ตอนที่ 7 ฟื้น
น้ำเสียงของท่านอาจารย์ทั้งสองดังก้องกังวาน จนถึงห้องครัว แม่นมรูปร่างอวบอ้วนของเหวินหนิง ที่ติดตามจากวังหลวงมารับใช้ถึงสำนักนี้
นางชักสีหน้าอย่างหงุดหงิด เอื้อมมือหยิบมีดทำอาหารเล่มใหญ่ เดินออกมาด้วยท่าทางขึงขัง พอเดินจ้ำเท้ามาถึงห้องพักก็เปิดประตูออกกว้าง ใช้มีดเล่มใหญ่สับลงที่หน้าประตูดัง ปัง!
ชายหนุ่มและชายชราทั้งสองที่ขึ้นเสียงกัน พากันหุบปากยืนสงบนิ่งราวกับเด็กน้อยถูกมารดาสั่งสอน หญิงรูปร่างอวบอ้วน เหลือบมองแม่หนูน้อยนอนอยู่บนเตียง พลางแย้มยิ้มเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“เด็กคนนี้ใบหน้าจิ้มลิ้มเหลือเกิน เก็บมาได้จากตรงไหนกันเนี่ย” นานแล้วที่ไม่มีเด็กน้อยและเป็นเด็กหญิงหน้าตาพริ้มเพราเข้ามา นางจึงรีบเดินเข้ามาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง พร้อมกับเช็ดมือที่เปรอะเปื้อนบนกับกระโปรงเนื้อหยาบ ยื่นมือไล้กรอบหน้าเล็ก ๆ อย่างเอ็นดู
น้ำเสียงของแม่ครัวทำให้เซียวอิ๋นฮวาที่แสร้งหลับนั้น ค่อย ๆ ขยับเปลืองตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ แพขนตาหนางอนงามของนาง กลับทำให้แม่นมผู้นี้เฝ้ามองอย่างจดจ่อ เพียงแค่แม่หนูน้อยลืมตาขึ้นเท่านั้น แม่นมผู้นี้ถึงขั้นอุทานเสียงดัง “ช่างงามนัก งดงามพริ้มเพราเหลือเกิน”
“นี่พวกท่านมานี่เร็วเข้า นางฟื้นแล้ว” แม่นมเอ่ยเสียงตื่นเต้น รีบกวักมือเรียกบุรุษทั้งสองให้เข้ามาพิศดูโฉมหน้าอันงดงาม ดวงตากลมโตสุกสกาวนี้ กลับคลับคล้ายคลับคลาจ้าวเว่ยนัก เพียงแค่แรกพบกลับรู้สึกประหลาดใจที่ดวงตาคู่นี้คล้ายท่านรองเจ้าสำนักเหลือเกิน
แม่นมอวบอ้วนมองใบหน้าและดวงตาของจ้าวเว่ยอีกครั้ง สลับไปมาระหว่างแม่หนูน้อยที่ลืมตาโพลงแล้วไม่เอ่ยอันใด นอนนิ่ง ๆ ราวกับเป็นคนบื้อใบ้ นางจึงพูดขึ้นอีกครา “ท่านรองเจ้าสำนัก แม่หนูคนนี้ใช่บุตรสาวของท่านที่ไปทำสตรีนางใดท้องใช่หรือไม่”
“ข้าเปล่านะ” ไม่ใช่เขาสักนิด แม่นมพูดนี้ช่างพูดจาประหลาด จริงอยู่ที่ใบหน้าของนางคล้ายคลึงกับใครบางคน และเป็นคนสำคัญ รอให้เขามั่นใจอีกนิดก็แล้วกัน ไม่แน่อาจจะไม่ใช่ก็เป็นไปได้
“แม่หนูจ๊ะ หิวหรือไม่ พวกข้าไม่ทำร้ายเจ้า” แม่นมอวบอ้วนยังคงเอื้อนเอ่ยน้ำเสียงอบอุ่น พลางกุมมือนุ่มนิ่มและเยียบเย็นของเด็กคนนี้เอาไว้ มองดวงหน้าซีดเซียวอย่างห่วงใย
เซียวอิ๋นฮวารับรู้ถึงความปลอดภัย นางพยายามจะขยับแต่ก็รู้สึกเจ็บปวดตามร่างกาย ราวกับว่ากระดูกของนางจะแตกหักออกเป็นเสี่ยง ๆ เสียอย่างนั้น
โอ๊ย!...
เสียงแม่หนูน้อยร้องเจ็บปวดขึ้นมา ทว่ากลับมีเด็กชายคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาดูทันที “เจ้าเจ็บตรงไหนบอกพี่ชายมาเร็วเข้า” เขาเอ็นดูนางดั่งน้องสาว จึงเอ่ยขานตนเองเป็นพี่ชายนาง
“พี่ชายหรือเจ้าคะ” นางไม่เคยมีพี่ชาย ถึงเคยก็ไม่มีใครห่วงใยนางด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ บรรดาเครือญาติของท่านพ่อต่างก็ขยะแขยงนาง กล่าวหาว่านางเป็นตัวอัปมงคล ทำให้ตระกูลเซียวเสื่อมเสีย
“คุณชาย เว้นระยะห่างด้วยเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิง” แม่นมเผิงขึ้นเสียง พร้อมกับชักสีหน้าพอให้เจ้านายได้รู้ตัว
ส่วนตาแก่ขี้เมาเห็นแล้วก็รู้สึกขัดหูขัดตานัก ถึงขั้นเอ่ยปากขึ้นว่า “โถ่ ๆ แม่นมเผิง ช่างไม่รู้อะไร ข้าให้อาเหวินป้อนยาให้นาง”
“ตาแก่คนนี้ ช่างบังอาจนัก หัวเจ้าจะขาดยังไม่รู้ตัวอีกหรือ” พอได้ยินเช่นนี้แม่นมเผิงลุกพรวดอย่างตกใจ ยกมือขึ้นชี้หน้าตาแก่ซูเหยียน อย่างเกรี้ยวกราด ช่างบังอาจสามหาวคิดให้องค์ชายสาม ของนางป้อนยาเด็กไม่รู้ที่มาที่ไปเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน
ท่านรองเจ้าสำนัก นั่งลงบนเก้าอี้ว่าง เบื้องหน้าเป็นโต๊ะกลมบนโต๊ะมีกาน้ำชาอุ่น ๆ วางเอาไว้ มีถ้วยชาวางอยู่สี่ใบ เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมา พร้อมกับรินน้ำชาแล้วโยนให้แม่นมเผิงรับเอาไว้
ฝ่ามืออวบอ้วนคว้าจับถ้วยน้ำชา เหลือบมองท่านรองเจ้าสำนักก็ยิ่งหงุดหงิดใจ “ท่านรองเจ้าสำนัก เหตุใดถึงส่งช้าให้ข้าเช่นนี้เจ้าคะ”
“ก็เพียงแค่อยากรู้ว่าแม่นมเผิงหลงลืมวรยุทธ์ไปแล้วหรือไม่ เห็นวิ่งหน้าตั้งเข้ามา พร้อมกับอาวุธข้าก็คิดว่าจะมาสังหารข้ากับแต่แก่คนนั้นต่างหาก” จ้าวเว่ยกล่าวติดตลกขบขัน หวังว่าสถานการณ์ตึงเครียดนี้จะช่วยให้มันบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง
ส่วนเหวินหนิงคนถูกดุนั่งหน้าหงอยมองเด็กน้อยที่ค่อย ๆ จะขยับตัว แต่แล้วก็ทำได้แค่นอนราบอยู่บนเตียงเช่นเดิม “เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าชื่อ...” นางคือกาลกิณีหากบอกพวกเขาไปแล้ว เขาจะฆ่านางหรือไม่
“ไม่ต้องกลัว ที่นี่ปลอดภัย ไม่มีใครคิดทำร้ายเจ้าอีกแล้ว” หากเขากับเหล่าศิษย์น้องไปช้ากว่านี้อีกนิด นางก็คงถูกเจ้า สารเลวคนนั้นย่ำยีเป็นแน่ นับว่านางยังโชคดีที่สวรรค์เมตตา ทำให้พวกเขาได้ช่วยเหลือนางจากเงื้อมมือปีศาจราคะผู้นั้น
“ข้าชื่ออิ๋นฮวาเจ้าค่ะ ข้าคือคนตระกูลเซียว” นางก้มหน้าตอบน้ำเสียงแหบแห้ง
แม่นมเผิงหันมาสนใจเด็กน้อยคนนี้ ก็ยกมือขึ้นเชยคางของนาง โอบกอดปลอบขวัญเพราะเห็นแววตาหดหู่เศร้าหมองนั่น “ไม่เป็นไรนะ เจ้าอยู่ที่นี่ปลอดภัย พวกเราจะดูแลเจ้าจนกว่าจะหายดี”
ความอบอุ่นนี้ทำให้เซียวอิ๋นฮวาตื้นตันใจนัก อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นจากคนแปลกหน้า กลับรู้สึกปลอดภัยเสียกว่าความรักของบิดาที่มอบให้แก่นางเสียอีก แม่หนูน้อยสะอึกสะอื้นด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณเจ้าค่ะที่เมตตาข้า”
“ไม่เป็นไร ฟื้นแล้วก็ดี ต่อจากนี้ก็พักอยู่ที่นี่จนกว่าจะหายดีก็แล้วกันนะ” แม่นมเผิงยังกล่าวอย่างลื่นไหล น้ำเสียงที่ใช่นั้นล้วนนุ่มนวลน่าฟังยิ่ง
เหวินหนิงจ้องน้องน้อยคนนี้ตาแป๋ว เห็นนางยิ้มออกเขาก็โล่งใจนัก “เรื่องร้าย ๆ ผ่านไปแล้ว ถือเสียว่าข้าเป็นพี่ชายของเจ้านะอิ๋นฮวา” เหวินหนิงรีบออกปากเอ่ยกล่าว รู้สึกเอ็นดูนางดั่งน้องสาวสายเลือดเดียวกัน
เซียวอิ๋นฮวาไม่เคยมีใครพูดกับนางอย่างนี้มาก่อน พยักหน้าหงึกหงักรับคำพี่ชายต่างสายเลือด
จากนั้นจึงมองไปยังท่านอาจารย์ผู้หนึ่ง อายุยังไม่มาก ใบหน้าคมคายนัก ติดแค่ว่าสายตาช่างเย็นชาเยียบเย็นจนน่าหวาดกลัว
“เจ้าเรียกข้าว่าท่านอาจ้าวก็แล้วกัน” ดู ๆ แล้วบิดาของนาง อายุก็คงจะมากกว่าเขาหลายปี จึงเสนอออกตัวว่าเป็นท่านอาเสียก่อน อีกทั้งจะรับนางเป็นศิษย์หรือไม่
ยังต้องหารือกับท่านเจ้าสำนักอีกที นั่นก็เพราะว่านางเป็นบุตรสาวของตระกูลเซียว เดินทางผ่านมาประสบเคราะห์ร้าย แล้วยังต้องสืบพื้นเพนางให้กระจ่างอีกครา
“ส่วนข้า เจ้าก็เรียกว่าท่านปู่นะ” ชายชราไม่คิดมาก ยามที่พูดออกมาได้กลิ่นสุราเหม็นฉุน แม่หนูน้อยกลั้นหายใจพยักหน้าเบา ๆ
“ข้าคือแม่นมของเหวินหนิง จะเรียกท่านยายก็ได้” ส่วนแม่นมเผิงแม้รูปร่างจะอวบอ้วน ก็พอมีวิชาติดตัวอยู่บ้าง ดังที่เมื่อครู่รับถ้วยน้ำชาของอาจารย์จ้าวได้ย่อมไม่ธรรมดานัก
“ยังมีท่านเจ้าสำนักยังไม่กลับจากธุระ หากเขากลับมาแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปฝากเนื้อฝากตัวให้เขาดูแลอีกที” จ้าวเว่ย ออกปากขึ้นอีกหน เหลือบมองชายชราที่นั่งยิ้มแป้น ภูมิอกภูมิใจกับการช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากเช่นนี้เสมอ
ภายนอกของซูเหยียนเหมือนคนไม่เอาไหน วัน ๆ ร่ำสุรา แต่วิชาการแพทย์ของชายผู้นี้ล้ำลึกยิ่งนัก
ถึงได้ถูกส่งตัวมาที่สำนักนี้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นทางอ้อม ในวังหลวงก็ล้วนมีศิษย์ของเขาอยู่หลายคน จึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องอยู่ในวังหลวง
เช่นนั้นท่านเจ้าสำนักจึงทูลขอหมอหลวงซูเหยียนมาประจำอยู่ที่สำนักบุปผารัตติกาล นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ก็ร่วมสิบกว่าปีแล้ว มีเหล่าเด็กน้อยที่ไร้ที่พึ่งพิงถูกรับเลี้ยงอยู่ในสำนักนี้ ถัดออกไปจะเป็นหมู่บ้านสำหรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าเหล่านั้น
และพื้นที่ในเขตนี้คือพื้นที่หวงห้าม คนภายนอกห้ามย่างกรายเข้ามาในนี้เด็ดขาด นั่นเพราะมิใช่มีเพียงแค่บุตรหลานของเหล่าขุนนาง ยังมีองค์ชายอยู่ในสำนักนี้ด้วย
จ้าวเว่ยลุกขึ้นยืน เห็นว่าเด็กน้อยฟื้นตัวดีแล้ว พูดคุยโต้ตอบได้จึงเบาใจ คิดว่าจะไปอ่านตำราอีกสักสองสามหน้า ก่อนจะออกไปนอกสำนัก เพื่อเยี่ยมเหล่าเด็กกำพร้าที่อยู่ในหมู่บ้านว่าเป็นเช่นไรบ้าง
“ขอบคุณพวกท่านทุกคนเจ้าค่ะ ที่ไม่รังเกียจข้าน้อย” เซียวอิ๋นฮวา ไม่ได้ปิดบังตัวตน แต่ก็ไม่ได้บอกว่านางคือตัวอัปมงคลตามที่นักพรตคนนั้นพูดเอาไว้ ในใจของนางล้วนซาบซึ้งผู้มีพระคุณทั้งหลาย
แต่ทว่านางก็ยังอาลัยอาวรณ์ผู้ที่จากไปนั่นก็คือผู้เป็นมารดาของนาง
“ไยจึงพูดจาเช่นนี้ ไม่ว่าเจ้าจะผ่านอะไรมา ล้วนวางมันลงเสีย ในสำนักนี้ทุกคนคือศิษย์ของข้า จะไม่มีใครว่าร้ายหรือทำร้ายเจ้าอีกแล้ว นอนพักเสียก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” จ้าวเว่ยได้ยินน้ำเสียงเจือปนความเศร้า แววตาของแม่หนูน้อยคนนี้กลับหม่นหมองลงก็ชวนใจหายนัก
เหวินหนิงรีบอาสา “นับจากนี้ไป พี่ชายคนนี้จะปกป้องดูแลเจ้าเองนะ ไม่ต้องเป็นห่วง”