EP.16 [เขาเป็นใครกันนะ]

918 Words
เพี๊ยะ! “โอ๊ย… อย่านะเฮีย อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลย ฮืออ” เสียงอ้อนวอนเป็นภาษาไทยดังมาจากตรอกเล็ก ๆ ที่ฉันกำลังจะเดินผ่าน สองเท้าชะงักตามสัญชาตญาณทันทีขณะมือยังคงถือโทรศัพท์แนบใบหูเหมือนเดิม สายตามองทอดเข้าไปในตรอกมืด ๆ นั่น ปกติฉันไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างสักเท่าไหร่ เวลาเดินเข้าซอยมักจะใส่หูฟังฟังเพลงอยู่ตลอด แต่ครั้งนี้มันอดไม่ได้เพราะได้ยินเสียงของเด็กกำลังร้องไห้มาจากทางนั้นด้วย “มึงจะลองดีกับกูใช่ไหมอีผึ้ง! ได้! มานี่อีเด็กเวร!” “ไม่! ปล่อยหนูนะ!” เสียงกรีดร้องของเด็กหญิงดังลั่นพร้อมกับร่างของชายตัวใหญ่เดินฉุดกระชากลากแขนเด็กผู้หญิงตัวน้อยวัยประมาณแปดขวบออกมาจากประตูทางเข้าตึกเก่า ๆ เด็กคนนั้นร้องไห้งอแงขณะถูกลากออกมาด้านนอก ก่อนจะตามมาด้วยร่างของผู้หญิงวัยกลางคนตัวเล็กผอมบาง เธอวิ่งออกมาคุกเข่าพนมมือไหว้ชายผู้นั้น น้ำตาอาบข้างแก้มร้องไห้สะอึกสะอื้น “เฮีย… ฮือ อย่าเอาลูกฉันไปเลยนะ อย่าทำอะไรลูกฉันเลย ฮือออ” “ถอยไปอีผึ้ง! กูจะเอามันไปทำงานแลกเงิน ไม่ได้เอามันไปฆ่า!” บทสนทนาภาษาไทยคุ้นหูทำให้ฉันไม่สามารถขยับไปไหนได้ ฉันกดตัดสายพันเก้าไปแล้ว ภายในใจครุ่นคิดว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี ฉันอยากจะช่วยเหลือสองแม่ลูกนั่นมาก แต่ด้วยกำลังของตัวเองคนเดียวคงช่วยไม่ไหว ฉันควรจะทำยังไงดี… หมับ! ในจังหวะที่ฉันยืนลังเลอยู่นั้น ท่อนแขนของฉันถูกใครคนหนึ่งคว้าจับ เขารั้งฉันที่กำลังจะเดินเข้าไปหาสองแม่ลูกนั่น พอฉันหันมองก็พบว่าเขาคือผู้ชายคนนั้น คนที่ฉันเห็นตรงไฟแดง… “ชู่ว์…” นิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากภายใต้แมสปิดปากเป็นเชิงห้ามส่งเสียง ฉันเห็นเพียงดวงตาคมเข้มจ้องมองตอบมา น่าแปลกที่รู้สึกคุ้นเคยกับแววตาคู่นี้มาก เขาเป็นใครกันนะ… “แม่จ๋า ฮืออ” เสียงเด็กร้องเรียกผู้เป็นแม่เรียกสายตาจากฉันและเขาในทันที มือหนาคลายออกจากท่อนแขนฉัน เขาเดินเข้าไปหาชายร่างสูงนั่นอย่างไร้ความลังเล “ปล่อยเด็กคนนั้นซะ” ภาษาไทยคุ้นหูดังมาจากผู้ชายสวมฮู้ดคนนั้น แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจฉันเต้นระรัวคือน้ำเสียงของเขาที่แสนคุ้นเคยนั่นมากกว่า ไม่จริงน่ะ… “มึงเป็นใคร อย่ามาเสือกเรื่องผัวเมีย!” ชายร่างใหญ่หันมาตะคอกใส่ผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นพยายามเอื้อมมือหาผู้เป็นแม่อย่างน่าสงสาร “ที่นี่ไม่ใช่เมืองไทย และการทำร้ายร่างกายผู้หญิงกับเด็กก็ไม่ใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายควรจะทำ” เสียงคุ้นเคยยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ เขาขยับเข้าไปใกล้ชายร่างใหญ่ช้า ๆ อย่างไม่มีความหวาดกลัวสักนิด “จะพูดอีกครั้ง… ปล่อยเด็กคนนั้นซะ” “หึ้ย! เสือกนักเหรอมึง!” แต่แทนที่ชายร่างใหญ่คนนั้นจะปล่อยมือเด็ก เขากลับกระชากเด็กเข้าหาตัวก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบผู้ชายสวมฮู้ดคนนั้น โชคดีที่เขาเบี่ยงตัวหลบทันก่อนจะใช้ความรวดเร็วคว้าเอวเด็กขึ้นอุ้มแล้วยกเท้าขึ้นถีบชายร่างใหญ่เต็มแรงจนกระเด็นล้มลงบนพื้น “ฮืออ แม่จ๋า” เด็กน้อยร้องไห้อย่างหนักด้วยความหวาดกลัว ฉันรีบวิ่งเข้าไปรับเด็กจากวงแขนเขาเพื่อกอดปลอบประโลม หลังจากตั้งสติได้แม่ของเด็กจึงวิ่งเข้ามาหาฉันแล้วรับตัวลูกเข้าไปกอดแทน “มะลิเป็นอะไรไหมลูก หนูเจ็บตรงไหนไหม ฮือออ” “คุณน้ารีบพาน้องเข้าบ้านก่อนเถอะค่ะ แล้วล็อกประตูห้องให้แน่นหนานะคะ ส่วนทางนี้ฉันจะแจ้งตำรวจให้ค่ะ” ฉันหันมองชายร่างใหญ่ที่ยังนั่งอยู่บนพื้นก่อนจะหันกลับมาหาสองแม่ลูก ซึ่งผู้เป็นแม่ร้องไห้และส่ายหัวไปมาไม่หยุด “ไม่ได้ค่ะ แจ้งตำรวจไม่ได้ คุณอย่าแจ้งตำรวจเลยนะคะ ฉันไหว้ล่ะ ฮึก!” “ทำไมละคะ คุณน้ากับลูกถูกเขาข่มขู่ทำร้ายร่างกายนะคะ” ฉันขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าถูกตำรวจจับ ฉันกับลูกก็ต้องถูกจับด้วยค่ะ ฮืออ” คุณน้ากอดลูกแน่นพลางอธิบายทั้งน้ำตา “เราสองคนแม่ลูกอยู่ที่นี่อย่างผิดกฎหมาย ถ้าไม่ได้เขา พวกเราก็คงไม่รอด ฮือ” เพราะอย่างนี้เองสินะ… ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว… การมีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคน บางครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรมากมาย ขอเพียงแค่ได้อยู่กับคนคนนั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่าตัวเองจะต้องเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม ดังเช่นคุณน้าที่อยากจะมีชีวิตอยู่รอดเพื่อลูกสาวสุดที่รักของเธอ แต่นั่นมันไม่ใช่เหตุผลของเรื่องทั้งหมดหรอกนะ หากต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจขนาดนี้ สู้พาลูกสาวหนีไปอยู่ที่อื่นมันไม่ดีกว่าเหรอ… ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD