“เอ่อ… เดี๋ยวนะ ขอตั้งสติแป๊บ” บรรยากาศเงียบจนวังเวงถูกทำลายลงด้วยน้ำเสียงสับสนงุนงงปนประหลาดใจของพุธ เขามองนับฝันสลับกับเด็กหญิงตัวน้อยด้านหลังของเธอ แล้วมองเพลิงศูรย์ก่อนกลับไปมองนับฝันอีกรอบ “ดะ เด็กคนนี้เป็นลูกของเธอเหรอฝัน?”
นับฝันนิ่งเงียบไม่ตอบ เธอหลบสายตาคมเข้มที่จ้องมองมาอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ออก สองตาหลุบมองพื้น มือที่กุมข้อมือเล็กเผลอบีบแรงขึ้นจนเด็กหญิงร้องครางออกมาเบา ๆ
“อ๊ะ… จะ เจ็บ”
“…” นับฝันรีบคลายมือออกแล้วนั่งยอง ๆ ข้างลูกสาว เธอพยายามควบคุมสติอารมณ์ ปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ก่อนค่อย ๆ ประคองข้อมือเล็กขึ้นมาดู เมื่อไม่เห็นรอยช้ำจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “ม้าขอโทษ… เดี๋ยวม้าเป่าให้นะคะคนเก่ง”
เธอเป่าลมเบา ๆ บนข้อมือเล็กของเจ้าเอย รู้สึกผิดจับใจที่เผลอทำลูกเจ็บ
“ไม่เป็นไรค่ะหม่าม้า เอยเอยไม่เจ็บแล้วค่ะ”
ภาพและบทสนทนาของทั้งสองแม่ลูกตกอยู่ในสายตาคมกริบของเพลิงศูรย์ ทว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไร ประตูห้องฉุกเฉินกลับเปิดออกเสียก่อน
นับฝันรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าหาหมอกับพยาบาลทันที
“ลูกชายฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”
“เด็กปลอดภัยแล้วครับ อาการแพ้ทุเลาลงมาก โชคดีที่ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างถูกวิธีทำให้อาการไม่รุนแรงมากแล้ว แต่ต้องพักรักษาตัวเพื่อรอดูอาการอีกสองสามวัน รบกวนญาติติดต่อทำเรื่องแอดมิทได้เลยนะครับ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมาก ๆ นะคะ”
นับฝันพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก เธอแทบจะทรุดนั่งบนพื้นแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ติดจินนี่เข้ามาประคองไว้
“เจ้ฝันโอเคไหมคะ เจ้หน้าซีดมากเลย หนูว่าเจ้นั่งพักก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูไปทำเรื่องแอดมิทให้น้องขุนเอง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเจ้ไปเองดีกว่า ฝากพาเจ้าเอยไปนั่งรอที่ food court ก่อนนะจินนี่ เจ้ทำเรื่องแอดมิทเสร็จแล้วจะรีบตามไป”
“งั้นก็ได้ค่ะ” จินนี่ลังเลเล็กน้อยก่อนรับคำแล้วจูงมือเจ้าเอยเดินจากไป นับฝันยืนมองลูกสาวที่หันกลับมามองเธอไม่ยอมละสายตาจนกระทั่งเดินเข้าลิฟต์ไป หลังประตูลิฟต์ปิดลงเธอจึงหมุนตัวเดินไปอีกทาง ราวกับลืมไปแล้วว่าตรงนี้ยังมีเพลิงศูรย์กับพุธยืนอยู่
ใช่… เธอจงใจลืมพวกเขา เธอจงใจสั่งให้จินนี่พาเจ้าเอยไปที่อื่นและทำเมินเฉยใส่พวกเขา เพราะว่าเธอยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับพวกเขาในตอนนี้… การพบกันครั้งนี้มันกะทันหันเกินไป… เธอตั้งตัวไม่ทัน…
…แต่มีหรือที่คนอย่างเพลิงศูรย์จะยอมง่าย ๆ
“เดี๋ยว” ร่างสูงเดินเข้ามาขวางทางด้านหน้าร่างบาง กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของเขาลอยกระทบโสตประสาท
นับฝันชะงักนิ่ง หัวใจเต้นผิดจังหวะ รู้สึกหวาดกลัวการสบตากับคนตรงหน้าขึ้นมา เธอจึงเลือกที่จะไม่เงยหน้ามองเขา แต่พักสายตาไว้ตรงคอเสื้อเขาแทน และนั่นทำให้เห็นสร้อยที่เขากำลังสวมอยู่ เธอไม่เห็นจี้เพราะมันหลบอยู่ใต้คอเสื้อจึงเห็นเพียงสายสร้อยสีเงินเท่านั้น
“คิดจะหนีไปง่าย ๆ อีกแล้ว?”
“ฉันไม่ได้หนี” นับฝันกัดฟันเงยหน้าตอบกลับ เมื่อสบตากัน แววตาทั้งสองต่างเย็นชาไม่แพ้กัน
พุธหลบฉากออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตรงนี้จึงเหลือเพียงเพลิงศูรย์และนับฝันสองคนเท่านั้น เมื่อเห็นท่าไม่ดีนับฝันจึงคิดจะเดินหนีอีกครั้ง แต่คราวนี้ถูกมือหนาคว้าจับแขนแล้วออกแรงดึงให้เดินตาม เธอพยายามขัดขืน แต่ไม่กล้าส่งเสียงดังนักเพราะเกรงใจสถานที่ กระทั่งถูกพามาเข้าตรงบันไดหนีไฟซึ่งเป็นจุดลับสายตาและยังร้างราผู้คน เพลิงศูรย์ถึงยอมปล่อยแขนเธอ
“ไม่คิดจะอธิบายหน่อยเหรอนับฝัน ฉันคิดว่าเธอติดค้างคำอธิบายอยู่นะ” น้ำเสียงเพลิงศูรย์กดต่ำ ทั้งเย็นเหยียบและแฝงแววกดดัน
นับฝันรู้ว่าเพลิงศูรย์กำลังหมายถึงเรื่องอะไร ริมฝีปากบางกัดแน่นจนได้กลิ่นคาวเลือด เธอทั้งเครียด ทั้งกดดัน เพราะรู้ดีว่ามันยากที่จะปกปิดเรื่องชาติกำเนิดของเด็ก ๆ กับเพลิงศูรย์อีกต่อไป ในเมื่อเด็กทั้งสองมีเค้าโคลงหน้าตาเหมือนเขาซะขนาดนั้น ปฏิเสธอย่างไรก็คงฟังไม่ขึ้น…
แต่… แล้วมันยังไงล่ะ?
ถ้าเธอไม่ยอมรับซะอย่าง ขอแค่เพียงเธอไม่ยอมรับเท่านั้น เขาก็ไม่มีทางบังคับอะไรเธอได้นี่… จริงไหม?
“ฉันไม่มีอะไรจะพูด”
เพลิงศูรย์นิ่งงัน แววตาคมกริบวาววับขึ้นมาทันที ความกรุ่นโกรธร้อนรุ่มแล่นพล่านเข้ามาในใจ กรามแกร่งขบแน่นขณะขยับกายเข้าใกล้ร่างบาง นับฝันถอยหลังกรูจนแผ่นหลังแนบชิดกับผนัง เธอกลั้นลมหายใจเบี่ยงหน้าหนีใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาที่จงใจก้มลงมาใกล้ ๆ
ลมหายใจกรุ่นร้อน… และเสียงกระซิบคุ้นเคย… ดังขึ้นข้างหู
“คิดว่าฉันโง่มากหรือไงฝัน เด็กสองคนนั้นเป็นลูกของฉันใช่ไหม?”
หัวใจนับฝันหล่นวูบ ความหวังเพียงริบหรี่พังทลาย เพลิงศูรย์ไม่ใช่คนโง่ เขาฉลาดและร้ายกาจยิ่งกว่าใคร เรื่องนี้เธอรู้ดีที่สุด
“ไม่… ไม่ใช่” ริมฝีปากบางขยับปฏิเสธ แม้เสียงจะเบามากราวกับกระซิบ แต่ทว่าหนักแน่นและจริงจังอย่างมาก ดวงตาหวานหันกลับมาสบสายตาคม เธอช้อนตามองเขาตรง ๆ อย่างไม่หลบเลี่ยงเป็นครั้งแรก พยายามกล้ำกลืนความหวาดหวั่น ฝังกลบความหวั่นไหว และปกปิดความอ่อนแอเอาไว้ภายใต้สีหน้าเย็นชา
เธอจะไม่… เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับผู้ชายคนนี้อีกต่อไปแล้ว!
“เด็ก ๆ เป็นลูกของฉัน”
“หน้าเหมือนฉันขนาดนี้ยังจะโกหก” เพลิงศูรย์หยักยิ้มเย็นชามุมปาก เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด หลักฐานมันชัดขนาดนั้น DNA อยู่บนหน้าลูกซะขนาดนั้น เด็กสองคนนั้นเป็นลูกของเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“พวกเขาเป็นลูกของฉันคนเดียว ไม่ใช่ลูกเฮีย”
แต่นับฝันก็ยังคงเป็นนับฝัน เธอจะดึงดันและดื้อดึงให้ถึงที่สุด ใครจะทำไม…
“ฮึ ไม่เจอกันหลายปี เธอใจร้ายขึ้นเยอะเลยนะนับฝัน”
เพลิงศูรย์ก็ยังเย็นชาและเลือดเย็นไม่เคยเปลี่ยนเหมือนกัน…