ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ครืด… ครืด…
ตึก ตึก ตึก
เสียงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ครูดลากกับพื้นดังแข่งกับเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ สองคู่ที่กำลังวิ่งวนไปมาอยู่รอบตัวผู้เป็นแม่อย่างร่าเริง
คนหนึ่งคือเด็กผู้หญิงนัยน์ตาเฉี่ยวแฝงแววฉลาดเฉลียว ผมหน้าม้าสีดำด้านหลังมัดแกะสองข้าง ดวงหน้าขาวเล็กจิ้มลิ้ม คิ้วเรียว ปากนิด จมูกหน่อย ผิวขาวผ่องราวกับตุ๊กตา องค์ประกอบใบหน้าฉายแววสวยเหมือนแม่ตั้งแต่เด็ก
อีกคนคือเด็กผู้ชายนัยน์คมคายทอประกายซุกซน ผมสีดำเซ็ททรงอย่างเท่ ดวงหน้าจิ้มลิ้มคล้ายคลึงเด็กหญิงด้านข้าง เพียงแต่เด็กชายตัวสูงกว่าเล็กน้อย ส่วนองค์ประกอบใบหน้าเรียกว่าหล่อเหลาเกินเด็ก
เด็กทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน เกิดห่างกันเพียงห้านาที คนพี่คือเด็กหญิง คนน้องคือเด็กชาย
“หม่าม้าขา คุณลุงมาหรือยังคะ” เด็กหญิงกระตุกมือผู้เป็นแม่เบา ๆ
‘นับฝัน’ สาวสวยนัยน์ตาคมเจ้าของหุ่นนาฬิกาทรายสุดเซ็กซี่ คุณแม่เลี่ยงเดี่ยววัยยี่สิบห้าหยุดลากกระเป๋าก้มมอง ‘เจ้าเอย’ หรือ ‘จันทร์เจ้า’ ลูกสาวคนโตของตน คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยพลิกข้อมือดูเวลา เมื่อครู่ก่อนเครื่องแลนด์ดิ้งเฮียส่งข้อความมาบอกว่าถึงสนามบินแล้ว เดินออกเกตไปก็คงจะเจอ ยัยลูกสาวคนนี้ติดลุงมาก พอรู้ว่าจะได้เจอลุงถึงกับทนเก็บอาการไม่ไหวเลยเชียว
“เดี๋ยวเดินผ่านเกตไปก็เจอแล้ว เจ้าขุนมาจูงมือม้า” เธอกวักมือเรียก ‘เจ้าขุน’ หรือ ‘ขุนเขา’ ลูกชายคนเล็ก เด็กชายวิ่งเตาะแตะเข้ามาหา หน้าตายิ้มแย้มเริงร่าสุด ๆ คว้าจับมืออย่างว่าง่าย “เจ้าเอยจับมืออีกข้างของน้องไว้นะลูก ข้างหน้าคนเยอะ ระวังจะพลัดหลงกัน”
“ค่ะหม่าม้า” คนเป็นพี่สาวคว้าจับมืออีกข้างของน้องชาย เจ้าตัวเล็กตรงกลางที่เมื่อครู่วิ่งเล่นไปทั่ว พอถูกจับมือสองข้างก็บู้หน้าใส่
ไม่สนุกเลอออ บู้ ๆ ๆ
เมื่อเดินออกมาจากเกต แฝดพี่ที่เมื่อครู่ทำท่าทางเคร่งขรึมสะบัดมือน้องออกแล้ววิ่งปุก ๆ ถลาเข้าหาร่างสูงคุ้นเคยทันที คนผู้นั้นพอเห็นหลานวิ่งเข้ามาหารีบย่อตัวกางแขนรับเข้าอ้อมกอด
“คุณลุงขา!”
“ฮึบ! คนสวยของลุง”
‘นับกาล’ หนุ่มหล่อวัยยี่สิบแปดอุ้มเด็กหญิงขึ้นอย่างทะมัดทะแมง ร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อคมคายแฝงแววเจ้าเล่ห์เดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าน้องสาว เขาบีบแก้มหลานชายหนึ่งทีแล้วย่อตัวอุ้มขึ้นมาอีกคน กลายเป็นว่าเด็กแฝดวัยห้าขวบทั้งสองถูกเขาอุ้มด้วยแขนกำยำคนละข้าง
“เด็ก ๆ ตัวโตขึ้นมากแล้ว เฮียอุ้มไหวแน่เหรอ” ไม่ได้พูดดักนะ แต่กลัวทำลูกเธอตกเหลือเกิน เฮียล้มก็ช่างเถอะ แต่ลูก ๆ เธอห้ามเจ็บเด็ดขาด
“โห ยัยฝัน อย่ามาดูถูกพละกำลังของเฮียเชียวนะ นี่เฮียยังหนุ่มยังแน่น แถมยังโคตรฟิตแอนด์เฟิร์ม เอาอะไรมาอุ้มหลานไม่ไหวก่อน”
นับฝันอดเบะปากให้กับความมั่นหน้าที่กาลเวลาไม่สามารถทำลายมันได้ จะกี่ปีพี่ชายของเธอคนนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ไม่ดิ อาการหนักมากขึ้นทุกครั้งที่เจอด้วยซ้ำ
“แล้วเจ้หยาดล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ?”
“หยาดไปซื้อกาแฟ เออ แกไปตามหน่อยดิ หายไปนานไม่รู้โดนหมาตัวไหนเข้ามาจีบอีกป่าว”
“เฮียก็ไปตามเองสิ เมียเฮียไม่ใช่? จะมาใช้ฝันทำไม”
หวงเมียเบอร์นี้ เฮียนับกาลตัวจริงเสียงจริงเลยเหอะ!
“เอ้า ก็เฮียอุ้มหลานอยู่ไงฝัน เนี่ย ลูกหมูอ้วน ๆ ตั้งสองตัว เนอะ ๆ”
เด็ก ๆ หัวเราะคิกคักชอบใจ ยิ่งเฮียกาลหมุนตัวไปมาเสียงหัวเราะยิ่งดังมากขึ้น เธอเคยคิดว่าการที่ลูก ๆ ติดเฮียแจขนาดนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเด็ก ๆ โหยหาความแข็งแรงของพ่อล่ะมั้ง ทุกครั้งที่เจอเฮียถึงชอบเรียกร้องให้อุ้มเสมอ รายนั้นก็เรียกว่าอุ้มไม่วางเลยเหอะ เจ้าพ่อแห่งการสปอยหลานขั้นสุด นี่ขนาดมีลูกมีเต้าเป็นของตัวเองแล้วนะ นึกว่าความเห่อหลานจะน้อยลง ที่ไหนได้กลับเพิ่มมากขึ้นทุกปี
“โอเค ๆ ฝันไปตามเอง เฮียนั่งรอกับเด็ก ๆ ตรงนี้ก่อนแล้วกัน อย่าปล่อยหลานคลาดสายตาเชียวนะ ถ้าลูก ๆ ฝันถลอกเพียงนิด ฝันจัดการเฮียแน่”
“โอ๊ยโคตรดุ ยิ่งโตยิ่งดุนะฝัน นี่เฮียนะไม่ใช่ลูก”
“ก็เพราะเป็นเฮียไง ฝันเคยดุลูกด้วยเหรอ?”
“เออก็จริง”
นับฝันเลิกใส่ใจพี่ชายจอมกวนประสาท กดต่อสายหา ‘หยาดฟ้า’ พี่สะใภ้คนสวย เมียสุดรักสุดหวงของเฮียนับกาล
[เจอเฮียกาลแล้วเหรอ?]
“อื้อ เจ้อยู่ร้านไหน เดี๋ยวฝันเดินไปหา”
[สตาร์บัคชั้น 3 แถวประตู 3-4 น่ะ]
“โอเค เดี๋ยวเจอกัน”
นับฝันเดินมาไม่ถึงสามนาทีก็เห็นป้ายร้านที่กำลังตามหา จังหวะกำลังก้าวเดินต่อ บังเอิญชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของคนคนหนึ่งเข้า แรงชนทำเธอเสียหลักถอยหลังเกือบจะล้ม แต่ถูกวงแขนแกร่งโอบแผ่นหลังช่วยรั้งเอาไว้ได้ทัน
“ขอบคุณค่ะ” เธอกลับมายืนทรงตัว ผละออกจากวงแขนแกร่ง เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงตรงหน้า ทุกอย่างรอบตัวคล้ายหยุดชะงัก
ความคุ้นเคยสายหนึ่งแล่นวาบเข้ามา…
ผู้ชายตรงหน้ารูปร่างสูงโปร่งราว ๆ ร้อยแปดสิบกว่า ผมยาวสีเทาควันบุหรี่ดูยุ่งเหยิงถูกคลุมทับด้วยหมวกบักเก็ตสีดำ เขาสวมแว่นกันแดดและผ้าปิดปากสีดำบดบังหนวดเครารกรุงรังที่สามารถมองเห็นได้หน่อย ๆ การแต่งตัวเข้าขั้นคำว่าเซอร์ขั้นสุด ติสท์แบบโคตรจะติสท์ ด้านหลังสะพายกระเป๋า Backpack ใบใหญ่ ท่าทางเหมือนคนเพิ่งหลุดออกมาจากป่าเขาลำเนาไพร แต่ถึงกระนั้นเนื้อตัวเขากลับสะอาดสะอ้าน แถมยังสวมแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยด้วย
เป็นคนรวยนิสัยประหลาดสินะ…
“เอ่อ… Thank you” เพราะดูไม่ออกว่าเขาเป็นชนชาติไหน เอาเป็นว่าขอบคุณแบบสากลแทนแล้วกัน
จากนั้นร่างบางหมุนตัวเดินหนีไปทางร้านกาแฟโดยไม่หันกลับมาสนใจคนข้างหลังอีก
.
.
.
“…” มือหนายกขึ้นถอดแว่นกันแดดออก ดวงตาคมกริบมองตามร่างบางซึ่งเดินหายลับไปกับฝูงชนแล้ว
ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นถูกปิดบังด้วยแว่นกันแดดสีชาเลนส์ใหญ่กับผ้าปิดปากสีดำ ทำให้มองเห็นหน้าเธอได้ไม่ชัด แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
Rrr…
[เฮียอยู่ตรงไหนเนี่ย ผมถือป้ายรอเฮียนานจนรากจะงอกแล้วนะ!]
“…” ปลายสายน้ำเสียงร้อนรนแทบตาย คนถือสายฝั่งนี้กลับยืนเงียบไม่พูดไม่จาสักคำ เขาก้าวเท้าเดินต่อมาจนถึงหน้าประตูสนามบิน หยุดยืนมองห่าฝนด้านนอกอาคารผู้โดยสาร
[ฮัลโหล ๆ ผมได้ยินเสียงฝนด้วย นี่อย่าบอกนะว่าเฮียอยู่หน้าประตูแล้ว? เฮ้ยยย! รอผมก๊อนนนน! เฮียอย่าเพิ่งหายไปไหนนะ! ผมไม่อยากถูกคุณลุงเชือด!]
ปลายสายถูกตัด ร่างสูงยังคงยืนมองสายฝนด้านนอกนิ่ง ๆ เขายืนนิ่งมาก นิ่งแบบไม่ไหวติ่ง นิ่งราวกับหุ่น ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นท่ามกลางผู้คนสัญจรไปมารอบตัว ทั้งเสียงบีบแตร เสียงเครื่องยนต์ เสียงพูดคุย ความวุ่นวายรอบตัวพัดผ่านไปราวกับสายลม
“จะ เจอแล้ว แฮ่ก ๆ โอ๊ย หาตัวยากของโคตรยากเลยว่ะเฮียเพลิง!”
เจ้าของชื่อเรียก ‘เฮียเพลิง’ หรือ ‘เพลิงศูรย์’ ไม่แม้แต่จะปรายตามองผู้มาใหม่สักนิด เขาขยับตัวแล้วเดินออกจากประตู สายตาเหม่อมองท้องฟ้ามืดครึ้ม กลิ่นอายของสายฝนช่วยทำให้จิตใจชายหนุ่มรู้สึกสงบลง
อยากเดินกลับเข้าไปซื้อตั๋วแล้วบินกลับแอฟริกาอีกรอบจังเลย…
“เดี๋ยวเฮีย จะไปไหน?” อยู่ ๆ ร่างสูงหมุนตัวทำท่าจะเดินวกกลับเข้าสนามบิน ทำเอา ‘พุธ’ ลูกพี่ลูกน้องคนสนิทรีบคว้ากอดแขนเขาไว้ทันที นี่ถ้าหน้าหนากว่านี้นิดหนึ่งคงเอาขาเกี่ยวเอวเขาไว้แล้ว
แม่ง… ใจผมแทบสลายเลยฮะมุง นี่ถ้าปล่อยเฮียเพลิงหลุดมือไปอีกคราวนี้ไอ้พุธไม่ได้ตายดีแน่เลยค้าบบบ!
“กลับบ้าน”
“บ้านเฮียต้องไปทางนู้น รถผมจอดอยู่นู่น ไปผิดทางละเฮีย”
“กูจะกลับบ้านที่ครูเกอร์”
นั่น! ครูเกอร์! ครูเกอร์อีกแล้ว! นี่เฮียเพิ่งบินมาจากที่นั่นนะครับ! เพิ่งหลุดออกมาจากป่าแอฟริกานั่นเอง! เฮียจะรีบกลับไปทำไมก่อนนนนน!