กริ๊ง… กึก ๆ ๆ ๆ
เสียงวัตถุบางอย่างตกกระทบพื้นหินอ่อนก่อนมันจะกลิ้งหลุน ๆ มาหยุดใต้โต๊ะของเพลิงศูรย์และพุธ เสียงนั้นช่วยชีวิตพุธเอาไว้อย่างทันท่วงทีเพราะมันเรียกสายตาเย็นชาจากเพลิงศูรย์ไปได้ในที่สุด
เด็กชายตัวน้อยที่นั่งหันหลังให้โต๊ะพวกเขามาโดยตลอด เวลานี้กระโดดลงจากเก้าอี้มายืนบนพื้นและวิ่งเข้ามาหาก่อนก้มตัวลงใต้โต๊ะเพื่อเก็บของสิ่งนั้น
“อ๊ะ เจอแล้ว!” เสียงเล็กสดใสดังขึ้นก่อนร่างเล็กป้อมจะลุกขึ้นยืน ความสูงของเด็กน้อยโผล่พ้นขอบโต๊ะมาเพียงนิดเดียว ทำให้เพลิงศูรย์และพุธมองเห็นเพียงดวงตากลมโตใสแจ๋วกับคิ้วเข้มตัดรับผิวขาวอมชมพูและเส้นผมสีน้ำตาลอมดำยักศกเล็กน้อย
บรรยากาศภายในร้านเงียบสงบ เสียงเพลงเปิดคลอเบา ๆ แข่งกับเสียงสายฝนภายนอก ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับไม่ได้แทรกซึมเข้ามาในโสตประสาทของเพลิงศูรย์เลยสักนิด เมื่อได้สบตากับเด็กผู้ชายตัวน้อยตรงหน้าจู่ ๆ เขาก็รู้สึกอื้ออึงไปชั่วขณะ…
“ขอโทษฮะ น็อตมันกลิ้งมา ผมเลยวิ่งมาเก็บฮะ ขอโทษที่รบกวนนะฮะคุณลุง” เด็กชายโค้งศีรษะอย่างเป็นติดขัดเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวทำท่าจะเดินกลับโต๊ะไป
“เดี๋ยว…” เพลิงศูรย์รู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเสียงตัวเองเรียกรั้งเด็กน้อยคนนั้นเอาไว้ พอเด็กชายหันกลับมาเอียงคอมองด้วยสีหน้างุนงง เขาจึงได้เห็นหน้าตาของเด็กชายอย่างเต็มตา เสียงที่ควรจะมีขาดหายไปในทันที
ความรู้สึกเย็นเหยียบไปทั่วทั้งตัว ทว่าหัวใจกลับอุ่นวาบอย่างน่าประหลาดนี่คืออะไร…
“เหมือนมาก…” พุธอุทานออกมาด้วยความนิ่งอึ้งไม่แพ้กัน เขามองเด็กชายสลับกับเพลิงศูรย์ซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งมองเปรียบเทียบกันใกล้ ๆ แบบนี้ก็ยิ่งเหมือน เขากับลมเหนือไม่ได้คิดไปเองจริง ๆ ด้วย!
“มีอะไรเหรอฮะคุณลุง”
เพลิงศูรย์ได้สติกลับมา เขาใช้ฝ่ามือลูบหน้าอย่างพยายามตั้งสติ แน่นอนว่าเขารู้จักใบหน้าตัวเองดี เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนเขาตอนเด็กมาก เหมือนราวกับคนเดียวกันจนน่าตกใจ แต่… มันจะเป็นไปได้ยังไง? ในโลกนี้มันจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เกิดขึ้นได้ยังไง??
“คุณลุงฮะ?” เด็กน้อยเอียงคอสงสัย เลิกคิ้วสูงกว่าเดิม
“อะ อ้อ คือว่าพวกลุงเพิ่งเคยมาที่ร้านนี้ครั้งแรกน่ะ ก็เลยไม่รู้ว่าที่ร้านมีเค้กอะไรอร่อย ๆ บ้าง เจ้าหนูพอจะแนะนำให้พวกลุงหน่อยได้ไหม?” พุธช่วยพูดแก้สถานการณ์ให้ เขาเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน แต่คงไม่หนักเท่าเพลิงศูรย์ที่ตอนนี้ตัวแข็งค้างไปแล้ว
เจ้าขุนพอได้ยินว่าพวกคุณลุงต้องการให้แนะนำเมนูอร่อย ๆ เด็กน้อยรีบยิ้มแย้มต้อนรับทันที
ลูกค้าของหม่าม้าก็เหมือนลูกค้าของขุนขุน ถ้าพวกคุณลุงซื้อเค้กเยอะ ๆ หม่าม้าจะได้ดีใจที่มีเงินเยอะ ๆ ด้วย
“สบายมากเลยฮะ!” เจ้าขุนเดินกลับมาแล้วปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ก่อนหยิบเมนูมากางบนโต๊ะตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสอง นิ้วป้อม ๆ ชี้เมนูเค้กที่ตนชื่นชอบทีละเมนูพลางพูดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วอย่างอารมณ์ดี “อันนี้อร่อยมากเลยฮะ มีช็อกโกแลตลาวาเยิ้ม ๆ อร๊อยอร่อย อ๊ะ อันนี้ก็อร่อยฮะ ข้างบนนี้จะเป็น Miel หวาน ๆ อืม… หม่าม้าเรียกว่าอะไรน้า…”
เจ้าขุนเอียงคอครุ่นคิดเพราะจำชื่อเรียกภาษาไทยกับอังกฤษไม่ได้ พุธขมวดคิ้วงุนงงหันมากระซิบถามคนด้านข้าง
“ไอ้เมียว ๆ นี่มันอะไรอ่ะเฮีย ไม่เคยได้ยิน”
“มิเอลไม่ใช่เมียว แปลว่าน้ำผึ้งในภาษาฝรั่งเศส” เพลิงศูรย์จ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าทุกการกระทำ พอได้ยินภาษาฝรั่งเศสหลุดออกมาจากปากเล็ก ๆ นั่น ทำให้เขานึกถึงการ์ดสีชมพูใบนั้นขึ้นมา หรือว่าเด็กคนนี้จะเป็นเจ้าของการ์ดนั่น?
“อ๊ะ ใช่ฮะ ๆ หม่าม้าเรียกว่าน้ำผึ้ง อืม… น้ำผึ้งก็คือ Honey ใช่ไหมฮะ”
“ถูกต้อง” เพลิงศูรย์พยักหน้ารับเมื่อเด็กน้อยเงยหน้าถาม ปกติเขาไม่ถูกโรคกับเด็กสักเท่าไหร่แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับเด็กคนนี้อย่างน่าประหลาด ความรู้สึกภายในใจคล้ายกำลังกู่ร้องบางอย่าง
“อ้อ งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นลุงจะสั่งอันนี้ด้วย” พุธยิ้มรับ ก่อนจะค่อย ๆ ตะล่อมถาม “ว่าแต่เจ้าหนูชื่ออะไรเหรอ”
“ชื่อเจ้าขุนฮะ”
“โอ้โห ชื่อเท่จังเนอะ แล้วหม่าม้าของเจ้าขุนล่ะ? หม่าม้าชื่ออะไร?”
เพลิงศูรย์ส่งสายตาเย็นเหยียบให้พุธ เขารู้ว่าพุธคิดอะไรอยู่ คงกำลังสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเด็กคนนี้อยู่แน่ ๆ ไม่งั้นคงไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของเด็กอย่างไร้สามัญสำนึกแบบนี้
“หม่าม้าของขุนขุนเหรอฮะ หม่าม้าชื่อว่า…”
“ขุนขุน! หม่าม้าบอกไม่ให้รบกวนลูกค้านะ!” เสียงหวานใสดังขัดคำพูดเจ้าขุนพร้อมกับร่างเล็ก ๆ ของเด็กหญิงเดินเข้ามา เพลิงศูรย์นิ่งมองใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสองสลับกันไปมา
ฝาแฝดอย่างนั้นเหรอ…
เด็กหญิงหน้าตาละม้ายคล้ายกับเด็กผู้ชายมาก เพียงแค่หน้าหวานกว่า และดวงตากลมโตคมเฉี่ยวมากกว่า ทั้งยังแฝงความฉลาดเฉลียวและนิ่งสงบ
แวบหนึ่งภาพของผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏเข้ามาในหัว เขารู้สึกตกใจจนต้องมองเด็กแฝดทั้งสองคนซ้ำอีกครั้ง
ไม่จริงหรอกมั้ง… มันเป็นไปไม่ได้!
“ต้องขอโทษแทนน้องชายด้วยนะคะ เชิญพวกคุณลุงทานกันต่อเถอะค่ะ” เด็กหญิงโค้งตัวอย่างสุภาพและรู้ความกว่าเด็กชายเมื่อครู่นัก เธอหันไปจูงมือเจ้าขุนแล้วบังคับลากกลับไปทางโต๊ะตนเอง ได้ยินเสียงหวานใสเอ่ยดุน้องชายตามหลัง “หม่าม้าสั่งไว้ว่าไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้านะ และไม่ให้รบกวนลูกค้าด้วย ทำไมขุนขุนดื้อจัง เอยเอยจะฟ้องหม่าม้า”
“ขุนขุนเปล่าดื้อนะ! เอยเอยห้ามฟ้องหม่าม้านะ นะ ๆ เอยเอยนะ ขุนขุนผิดไปแล้ว ขุนขุนจะไม่ทำอีก” เด็กชายเขย่าแขนพี่สาวอย่างขอร้องอ้อนวอน เจ้าเอยทำแก้มป่องน้อย ๆ ก่อนมองมาทางเพลิงศูรย์ซึ่งกำลังจ้องมองเด็กทั้งสองอยู่เช่นกัน
“ก็ได้ เอยเอยไม่ฟ้องหม่าม้าก็ได้ แต่ขุนขุนห้ามไปคุยกับพวกคุณลุงอีกนะ เข้าใจมั้ย?”
“อื้อ เข้าใจแล้ว” เด็กชายทำเสียงอ่อย ก้มหน้างุด และปีนขึ้นเก้าอี้นั่งนิ่งเรียบร้อยทันที ส่วนเด็กหญิงก็ปีนกลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมและหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน ทว่าก็ยังไม่วายเหลือบมองมาทางเพลิงศูรย์อีกครั้ง พอเห็นว่าตนกับน้องยังถูกดวงตาเย็นชาคู่นั้นจ้องมองอยู่ เธอก็ทำเสียงฮึมฮัมในลำคออย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
คุณลุงคนนั้นมองเอยเอยกับขุนขุนซะอย่างกับจะจับไปขายงั้นแหละ อ๊า… น่ากลัวเกินไปแล้ว!