ตอนที่ 5 สำนักปีศาจ

1634 Words
ตอนที่ 5 สำนักปีศาจ รถม้าตะแคงข้างอยู่บนเนิน ด้านข้างมีต้นไม้หักโค่น มีรอยเท้าอีกเป็นจำนวนมาก คาดว่าในที่เกิดเหตุอาจมีคนร้ายลอบซุ่มโจมตี แต่กลับไม่พบร่องรอยของการต่อสู้ ที่ถึงขั้นต้องหลั่งเลือด เมิ่งลู่มาถึงก็ยืนตัวสั่น แม้นางจะสวมชุดคลุมขนสัตว์สีขาวตัวหนาใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมอาการสั่นไหวของร่างได้ “พวกเจ้าดูทั่วหรือยัง” “นายหญิงขอรับ ในที่นี้ข้านำพาสหายมาสิบห้าคน ค้นหาจนทั่วก็ยังไม่พบขอรับ” หนึ่งในสำนักคุ้มภัยยื่นมือประสานก้มหน้ากล่าวรายงานนายหญิงผู้เฒ่า “บริเวณนี้มีรอยเท้าเป็นจำนวนมาก ไม่มีการต่อสู้ ด้านล่างเป็นเหวลึก หากพลัดตกลงไปคาดว่า...” ไม่เหลือซากกระทั่งศพก็คงยากจะหาพบเป็นแน่ “ในละแวกนี้ ใกล้สถานที่ใดมากที่สุด” หญิงชราถูกประคองโดยสาวใช้คนสนิท เอ่ยน้ำเสียงสั่น แววตาวูบไหวรู้สึกใจคอไม่ดีนัก คลาดกันเพียงไม่นานเท่านั้น แต่แล้วกลับไม่พบเด็กน้อยที่น่าเวทนาคนนั้นเสียได้ “ถัดไปเป็นหมู่บ้านขอรับ ถัดไปอีกยี่สิบลี้เป็น...เป็น...” หากไม่ถูกสัตว์ป่ากัดกิน ก็อาจถูกช่วยไปที่หมู่บ้าน แต่ถ้าไม่ใช่หมู่บ้านนี้ละก็ ย่อมต้องเป็นสถานที่ต้องห้ามเสียแล้ว “พวกเราต้องไปเยือนสักครา หาคนให้พบ” หญิงชรามั่นใจห้าส่วน เพราะไม่มีร่องรอยของโลหิตเปรอะเปื้อนบริเวณนี้มีเพียงแค่รอยเท้าหลายรอยเท่านั้น “แต่ว่านายหญิง ที่นั่นอันตรายมากนะขอรับ” ชายคนดังกล่าวเอ่ยปากห้าม สถานที่นั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปสักคนเดียว เป็นสำนักมืดที่กล่าวขานว่าเป็นสำนักปีศาจ รับเลี้ยงและบ่มเพาะนักฆ่ามือระดับพระกาฬทั้งนั้น แม้สำนักคุ้มภัยตระกูลเมิ่งพอมีวรยุทธ์อยู่บ้าง หากให้เทียบกับสำนักปีศาจนั่นละก็ คงต่างกันหลายขุมนรกทีเดียว เขาไม่กล้าคิดเลย หากพบเจอนักฆ่าพวกนั้นละก็ หวั่นว่าชีวิตน้อย ๆ ของพวกเขาก็ถูกคนพวกนั้นสังหารได้อย่างรวดเร็ว “อันตรายแล้วอย่างไร ถ้าเซียวอิ๋นฮวาถูกคนพวกนั้นเก็บไปละก็...” อนาคตของนางคงได้กลายเป็นนักฆ่าเสียแล้ว ผ้าขาวผืนหนึ่งต้องถูกชุบย้อมด้วยสีดำอำมหิต ใช้ชีวิตในวัยเยาว์ไม่คุ้มค่า ต้องมาร่ำเรียนวิชาสังหารคน เด็กคนหนึ่งต้องเอาชีวิตไปยืนอยู่บนความเป็นความตายทุกลมหายใจเข้าและออก สิ่งนี้ที่น่าหวาดกลัวนัก นอกจากจะไม่พบนางแล้ว แต่กลับเพิกเฉยต่อความเป็นตายของนางเช่นนั้นหรือ ในเมื่อรับปากสหายแล้ว นางยินดีจะเสี่ยงชีวิตเข้าไปในสำนักนั้นให้จงได้ “นายหญิงทบทวนอีกครั้งเถิดขอรับ ที่นั่นไม่ใช่ใครจะเข้าก็เข้าได้” ชายคนเดิมยังยืนยันหนักแน่น ชีวิตของนายหญิงนั้นมีค่านัก จะมาเสี่ยงกับเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ “เช่นนั้นพวกเจ้าหาให้ทั่วในละแวกนี้ หากตายต้องพบศพ ข้าจะกลับจวนส่งเทียบขอเข้าไปในสำนักบุปผารัตติกาล” นางยอมละทิ้งศักดิ์ส่งเทียบขอเข้าพบเจ้าสำนักปีศาจ ภายนอกผู้คนต่างพากันกล่าวขานว่า ที่นี่คือสำนักปีศาจ มีนักฆ่าจำนวนไม่น้อย ที่ถูกฝึกฝนร่ำเรียนวิชามารใช้สังหารคน ทว่าภายในสำนักนี้ กลับร่มรื่นยิ่งนัก แม้อากาศจะหนาวเหน็บเพียงใด บรรยากาศในสำนักก็ยังคึกคักสนุกสนาน ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ อุ้มเด็กน้อยใบหน้าขาวซีดเข้ามา “ท่านเจ้าสำนักขอรับ” เขาจะบอกว่าพบน้องน้อยถูกคนชั่วช้าคิดรังแก เขาจึงช่วยมาได้ พร้อมกับเหล่าศิษย์น้องที่พากันเป็นพยาน แล้วจึงผลักเจ้าคนชั่วช้านั่นตกหน้าผาไปแล้ว และก็อุ้มน้องน้อยคนนี้กลับสำนักมา เขาถูกใจนักหนา เด็กอะไรไม่รู้กระทั่งไม่สบายใบหน้ายังพริ้มเพราจิ้มลิ้มน่ารักยิ่งนัก ชายวัยกลางคน อายุอานามราว ๆ สามสิบปีเศษเห็นจะได้ เขาเป็นท่านอาจารย์ พ่วงด้วยตำแหน่งรองเจ้าสำนัก “เอะอะโวยวายทำไมกัน” พอได้เล่าลูกลิงทั้งหลายเสียงเอะอะดังก้อง ทำให้เขาต้องละมือจากการอ่านตำรา ออกมาตำหนิพวกเด็กดื้อพวกนี้ “ข้าพบนางที่เชิงเขาด้านล่างขอรับ ตอนที่ข้าพาเหล่าศิษย์น้องออกไปล่าสัตว์” เหวินหนิงคือคนที่อุ้มร่างบอบบางเอาไว้แนบอก เพียงแค่พบก็รู้สึกเวทนาและสงสาร เขามองเด็กน้อยใบหน้าขาวซีด พลางเดินเข้ามาจับชีพจรที่ข้อมือของนาง จึงเอ่ยขึ้นว่า “พานางไปพัก แล้วเตรียมยาขับพิษ” ชายหนุ่มเอ่ยกล่าว ยามนี้ท่านหมอผู้นั้นอยู่ที่ใดกัน สงสัยมัวแต่ร่ำสุรากับบรรดาสตรีที่หอโคมเขียวอยู่กระมัง วัน ๆ ถึงได้ไม่พบหน้าตา ไม่รู้ว่าจะสั่งสอนตาแก่คนนี้ได้อย่างไร หัดทำตัวให้เป็นอาจารย์ที่ดีของบรรดาศิษย์บ้างก็ได้ ทำแต่ตัวอย่างที่ไม่เอาไหนให้เหล่าศิษย์น้อยให้ได้พบเห็นอยู่เป็นนิจเช่นนี้ไม่ดีนัก “หา...ยาขับพิษอันใดกันขอรับท่านอาจารย์ ไม่รอท่านหมอหรือ” เหวินหนิงหน้าเผือดซีด ใกล้เคียงกับน้องน้อยที่เขาอุ้มอยู่ หากให้ท่านอาจารย์รักษาคาดว่าคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ท่านหมออาจโวยวายลั่นสำนักอีกเป็นหนที่สอง...สามแล้วกระมัง “หากรอเจ้าบ้านั่นละก็ แม่หนูคนนี้ก็คนสิ้นใจแล้วเร็วเข้า” จ้าวเว่ยขึ้นเสียงเล็กน้อย ความเป็นตายอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น เด็กคนนี้ต้องพิษเย็น ใบหน้าขาวซีด ไม่แน่อาจถูกวางยาพิษก็เป็นไปได้ บวกกับยามนี้อากาศหนาวเย็นยะเยือกเยี่ยงนี้ก็เร่งทำให้พิษในร่างกายกำเริบขึ้นได้ทุกที “เจ้าพูดให้มันดี ๆ นะ ถึงวัน ๆ ข้าจะไม่เอาไหน ร่ำสุรากับเหล่าสตรีทั่วไป แต่ข้าคือหมอที่เก่งกาจของวังหลวงเชียวนะ” ตาแก่ขี้เมาคนนี้ ไม่ได้ไปที่ไหน แต่แอบหลบซ่อนนอนดื่มสุราอยู่บนต้นไม้สูงใหญ่ เหลือบเห็นเหล่าศิษย์ตัวน้อย พาเด็กน้อยเข้ามา เขาจึงทะยานลงมาในมือยังคงถือน้ำเต้าด้านในมีสุราอยู่ในนั้นด้วย ชายคนนี้ระมัดระวังไม่ให้สุราหก รักษามากกว่าชีวิตของตนอีกด้วย กว่าจะหมักได้รสชาตินี้ก็บ่มเพาะมาหลายปี พอได้ลิ้มรสก็ทำให้วางไม่ลง เขายืนทรงตัวแทบไม่ไหว มองแม่หนูน้อยก็นึกเอ็นดู จับแก้มตอบของนางก็รู้สึกหดหู่ “อย่ามัวพูดเพ้อเจ้อ มาได้จังหวะก็รีบนำนางไปรักษา” จ้าวเว่ยรีบกล่าวเสียงดัง เพราะเหล่าลูกลิงทั้งหลายต่างก็พากันอยากรู้อยากเห็นมุงดูแม่หนูคนนี้ตาเป็นประกาย “ชะตาของแม่หนูคนนี้ช่างมีวาสนาดีเหลือเกิน” ชายชราเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ใบหน้ามีร่องรอยเหี่ยวย่นแย้มยิ้มยินดีนัก ที่ได้พบเหยื่อตัวน้อยแสนน่ารักเข้าให้ “จะมัวพูดโยกโย้ทำไมเล่า นำนางไปเสียเดี๋ยวนี้” จ้าวเว่ยขึ้นเสียงดังใส่อีกครา รีบบอกกล่าวทางอ้อม ประเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาอีก “ข้าบอกพวกเจ้าไว้ก่อนเลยนะ นางจะเป็นเหยื่อให้ข้าลองพิษชนิดใหม่” ท่านหมอซูเคยเป็นท่านหมอที่เก่งกาจที่สุดในวังหลวง เคยรักษาเหล่าเชื้อพระวงศ์มาก็มาก บัดนี้ถูกส่งให้มาเป็นอาจารย์อยู่ในสำนักปีศาจ บุปผารัตติกาล ที่ต่างก็พากันขนานนามว่าโหดร้ายป่าเถื่อน และรับเลี้ยงแต่นักฆ่าทั้งนั้น แท้จริงแล้ว ในสำนักนี้เต็มไปด้วยบุตรหลานของเหล่าขุนน้ำขุนนางทั้งหลายที่ถูกคัดเลือกให้เข้ามาศึกษาในสำนักบุปผารัตติกาล ฉากนอกคือนักฆ่า แต่แท้จริงแล้ว ถูกฝึกฝนให้ตรวจสอบบรรดาขุนนางที่คิดคดทรยศบ้านเมืองและต้องเป็นสายลับ หมั่นฝึกฝนเขี้ยวเล็บเอาไว้ตั้งแต่เยาว์ ภายภาคหน้าจะได้ช่วยเหลือแว่นแคว้น นำพาแคว้นโจวเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง “เจ้าเอาชีวิตของนางมาล้อเล่นได้อย่างไร” จ้าวเว่ยเอ่ยถามเสียงดุดันนัก ทั้งคู่คล้ายว่าไม่ค่อยลงรอยกันเท่านัก อีกทั้งแม่หนูน้อยคนนี้มาจากที่ใดกัน เหตุใดสภาพคล้ายคนใกล้ตายเยี่ยงนี้ เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารและเวทนานัก ซูเหยียนอดีตหมอหลวงแห่งแคว้นโจวจิบสุราในลูกน้ำเต้าไปอึกใหญ่ พอจิบได้สมใจก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างคนอารมณ์ดี พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำยียวนกวนประสาทขึ้น “โถ ๆ สหายของข้า เจ้าสมองหมูหรือ ต้องนับว่านางโชคดีที่ได้ข้าเป็นผู้รักษา” “พวกท่านอย่ามัวเกี่ยงกันได้หรือไม่ น้องสาวคนนี้คงจะสิ้นใจเสียตรงนี้ ข้านำนางเข้าไปก่อนนะขอรับ” เหวินหนิงรีบนำพาร่างบอบบาง เบาหวิวราวกับปุยนุ่นเร่งฝีเท้าเข้าไปในห้องว่า ของเรือนฝั่งซ้าย ซึ่งติดกับเรือนของท่านเจ้าสำนัก ก่อนท่านหมอจะเดินตามศิษย์รักไป เหลียวมองเหล่าลูกลิงทั้งหลาย พร้อมกับส่งเสียงขึงขังขึ้น “ส่วนพวกเจ้า เฝ้าต้นทางเอาไว้ให้ดี อย่าให้เจ้าบ้านี่เข้ามา” “ซูเหยียนอย่ามัวพูดมาก รีบตามเหวินหนิงไปเร็วเข้า”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD