ตอนที่ 6 ตาแก่ขี้เมา
ทางด้านเมิ่งลู่พกพาความผิดหวัง กลับจวนตระกูลเสิ่นด้วยสีหน้าแห่งความสิ้นหวัง สาวใช้ข้างกายกุมมือนายหญิงชราเอาไว้ มองใบหน้าเหี่ยวย่นด้วยความห่วงใย “นายหญิงเจ้าค่ะ สวรรค์ย่อมคุ้มครองคนดี คุณหนูเซียวย่อมปลอดภัยเจ้าค่ะ”
“ข้ารับปากกับฝูเจียวเอาไว้ หากเซียวอิ๋นฮวาเป็นอะไรไป ข้าจะมีหน้ากลับไปหานางได้อย่างไรกัน” เมิ่งลู่ถอนลมหายใจอย่างอ่อนล้า แววตาเหม่อมองด้านนอกรถม้า
ซึ่งบนพื้นเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะทับถม อากาศช่างเยียบเย็นยิ่งนัก หายใจเข้าออกก็ลำบากยิ่ง นึกถึงเด็กน้อยที่ต้องรอนแรมออกจากจวนเพราะคำพูดของนักพรตคนนั้น
กล่าวหาว่าเซียวอิ๋นฮวาเป็นกาลกิณี ทำให้มารดาล้มป่วย สาวใช้ในจวนต้องสังเวยชีวิตแทนตัวอัปมงคล พอนึกถึงตรงนี้แล้ว เมิ่งลู่ก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดนัก นางจึงล้วงป้ายหยกออกมาจากห่อผ้าที่ปักด้วยลายมู่ตาน
“ที่วัดถังหยวน มีอะไรสำคัญหรือไม่ เหตุใดก่อนตายไป๋จินจูจึงคิดส่งลูกสาวไปที่นั่นกัน” เมิ่งลู่ครุ่นคิดอย่างหนัก ถึงเหตุผลของคนที่ล่วงลับไปแล้ว ทำไมและทำไมอยู่ในใจหลายครา แต่นางกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ชวนน่าสงสัยยิ่งนัก
สาวใช้ผู้นี้พอรู้ประวัติเมืองถังหยวนอยู่บ้าง ครั้งที่เดินทางติดตามนายท่านไปคุ้มกันภัยให้แก่ ขบวนสินค้า ผ่านเมืองถังหยวนพอดี จึงได้พานพบผู้ประสบภัย
อีกทั้งยังรู้อีกว่ามีแม่ทัพรูปงามพิทักษ์ดินแดนเมืองถังหยวนเอาไว้ มิให้ศัตรูเข้ามารุกราน “ว่ากันว่าเมืองถังหยวนเป็นเมืองใกล้นอกด่านที่สุด แล้วในอารามวัดนั้นก็หาได้มีอาหารอุดมสมบูรณ์แต่อย่างใด มีเพียงแค่ท่านแม่ทัพจ้าวที่คอยช่วยอารามวัดถังหยวนเอาไว้...หรือว่า...” สาวใช้หยุดใช้ความคิดสักครู่หนึ่ง
จู่ ๆ นางก็พูดโพล่งขึ้นมา “นางอาจเป็นบุตรสาวของแม่ทัพจ้าวใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“อย่าเดาส่งเดช” เมิ่งลู่ส่งเสียงดุสาวใช้ผู้นี้ “มิใช่มีปากจะพูดก็พูดได้เชียวนะ เรื่องนี้ต้องให้คนไปสืบความให้กระจ่าง”
ทางด้านสำนักปีศาจ ที่ต่างก็พากันหวาดผวา ยามนี้เหล่าเด็กชายอายุราว ๆ สิบกว่าหนาว พากันนั่งดูว่าน้องน้อยคนนี้จะลืมตาขึ้นมาเมื่อไร เพราะผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้วที่นางได้เข้ามาพักในห้องนี้
พร้อมกับท่านอาจารย์ซูเหยียนที่เป็นผู้รักษาอาการต้องพิษหนาว ขับยาพิษออกจากร่างกายให้นางจนเกือบจะหมดแล้ว ทว่านางกลับสำลักยาออกมาต่อเนื่องไม่กลืนยาเลยแม้แต่น้อยนิด
อารมณ์คนแก่ใจร้อนจึงจำเป็นต้องให้ใครคนหนึ่ง เป็นคนป้อนยาให้แก่แม่หนูน้อยผู้นี้ ทุกคนลมความเห็นพร้อมกับชี้มือไปที่เหวินหนิง ซึ่งมีอายุมากกว่าผู้อื่น อายุของเขาย่างเข้าสิบห้าหนาวแล้ว ก็ใกล้เวลาที่เขาจะกลับเข้าเมืองหลวงเข้าไปทุกที
เหวินหนิงเป็นคนสำคัญของแคว้นโจว มีพี่ชายคนโตมีนามว่าเหวินหยาง มีน้องสาวอีกคนนามว่าเหมยเหยา เขาเป็นบุตรชายคนสาม เช่นนั้นจึงมีหน้าสำคัญในภายภาคหน้า ต้องช่วยพี่ชายซึ่งมีตำแหน่งที่สำคัญของแคว้นโจว เขาต้องเป็นทั้งแขนและขาเป็นผู้ช่วยที่มากด้วยความสามารถ
ดังนั้นเหวินหนิงจึงถูกส่งมายังสำนักบุปผารัตติกาลตั้งแต่อายุห้าหนาว มีกำหนดระยะเวลาว่า อายุสิบหกปีเมื่อไรต้องกลับเมืองหลวง รับหน้าที่อันสำคัญช่วยพี่ชายอีกแรงหนึ่ง
เหวินหนิงรู้สึกกระดากอายนัก ไม่เคยจุมพิตหญิงใดมาก่อน แม้จะป้อนยาให้น้องสาวผู้นี้ก็ตาม หากแต่เขาก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง จะกระทำตัวเยี่ยงโจรป่า แอบกินเต้าหู้นางได้อย่างไรกัน
ยามที่ใช้ริมฝีปากป้อนยานางนั้น ทุกคนต่างก็พากันเดินออกข้างนอก ปล่อยให้ชายหญิงอยู่ในห้องสองต่อสอง...ยกเว้นท่านอาจารย์ซูไว้อีกคน เพราะมัวแต่เคี่ยวยาให้คนป่วย ไม่ได้แอบมองเหวินหนิงป้อนยาแม้แต่น้อย
ในเวลานี้ผ่านมาก็นานมากแล้ว ท่านหมอซูนับนิ้วไปมา จากนั้นจึงเริ่มการฝังเข็ม “พวกเจ้าดูนางนะ จุดตามร่างกายของนาง ควรฝังเข็มเช่นไร อาการของนางเป็นเช่นไรในยามนี้ต้องดูให้แน่ชัด”
“ท่านอาจารย์ นางไม่มีเหงื่อ ใบหน้ายังซีดเหมือนเดิม ยาที่ท่านป้อนไปจะได้ผลจริงหรือขอรับ” เหวินหนิงเอ่ยปากร้องทัก ท่านอาจารย์ จะเชื่อใจได้หรือไม่ ให้รักษาคนแต่ไหงนางกลับยังแน่นิ่งเหมือนเดิม เขาไม่ไว้ใจจึงยกมือขึ้นไปอังจมูก พอได้รับลมอุ่น ๆ ของนางจึงชักสีกลับจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“ได้ผลหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่เจ้า” ซูเหยียนหัวเราะเล็กน้อย ต่อว่าศิษย์รักเบา ๆ
“หา....” เหวินหนิงอุทานเสียงดัง “เหตุใดขึ้นอยู่ที่ข้าเล่า” คราวนี้เหวินหนิงอุทานเสียงดังกว่าเดิม เจ้าพวกลูกลิงศิษย์น้องทั้งหลายต่างก็พางง งวยไปหมด กระทั่งตัวเขาเองยังมึนงงกับคำพูดของท่านอาจารย์
‘สรุปคือท่านอาจารย์กำลังเมาสุราหลงลืมสูตรยารักษาผิดใช่หรือไม่’
ถ้อยคำนี้เหวินหนิงไม่กล้าพูดออกไป หวั่นว่าอาจารย์ที่สติไม่ค่อยจะพอดีจะซัดเข็มพิษมาให้เขาได้ลิ้มลองสักเล่มสองเล่ม เช่นนั้นศิษย์รักจึงเก็บคำพูดจาเหน็บแนมท่านอาจารย์เอาไว้ในใจเท่านั้น
“ก็ข้าให้เจ้าเป็นคนป้อน นางกลืนยาหรือไม่เล่า” ขณะที่ชายชราเอ่ยนั้น มือหนึ่งก็เคี่ยวยาไปพลาง
“กะ...กลืนขอรับ” เหวินหนิงเอ่ยตะกุกตะกัก ท่าทางมีพิรุธยิ่งนัก ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย พลันแดงเรื่อง “ท่านอาจารย์เอาอะไรให้นางกินกัน ทำไมข้ารู้สึกว่าหน้าร้อน ๆ เล่าขอรับ”
“เจ้าเด็กสมองหมู กลับไปที่ห้องซะ ทำใจให้สงบแล้วค่อยมา” ซูเหยียนอยากหัวเราะให้ฟันหลุดนัก เจ้าเด็กคนนี้ช่างไม่ประสา “พวกเจ้าก็ด้วย ตามศิษย์พี่กลับไปห้องพักเสีย ประเดี๋ยวช่วงเย็น ๆ ค่อยมาดูนางใหม่”
ประตูด้านหน้าถูกเปิดออกอีกครั้ง โดยเหล่าศิษย์ตัวน้อยทั้งหลายต่างก็พากันเดินคอตกกลับออกไป ไม่ถึงอึดใจหนึ่ง บรรดาท่านอาหนุ่มแน่นก็เข้ามา “เป็นเช่นไรบ้างขอรับ อาการนางดีขึ้นหรือไม่”
“คนที่ใช้พิษนี้จิตใจทำด้วยอะไร ให้พิษมันกัดกร่อนเลือดเนื้อจนอยู่ไม่สู้ตาย” คนชั่วช้าเช่นนี้จิตใจช่างโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ยิ่งนัก กล้าทำร้ายกระทั่งเด็กน้อยตาดำ ๆ
“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับมอบหมายสำเร็จดีหรือไม่” ท่านหมอสอบถามขึ้นอีกหน
“เมืองถังหยวนยามนี้ปลอดภัยดีขอรับ ส่วนหัวเมืองต่าง ๆ ก็รายงานท่านเจ้าสำนักแล้ว” ชายผู้นี้อายุย่างสามสิบกว่า เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงทุ้ม ท่าทางอ่อนน้อมต่อท่านหมอยิ่ง
“อืม รอท่านเจ้าสำนักกลับมาจากเมืองหลวงเสียก่อน เรื่องอื่นค่อยรายงาน ว่าแต่เจ้ารายงานจ้าวเว่ยหรือยัง” ท่านหมอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองไปยังชายหนุ่มผู้นี้ด้วยความอยากรู้ ประเดี๋ยวจะหาว่าเขาข้ามหน้าข้ามตา ให้ศิษย์เหล่านี้รายงานเพียงแค่เขาคนเดียว
“พวกข้าจะกล้าเข้าใกล้ท่านรองหัวหน้าหรือขอรับ วัน ๆ อยู่แต่กับตำรา หากไม่....” ชายหนุ่มผู้นี้ก้มหน้าก้มตาตอบกลับน้ำเสียงเบา ๆ หวั่นว่าท่านรองเจ้าสำนักจะได้ยินเข้า เขาอาจถูกเล่นงานก็เป็นไปได้ อีกทั้งท่านรองชมชอบความสงบเงียบ ใครจะเข้าไปก็คงต้องรอให้ท่านรองเจ้าสำนักเปิดประตูออกมาเอง
“ช่างพูดมากเสียจริง น่ารำคาญนัก” จ้าวเว่ยแวะเวียนมาดูอาการของแม่หนูน้อย พอมาถึงได้ยินศิษย์ผู้หนึ่งกำลังพูดว่าร้าย เขาจึงรีบพูดขึ้นไปทันใด ชักสีหน้าเข้าใส่ทั้งสองคนที่นั่งบื้อใบ้อยู่ในห้อง
“ท่านรองเจ้าสำนัก” เขาไม่คิดว่าท่านรองจะปรากฏตัวอุทานเสียงดัง พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ ถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับยกมือขึ้นประสาน “คารวะท่านรองเจ้าสำนักขอรับ”
“ข้าแค่แวะมาดูอาการนางเท่านั้น ว่าอย่างไรท่านซู นางดีขึ้นหรือไม่” จ้าวเว่ยสอบถาม เห็นสีหน้าของเด็กน้อยยังขาวซีดเช่นเดียว ไม่อยากให้มาตายอยู่ในสำนัก ข่าวลือก็แพร่สะพัดจนยากจะแก้ต่าง จึงปล่อยให้เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว
“ฝีมือข้าระดับไหนแล้ว อีกเดี๋ยวนางก็คงฟื้น ข้าให้อาเหวินเป็นคนป้อนยานาง” ซูเหยียนหัวเราะในลำคอ เพราะเหวินหนิงคือศิษย์รักของจ้าวเว่ย เขาจึงใช้เจ้าเด็กคนนั้นป้อนยาคิดแก้แค้นจ้าวเว่ยทางอ้อม
“จ้าบ้าหรือสติฟั่นเฟือนกันแน่ เจ้าให้พวกเขาป้อนยากันเนี่ยนะ” ใบหน้าของท่านอาจารย์จ้าวแดงก่ำ ภายในอกแทบคลุ้มคลั่งอยากบีบคอตาแก่ขี้เมาคนนี้ยิ่งนัก
“อืมก็ใช่นะสิ ใช้ปากป้อนด้วยนะ” ท่านหมอยังเล่นลิ้น ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เคี่ยวยาต่อไป
“หา....ซูเหยียนวันนี้ข้าคงต้องฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเองแล้วกระมัง” พลันจ้าวเว่ยตะคอกเสียงดังใส่ ตั้งท่าคิดจะใช้ฝ่ามือซัดพลังเข้าให้
ทว่าถูกซูเหยียนท่านหมอที่เอาแต่ร่ำสุรา ยกมือขึ้นห้ามปรามขึ้นว่า “หากข้าตาย ใครจะรักษานางกัน”
“ข้าจะรักษานางเอง” จ้าวเว่ยอาสา ออกหน้ารักษาแม่หนูน้อยคนนี้ ด้วยเพราะมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงใครสักคน และเป็นคนสำคัญของแว่นแคว้น “ไม่มีเจ้า ข้าก็หาหมอที่เก่งกาจกว่านี้ได้”
ชายหนุ่มที่เข้ามาก่อนหน้านี้ เห็นท่านอาจารย์ทั้งสองมีปากเสียงกัน เขาก็รีบเร้นกายหายตัวไปจากห้องนี้โดยพลัน หวั่นว่าตนเองจะถูกลูกหลงไปด้วย ความซวยจะมาเยือนศีรษะตนเองก็หนนี้
เช่นนั้นในห้องจึงมีชายชราที่มีอาการมึนเมายังไม่ทุเลาดี กับท่านอาจารย์จ้าวที่วัน ๆ เอาแต่คร่ำเครียดอยู่กับตำราและการฝึกฝนวรยุทธ์ และอีกหนึ่งคือแม่หนูน้อยที่นอนอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ
น้ำเสียงที่เอะอะโวยวายดังลั่นห้องกว้าง ทำให้คนนอนหลับอยู่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ พอเห็นชายแปลกหน้าทั้งสองก็คือว่าคนบ้ายืนเถียงกันไปมาราวกับเด็กอายุห้าหกหนาว นางก็แสร้งนอนหลับเงี่ยหูฟังพวกเขาต่อ
ซูเหยียนถูกจ้าวเว่ยหักหน้า หักหาญวิชาการแพทย์ที่ร่ำลือว่าเป็นท่านหมอเทวดา หนนี้ชายผู้นี้ช่างกล้าสามหาวนัก เช่นนั้นจึงตะคอกเสียงดังขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวว่า “เจ้าเป็นหมอหรือไร อย่าลืมสิว่าเจ้าเป็นเพียงแค่หนอนหนังสือ จะเอาอะไรมาทัดเทียมข้ากันเล่า”