้สัมผัสจากนานาเสะโดยตรงก็ยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าเขานั้นแตกต่างจากผู้ชายคนอื่น เขาไม่มองเธอด้วยสายตาที่หยาบคาย ให้เกียรติเธอเสมอ ถึงแม้ว่าจะปากร้ายและทำตัวเย็นชาไปหน่อยก็ตามที แต่เธอก็สัมผัสได้ว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอกที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์บางอย่างเท่านั้น
ระยะหลังๆ ถึงจะมีเพื่อนผู้หญิงเพิ่ม แต่อันนาก็ยังคงป้วนเปี้ยนแถวๆ รอบๆ ตัวของนานาเสะอยู่ดี วันนี้เองก็เป็นเหมือนทุกวันที่ดำเนินไปอย่างปกติ
“นี่เรียวอิจิคุง~ นมรสกาแฟมาแล้วจ้า”
ในคาบพักเที่ยงเธอเดินเตาะแตะมาที่โต๊ะของนานาเสะ พร้อมกับนมสองกล่อง กล่องนึงเป็นรสช็อกโกแลตที่เธอซื้อให้ตัวเอง อีกกล่องเป็นรสกาแฟที่เธอซื้อมาให้นานาเสะ
เธอสังเกตว่านานาเสะมักจะดื่มนมรสกาแฟอยู่เสมอ แม้กระทั่งเครื่องดื่มคราวที่ไปทานเค้กตอนนั้นยังเป็นกาแฟเย็น เธอเลยคิดว่านานาเสะน่าจะชอบดื่มกาแฟ
“……”
นานาเสะไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มือของเขายังคงขยับเพื่อจดสรุปเนื้อหาบทเรียนล่วงหน้าโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดชะงัก
“ฮึ่มมมม!!”
อันนาพองแก้มน้อยๆ พร้อมกับทำเสียงฮึมฮัมในลำคอเบาๆ นานาเสะเมินเธออีกแล้ว
อันนาวางนมรสกาแฟไว้บนโต๊ะของนานาเสะ ก่อนจะลากเก้าอี้ของตัวเองมานั่งข้างๆ เขา พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาดูว่านานาเสะกำลังทำอะไรอยู่อย่างสนอกสนใจ
นานาเสะที่นั่งจดสรุปเนื้อหาบทเรียนล่วงหน้าอยู่นั้น รู้ดีว่าอันนายื่นหน้าเข้ามาใกล้เขา แม้จะทำตัวเหมือนว่าไม่สนใจเธอและสิ่งรอบข้าง แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วเขาก็แอบใจสั่นเล็กน้อย ตอนที่ได้กลิ่นหอมๆ ของสบู่กับแชมพูที่เธอใช้ลอยมาเตะจมูก
เพราะอย่างไรก็ดี ถ้าไม่นับแม่, พี่สาว และเด็กสาวคนนั้นแล้ว นานาเสะก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหนมากขนาดนี้มาก่อน
“เห~ สุดยอดไปเลยนะ นายนี่ขยันจังเลยนะ”
อันนาพยักหน้าหงึกๆ โดยที่ไม่ได้รับรู้เลยว่าภายในใจของนานาเสะกำลังปั่นป่วนเพราะกลิ่นตัวของเธออยู่
“……”
“จะว่าไป ฉันยังไม่เคยแนะนำตัวกับเล่าชีวิตให้นายฟังอย่างเป็นทางการเลยนี่เนอะ”
อันนากำมือแล้วทุบมันลงบนฝ่ามือเบาๆ
เธอแค่บอกชื่อของเธอต่อหน้าทุกคนในตอนนั้น ซึ่งก็ดูเหมือนว่านานาเสะแทบจะไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ มันคงจะเป็นการดีถ้าเธอแนะนำตัวกับเขาอีกรอบ และเล่าเรื่องสนุกๆ ของเธอสมัยที่เรียนอยู่ที่เยอรมันให้เขาฟัง บางทีเขาอาจจะสนใจขึ้นมาก็ได้
“……”
นานาเสะยังคงพยายามทำตัวเหมือนกับว่าอันนาไม่ได้อยู่ตรงนั้นต่อไป แม้ว่าภายในใจเขาจะกำลังปั่นป่วนอย่างหนักก็ตาม
“ฉันมีชื่อว่า อันนา ฮอฟมัน แต่นายจะเรียกฉันว่า ‘อันนา’ ก็ได้ ฉันไม่ถือ ฉันเกิดที่เมืองฮัมบวร์ค (Hamburg) ประเทศเยอรมัน แต่ว่าพอฉันได้ทุนเรียนประจำของโรงเรียนประจำแห่งนึงในเมืองเดรสเดิน (Dresden) ตอนฉันอยู่ที่ Gymnasium ระดับ 7 ฉันก็ต้องจากบ้านไป มันไกลมากเลยล่ะจากเมืองที่ฉันเคยอยู่…”
อันนาพูดเล่าเรื่องของเธอไปเรื่อยๆ พลางนึกย้อนไปในอดีตของตัวเธอเอง
.
.
4 ปีก่อน Dresden, Sachsen, Germany
“เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพนะคะ คุณพ่อ คุณแม่ พี่คลาเรีย”
อันนาในวัย 12 ปีกำลังยืนร่ำลาครอบครัวตัวเองที่หน้าหอพักของโรงเรียน ที่จะกลายเป็นบ้านของเธอหลังจากนี้ไปอีกสามปี
อันนารู้สึกเศร้ามาก เนื่องจากมันเป็นครั้งแรกที่เธอต้องจากอ้อมอกพ่อแม่ เธอยืนมองรถยนต์ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ พร้อมกับโบกมืออยู่ตรงนั้นนานเป็นนาที แม้รถยนต์จะหายลับไปจากสายตาไปแล้วก็ตาม
“อันนา อากาศข้างนอกมันเย็นแล้วนะจ๊ะ เข้ามาข้างในเถอะจ้ะ”
คุณครูประจำหอพักเดินมาจูงมือเธอ เมื่อเห็นว่าเธอยืนที่เดิมนานเกินไป เนื่องจากเธอสวมเสื้อผ้าบางๆ อากาศในฤดูใบไม้ร่วงคงจะเย็นเกินไปสำหรับเด็กสาวตัวเล็กๆ อย่างเธอ
“ค่ะ คุณครู”
อันนาหันมายิ้มอ่อนๆ ให้กับคุณครูของเธอ
“ไม่ต้องเศร้าไปนะจ๊ะ ที่นี่มีเพื่อนๆ เยอะเลย ครูรับรองได้เลยว่าหนูต้องไม่เหงาแน่ๆ”
คุณครูพูดปลอบใจเธอ
“ค่ะ”
อันนาขานรับสั้นๆ ก่อนจะเอาตัวซุกเข้าไปที่เสื้อของคุณครูและร้องไห้ออกมา
คุณครูไม่ได้ผลักตัวของอันนาออกไป กลับกันเธอลูบศรีษะของเด็กสาวเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน
อันนาร้องไห้อยู่อย่างนั้นราวๆ สิบนาที น้ำตาและน้ำมูกของเธอไหลออกมาเปื้อนชุดของคุณครูเต็มไปหมด
“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ที่โรงเรียนแห่งนี้พวกเราจะดูแลหนูอย่างดีเลย”
คุณครูพูดปลอบใจอันนาอีกครั้ง
“ค่ะ”
อันนายกมือปาดน้ำตา แต่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่
“มาเถอะนะจ๊ะ ใกล้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว เดี๋ยวครูพาไปโรงอาหารนะจ๊ะ”
คุณครูพูดกับอันนา ก่อนจะจูงมือเธอให้เดินไปตามทางเดินระหว่างอาคารเพื่อไปที่โรงอาหารของโรงเรียน
“อันนา ยัยเด็กขี้แย”
เพื่อนผู้ชายคนนึงล้อเลียนเธอ แต่ก็โดนคุณครูเขกหัวเบาๆ
“เดี๋ยวเถอะ โยเซฟ อย่าไปล้ออันนานะ”
“ก็ผมพูดความจริงนี่ครับ”
เด็กชายที่ชื่อโยเซฟเถียงคุณครู
“จริงด้วย โยเซฟ อย่าล้ออันนานะ!”
“ใช่ๆ นายน่ะไม่เคยไกลบ้านมาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่าความเศร้าเพราะคิดถึงบ้านมันเป็นแบบไหน”
“ขอโทษอันนาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
เพื่อนๆ ที่โรงอาหารช่วยกันพูดแทนตัวของอันนาที่ยืนหลบอยู่หลังของคุณครู จนเด็กชายที่ชื่อโยเซฟต้องเดินมาขอโทษเธอ
“คือว่า ขอโทษนะอันนา ที่ล้อเลียนเธอ”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ถือ”
อันนาโบกมือไปมา เธอไม่ได้ติดใจอะไร แต่ภายในใจก็คิดว่า ‘ที่นี่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด’
.
อันนาเล่าต่อไปอีกว่า
“นายรู้ไหม หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่คุณครูบอกฉันเลยล่ะ ที่นั่นมันสนุกมากๆ ฉันมีเพื่อนมากมาย ในวันหยุดพวกเขาก็มักจะชวนฉันไปเที่ยวที่ในตัวเมืองหรือเมืองข้างๆ ฉันในตอนนั้นน่ะมีความสุขมาก มากเสียจนลืมความเศร้าที่ต้องจากบ้านมาไกลไปจนหมดเลย ฮะๆๆ”
อันนาเล่าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“……”
นานาเสะก็ยังคงเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“แต่ว่าพอฉันเรียนจบ Gymnasium ชั้นที่ 10 ฉันก็ต้องย้ายเมืองอีกครั้ง ต้องบอกลาเพื่อน คุณครูที่ฉันผูกพัน ฉันต้องย้ายไปเรียนต่อ Gymnasium ชั้นที่ 11 ที่เมืองโคโลญ (Köln) เพราะว่าฉันน่ะสอบติดทุนประจำที่โรงเรียนประจำในเมืองนั้น ที่โรงเรียนนี้แหละที่มีความสัมพันธ์อันดีกับโรงเรียนของนาย แล้วมาวันนึงทุนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็มาเข้าหูของฉันน่ะนะ…”
.
.
1 ปีก่อน Köln, Nordrhein-Wesfalen, Germany
“คุณครูคะ หนูเห็นที่บอร์ดของโรงเรียนว่ามีทุนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับโรงเรียนที่ญี่ปุ่นมาที่โรงเรียนเราอย่างงั้นเหรอคะ?”
อันนาในวัย 15 ปีเดินเข้ามาถามคุณครูประจำชั้นที่ห้องพักครูในเวลาพักเที่ยงของวันนึง
“อ๋อ! ใช่แล้วล่ะอันนา ทำไมงั้นเหรอ? หรือว่าเธอสนใจงั้นเหรอ?”
คุณครูเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร มามองหน้าอันนา
อันนาตื่นเต้นมากที่มีทุนแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศมาที่โรงเรียนของเธอ สมัยที่อยู่ Gymnasium ชั้นที่ 7 เธอก็เลือกเรียนภาษาที่สามเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยความสนใจส่วนตัว
พอเรียนไปนานๆ เข้าเธอก็ยิ่งหลงใหลในตัวภาษาญี่ปุ่น เธอเริ่มซื้อหนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นมาอ่านและฝึกด้วยตัวเอง จนสามารถสอบวัดระดับภาษาอยู่ที่ระดับ N2 ซึ่งอยู่ในระดับที่สามารถสื่อสารกับคนญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งเธอยังได้มีโอกาสดูอนิเมชั่นของญี่ปุ่น ที่ตีแผ่เรื่องราวอันน่าตื่นเต้นในประเทศญี่ปุ่นมากมาย
มันทำให้อันนาวาดฝันว่าสักวันนึง เธออาจจะมีโอกาสได้มาเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น และตอนนี้โอกาสที่ว่าได้มาถึงแล้ว และมันไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวระยะสั้น แต่เป็นการมาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมถึงหนึ่งปีเต็มๆ
“หนูสนใจค่ะ หนูต้องทำยังไงบ้างคะ?”
อันนาพูด
คุณครูประจำชั้นยื่นเอกสารการสมัครมาให้เธอ
“กรอกเอกสารสมัครสอบอันนี้นะ แล้วก็อ่านหนังสือให้ดี กำหนดการสอบจะมีขึ้นในเดือนหน้า ครูเชื่อว่าคนขยันอย่างเธอต้องได้ทุนนี้อย่างแน่นอน พยายามเข้านะอันนา”
คุณครูพูดให้กำลังใจเธอ
อันนารับใบสมัครสอบมากรอก ก่อนจะยื่นส่งคืนให้คุณครู
หลังจากวันนั้นอันนาก็ทุ่มเทเวลาให้กับการอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ งดทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ชั่วคราว เธอเอาแต่เก็บตัวอ่านหนังสือในห้องพักอย่างไม่ลดละ เพราะเธอรู้ว่าการสอบครั้งนี้จะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด และมีคนอีกเป็นสิบที่จ้องจะชิงทุนนี้เหมือนกับเธอ
พอถึงวันสอบ มีคู่แข่งประมาณ 20 คนที่สอบเพื่อชิงทุนนี้ อันนาไม่ได้ตกใจอะไร เธอคาดการณ์ไว้แล้ว และหันมาทำข้อสอบอย่างตั้งใจ ข้อสอบนั้นยากมากๆ แต่อันนาที่อ่านหนังสือเตรียมพร้อมมาอย่างดีนั้นไม่มีทางพลาด
ในที่สุดแล้วผลประกาศห้าคนสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบสัมภาษณ์เพื่อหาคนเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่น ก็มีชื่อของอันนาติดอยู่เป็นหนึ่งในห้าคนนั้น
อันนาถูกพาตัวไปยังห้องสัมภาษณ์ที่มีคณะกรรมการเป็นชาวญี่ปุ่นจำนวนทั้งหมดสามคน ที่เดินทางมาจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อการสัมภาษณ์นี้โดยเฉพาะ
อันนาแนะนำตัวตามมารยาทแบบคนญี่ปุ่น ก่อนถูกถามคำถามมากมาย ทั้งคำถามเชิงลึกเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น คำถามเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเธอตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างฉะฉานและคล่องแคล่ว
พอหมดคำถามแล้วก่อนเธอจะออกจากห้องไป กรรมการทั้งสามคนก็อวยพรให้เธอโชคดีกับการประกาศผล ซึ่งอันนาก็ค้อมตัวขอบคุณตามมารยาท
สองสัปดาห์ต่อมาป้ายประกาศผลชื่อคนที่ได้ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็ถูกติดขึ้นที่บอร์ดของโรงเรียน ซึ่งมันคือชื่อของเธอ ‘อันนา ฮอฟมัน’
อันนาจำได้ว่าวันนั้นเธอกอดคอร้องไห้กับเพื่อนๆ ในกลุ่มอย่างไม่อายสายตาของนักเรียนคนอื่น ถึงแม้จะรู้สึกผิดกับผู้สมัครคนอื่นอยู่บ้าง แต่ผลมันถูกประกาศออกมาแล้ว และเธอเป็นผู้ชนะอย่างใสสะอาดและไร้ข้อกังขา
อันนาโทรไปหาครอบครัวพร้อมกับบอกข่าวนี้ให้พวกเขาทราบ ทางครอบครัวของเธอก็ยินดีกับเธอด้วย
.
“ฉันน่ะนะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากเลยล่ะ ที่มีเพื่อนๆ คอยสนับสนุนฉันในการสอบครั้งนั้น และการมาที่ญี่ปุ่นของฉันในครั้งนี้ก็เพื่อหาเพื่อนและสังคมใหม่ๆ เพื่อที่ฉันจะได้นำกลับไปเล่าให้พวกเขาที่เยอรมันฟัง ว่าการมาแลกเปลี่ยนครั้งนี้มันเจ๋งขนาดไหน ถึงแม้ว่าฉันจะมีเวลาจำกัดแค่หนึ่งปีก็เถอะนะ”
อันนาเล่าเรื่องของตัวเองจนจบ
“…แล้วการมาอยู่กับฉันมันมีประโยชน์อะไรล่ะ? สู้เธอไปหาบัดดี้คนอื่นที่ดีกว่าฉันไม่ดีกว่าเหรอ พวกผู้หญิงในห้องก็พร้อมที่จะเป็นบัดดี้ให้กับเธอ ฉันน่ะไม่มีอะไรดีสักอย่าง ไม่สามารถทำให้การมาแลกเปลี่ยนของเธอในครั้งนี้มันน่าจดจำจนเอาไปเล่าได้หรอกนะ”
นานาเสะที่อันนาคิดว่าเขาเมินเธออยู่ได้พูดขึ้นมา และมันเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่เธอเคยได้ยินจากเขา
“เพราะนายน่ะจิตใจดียังไงล่ะ ฉันรู้นะว่าภายใต้หน้ากากที่เย็นชาและฝีปากอันร้ายกาจของนาย มีตัวตนที่อ่อนโยนและใจดีซ่อนเอาไว้ เรียวโกะจังเองก็บอกว่านายน่ะเป็นคนที่อ่อนโยนและใจดี ฉันอยากเห็นด้านนั้นของนายนะ อีกอย่างฉันน่ะนะอาจจะได้เรื่องเล่ามาเพิ่มอีกเรื่องด้วย ฉันจะกลับไปเล่าให้พวกเขาฟังว่าการมาแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ฉันได้เจอคนที่สุดยอดอย่างนายด้วยล่ะนะ”
อันนาพูดกับนานาเสะด้วยรอยยิ้ม
‘ด้านที่อ่อนโยนและใจดีงั้นเหรอ? ถ้าจำไม่ผิด…เธอเองก็เคยพูดแบบนี้เหมือนกันสินะ…’
นานาเสะคิดในใจ ทบทวนสิ่งที่อันนาพูดไป
“เพราะงั้น ถ้าอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้นายไม่สบายใจ จนทำหน้าไม่รับแขกและปากร้ายแบบนั้น ฉันเองก็อยากจะฟังมันนะ นายสามารถเล่าให้ฉันฟังได้ทุกเรื่องเลย ฉันสัญญาจะไม่เอาไปเล่าให้ใครฟังแน่นอน”
อันนาพูดก่อนจะยิ้มให้นานาเสะ
รอยยิ้มของอันนานั้นทับซ้อนกับเด็กสาวในความทรงจำของนานาเสะ และแล้วส่วนที่เจ็บปวดของเขาก็ถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง เสียงของเด็กสาวในความทรงจำเขาก็ดังขึ้นมา
“ฉันน่ะชอบด้านที่อ่อนโยนและใจดีของนานาเสะคุงที่สุดเลย”
นานาเสะจึงทำหน้าเหยเกคล้ายคนกำลังจะร้องไห้
อันนาที่เห็นว่าบัดดี้ของตัวเองทำหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ เธอจึงนึกว่าเธอพูดอะไรผิดไป จึงรีบขอโทษเขาในทันที พร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
‘เพี๊ยะ!’
“โอ๊ย!!”
นานาเสะปัดแขนของอันนาออก มันไปกระแทกกับโต๊ะอย่างแรงจนเธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อย่ามาล้อฉันเล่นนะ!!! ถ้าฉันเล่าให้เธอฟังแล้วมันยังไง เธอคิดว่าแค่การเล่ามันจะช่วยบรรเทาสิ่งที่ฉันเป็นได้หรือยังไง!!! คนอย่างเธอจะไปเข้าใจอะไรกัน!!”
นานาเสะตวาดออกมาเสียงดังราวกับคนขาดสติ
อันนาฟังมันด้วยความสับสน คนที่อยู่ในห้องต่างหันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนนี้ทั้งสองคนจึงกลายเป็นจุดสนใจของห้องไปแล้ว
“ดูนั่นสิ เจ้าบ้านั่นทำลงไปแล้ว”
“หยาบคายจัง”
“คุณฮอฟมันน่าสงสารจัง ต้องมาเจอคนแบบนั้น”
“ไอ้เจ้าบ้านั่นกล้าทำร้ายคุณฮอฟมันงั้นเหรอ!!”
นานาเสะที่ได้ยินเสียงคนซุบซิบกัน เขาจึงได้สติกลับมา
พอได้สติแล้ว ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าคือ อันนากำลังกุมมือของเธออยู่ พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่หวาดกลัวเล็กๆ ที่ขอบตามีหยดน้ำสีใสเกาะอยู่
แต่ในตอนนี้นานาเสะไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น เสียงซุบซิบนินทาจากเพื่อนร่วมห้องที่ว่าเขาเสียๆ หายๆ ยังคงดังขึ้นไม่หยุด เขาจึงตัดสินใจวิ่งออกไปจากห้องพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความเจ็บปวดจากการที่ส่วนที่บอบบางทางความรู้สึกถูกกระทบอย่างรุนแรง
หลังจากที่นานาเสะวิ่งออกไปได้สักพัก ทางด้านของอันนาที่ตกใจจากเสียงตวาด เพื่อนๆ ก็เข้ามาถามอาการของเธอด้วยความเป็นห่วง
“คุณฮอฟมันเป็นอะไรมากไหมคะ?”
“ฉะ…ฉันไม่เป็นอะไร แล้วเรียวอิจิคุงล่ะ เรียวอิจิคุงเขาไปไหนแล้ว?”
อันนาตอบ พร้อมกับถามหานานาเสะ เธอทำท่าที่จะลุกวิ่งออกไปตามหานานาเสะ
“คนพรรณนั้นอย่าไปสนใจเลยนะคะคุณฮอฟมัน ปล่อยไปเถอะ เขาสมควรได้รับผลจากการกระทำของเขาเอง”
เพื่อนผู้หญิงคนนึงพูด พร้อมกับจับแขนของอันนาเอาไว้
“ฉันคงปล่อยเขาไปไม่ได้หรอก ก็เขาน่ะเป็นบัดดี้ของฉันนี่นา”
อันนายิ้มน้อยๆ ให้กับเพื่อนผู้หญิงคนดังกล่าว ก่อนจะวิ่งออกนอกห้องไปตามหานานาเสะ
‘อะไรของเจ้าพวกนี้กัน?’
คนในห้องพร้อมเพรียงกันคิดในใจโดยมิได้นัดหมาย
.
.
นานาเสะวิ่งขึ้นมาที่ดาดฟ้าที่ว่างเปล่า เนื่องจากตอนนี้ใกล้จะหมดเวลาพักแล้ว เขาทรุดลงนั่งที่พื้นหลังพิงรั้วของดาดฟ้า พร้อมกับร้องไห้ออกมา มือเขากุมไว้ที่หน้าอก
“นานาเสะคุงต้องเป็นคนที่เข้มแข็งให้ได้นะ”
“ฉันน่ะรักทุกอย่างที่เป็นนานาเสะคุงที่สุดในโลกเลยล่ะ”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นานาเสะคุงน่ะจะต้องผ่านมันไปได้แน่นอน ฉันเชื่อแบบนั้น”
ยิ่งนานาเสะคิดถึงคำพูดของเด็กหญิงคนนั้นมากเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
‘ไม่ไหวแล้ว ใครก็ได้ช่วยด้วย!!’
นานาเสะตะโกนอยู่ในใจอย่างสุดเสียง
“จำไว้นะนานาเสะ หลานต้องก้าวผ่านความเจ็บปวด ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม แต่ทุกการก้าวข้ามมันจะทำให้หลานกลายเป็นคนที่สมบูรณ์มากขึ้น”
เสียงของชายชราคนนึงเคยพูดกับเขาเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
“ผมขอโทษ…ผมทำไม่ได้……”
นานาเสะสะอื้นไห้ราวกับคนกำลังจะขาดใจ
ก่อนที่เขาจะหมดสติไป เพราะความเจ็บปวดที่มากเกินกว่าที่เขาคนเดียวจะรับมันเอาไว้ได้หมด…