“ผะ ผีหลอก! ช่วยด้วยผีหลอก”
มองไปยังคนที่นอนบนแคร่ก็เห็นว่ามู่อิงเถาค่อยๆ ขยับร่างกายขึ้นมาก่อนที่นางจะเปิดเปลือกตาของนางขึ้นทีละนิดแล้ว
แท้จริงแล้วเธอนั้นได้ตื่นขึ้นมาสักพักแล้วนานพอที่จะได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดซึ่งเหมือนกับในหนังสือนิยายเล่มโปรดที่เธอชอบอ่านจนจบไปหลายต่อหลายครั้ง หากเข้าใจไม่ผิดเวลานี้เธอน่าจะทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของนางเอกนิยายที่สุดท้ายต้องตายด้วยน้ำมือของผู้เป็นสามี
ทว่าในส่วนท้ายของนิยายเล่มนั้นกลับไม่ได้กล่าวเอาไว้ถึงการดำเนินเรื่องของตัวร้ายว่าไปในทิศทางใดเพราะยังมีเล่มสองที่นักเขียนยังเขียนไม่จบนั่นเอง
แม้จะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตนเองได้แต่ในเมื่อเธอเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้วก็คงทำได้แค่ทำใจอย่างเดียวเท่านั้น
เธอไม่รู้เลยสักเพียงนิดว่าเจ้าของร่างนี้รู้สึกอย่างไรกับคนในครอบครัวนี้ เพราะความทรงจำอันน้อยนิดที่พอจะนึกขึ้นได้นั้นคือเธอไม่ได้รู้สึกผูกพันกับใครเลยสักคน
แต่ที่น่าอนาจใจนั่นคือสตรีผู้ที่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างนี้ต่างหาก ถูกทำร้ายทุบตีเรื่อยมาเช่นนี้นางทนไปได้อย่างไรกันนะ
“มะ มู่อิงเถาเจ้าตายไปแล้วไม่ใช่หรือข้าเป็นคนจับชีพจรเจ้าเองกับมือเลยนะ” ฮูหยินน้อยพูดขึ้นขณะเดียวกันเนื้อตัวของนางก็สั่นด้วยความหวาดกลัวคิดว่าคนตรงหน้าอาจจะตายเป็นผีไปแล้วก็ได้
“เจ้าเป็นหมองั้นหรือถึงได้รู้ว่าชีพจรไหนหยุดชีพจรไหนยังอยู่”
“นี่เจ้ากล้าเถียงข้างั้นหรือ!” ฮูหยินน้อยตอบกลับก่อนจะถลึงตาใส่คนที่นั่งอยู่บนแคร่
“หรือไม่จริง”
“ปากดีเสียจริงครั้งนี้ข้าจะเป็นคนตีเจ้าให้ตายเอง”
ขณะที่ฮูหยินน้อยกำลังจะก้าวเข้าไปหมายจะตีมู่อิงเถาก็ถูกซ่งอวี่ถงเข้ามายืนขวางเอาไว้ รูปร่างที่สูงใหญ่ของเขาบดบังตัวที่อวบอ้วนของมู่อิงเถาแม้จะไม่มิดเท่าใดนักแต่ก็พอจะปกป้องคนด้านหลังได้พอสมควร
ฮูหยินน้อยมองขึ้นไปก็พบเข้ากับแววตาเยือกเย็นของคนตรงหน้ารูปร่างที่สูงกว่านางหลายเท่านั้นทำเอานางไม่กล้าที่จะเข้าใกล้เขามากไปกว่านี้ได้เพียงแค่ถอยหลังกลับไปยืนด้านหลังของฮูหยินใหญ่แทน
“เดี๋ยวนี้เจ้าชักจะเอาใหญ่แล้วนะลืมไปแล้วหรือว่าพ่อของเจ้าไม่ได้อยู่คุ้มกะลาหัวของพวกเจ้าแล้วกล้าดีอย่างไรถึงมาขัดใจข้า”
“ท่านแม่หยุดเถอะท่านก็ลงโทษอิงเถามามากพอแล้ว นางเองก็บาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ท่านยังไม่พอใจอีกงั้นหรือ”
“อวี่ถงเจ้าถอยออกไป นางเด็กนี่กล้าขโมยของกินของข้าๆ จะตีนางให้ตายไปเลย”
“ก็เพียงแค่ของกินข้าไปหามาให้ท่านใหม่ก็ได้”
“เจ้าต้องไปหามาให้ข้าใหม่อย่างแน่นอนแต่ที่ข้าจะทำในเวลานี้คือระบายอารมณ์ที่นางบังอาจมาทำให้ข้าโกรธ”
ฮูหยินใหญ่ซ่งพูดจบก็โบยไม้เท้าไปที่ลำตัวของเขาทันที ซ่งอวี่ถงเดิมทีหลบได้แต่เขากลับไม่หลบจนนางเองก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าเขายังเลือกที่จะยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับกายเลยสักเพียงนิด
“จะ เจ้าถอยออกไปอยากรับโทษแทนนางงั้นหรือ”
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ถูกใครบางคนผลักไปด้านข้างเกือบจะเซล้มไปแล้ว เมื่อหันไปมองก็ปรากฎร่างอวบอ้วนของมู่อิงเถาที่เวลานี้ลุกขึ้นมายืนบังหน้าเขาเอาไว้แล้ว
“ท่านแม่ข้าถามท่านสักคำข้าไปทำอะไรให้ท่านขุ่นเคืองนักหรือ ก็เพียงแค่หยิบซาลาเปาไปลูกเดียวเองมันทำให้ท่านจะเป็นจะตายเลยหรืออย่างไร”
“ปากดีนักนะนังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า วันนี้หากข้าไม่เฆี่ยนตีเจ้าให้ตายอย่าเรียกข้าว่าฮูหยินใหญ่ซ่งเลย”
“ข้าเป็นสมบัติของท่านกระนั้นหรือ ท่านเป็นคนข้าก็เป็นคนไหนเลยจะต่างกันก็เป็นเพียงแค่หัวหน้าในบ้านแล้วคิดจะข่มเหงรังแกคนอื่นง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”
ชาวบ้านที่มายืนมุงดูตั้งแต่แรกเริ่มส่งเสียงอื้ออึงพูดคุยกันหนาหูดูเหมือนพวกเขาจะเห็นด้วยกับสิ่งที่มู่อิงเถาพูดออกมา ทั้งยังแปลกใจที่แต่ก่อนหญิงสาวอวบอ้วนผู้ที่เอาแต่เก็บตัวและไม่เคยมีปากเสียงกับผู้ใดเลยแต่แล้ววันนี้นางกลับเอาแต่ยืนต่อล้อต่อเถียงกับฮูหยินใหญ่อย่างไม่นึกเกรงกลัวนางเลยสักเพียงนิด
‘ผีเข้าสิงนางอยู่หรืออย่างไร’
“ท่านใช้งานพี่รองกับพี่สะใภ้รองจนพวกเขาไม่มีเวลาพักผ่อนเมื่อป่วยเจียนตายท่านก็ยังไม่ยอมให้หมอมารักษา ท่านไม่เห็นความดีของพวกเขาแล้วยังกล้ามาใช้งานข้าต่ออีกงั้นหรือ”
“พวกท่านก็เหมือนกันไม่มีมือไม่มีเท้าแล้วหรือถึงทำงานเองไม่ได้ ใยต้องมาใช้งานข้าจนแทบจะตายตามพวกเขาไปเช่นนี้”
“นี่เจ้า! ปากดีนักนะนังเด็กคนนี้”
ฮูหยินน้อยเดินตรงเข้ามาหมายจะตบนางสักฉาดแต่ไม่ทันได้ก้าวเท้าถึงตัวของมู่อิงเถาก็ถูกนางกระโดดเตะไปที่ปากทันที
“กรี๊ด! ท่านแม่นางเตะข้า กรี๊ด! ฟันข้าร่วงแล้ว” ฮูหยินน้อยกรีดร้องดังลั่นพยายามเอามือมาปิดปากที่เวลานี้มีเลือดสีแดงสดไหลย้อยออกมาแล้ว
“ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ มู่อิงเถาเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงทำกับท่านแม่ของข้าเช่นนี้”
มู่อิงเถาใช้สายตามองไปที่หลานสาวคนโตของบ้าน นางไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้มู่อิงเถาได้แต่ยืนกระทืบเท้ามองมาด้วยสายตาเกรี้ยวกราดอยู่ด้านหลังของผู้เป็นย่าเท่านั้น
“เจ้าช่างสามหาวนัก! ทุกคนจงฟังต่อไปนี้บ้านใหญ่จะขอตัดขาดกับบ้านสามเป็นตายไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
มู่อิงเถาได้ยินดังนั้นก็ตกใจเล็กน้อยนางไม่นึกว่าสตรีผู้นี้จะกล้าลั่นวาจาเช่นนั้นออกมาได้ ก็เพียงคิดว่าอาจจะลงโทษพวกนางเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
แม้นางจะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับครอบครัวนี้เท่าใดนักแต่ก็อดเห็นใจซ่งอวี่ถงกับหลานชายของเขาไม่ได้
‘พวกเขาสองคนจะทำใจได้หรือไม่นะที่ถูกทางบ้านตัดญาติขาดมิตรเช่นนี้ และเวลานี้เขาอาจจะโกรธและเกลียดนางมากอยู่เป็นแน่’
แต่แล้วสิ่งที่นางได้ยินในเวลาต่อมาก็ทำให้รับรู้ได้ว่านางกำลังคิดผิด
“ได้ท่านแม่ในเมื่อท่านไม่ใยดีและไม่เคยสนใจพวกข้าเลยแม้เพียงนิดเช่นนั้นจากนี้ต่อไปท่านก็อย่าหาว่าข้าอกตัญญูเลย พวกเราไปกันเถอะ”
“ขอรับ”
ซ่งหงอี้เอ่ยออกมาก่อนจะลอบยิ้มเล็กน้อย มู่อิงเถาจ้องมองพวกเขาอย่างไม่เข้าใจ
‘นี่ถูกไล่ออกจากบ้านเหตุใดยังยิ้มกันอยู่ได้นะ’
“พวกเจ้าอย่าได้คิดเอาอะไรในบ้านของข้าไปแม้แต่ชิ้นเดียวของทุกชิ้นในบ้านนี้เป็นของตระกูลซ่งทั้งหมด!”