เพี๊ยะ!
“โอ๊ย… อย่านะเฮีย อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลย ฮืออ”
เสียงอ้อนวอนเป็นภาษาไทยดังมาจากตรอกเล็ก ๆ ที่ฉันกำลังจะเดินผ่าน สองเท้าชะงักตามสัญชาตญาณทันทีขณะมือยังคงถือโทรศัพท์แนบใบหูเหมือนเดิม สายตามองทอดเข้าไปในตรอกมืด ๆ นั่น ปกติฉันไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างสักเท่าไหร่ เวลาเดินเข้าซอยมักจะใส่หูฟังฟังเพลงอยู่ตลอด แต่ครั้งนี้มันอดไม่ได้เพราะได้ยินเสียงของเด็กกำลังร้องไห้มาจากทางนั้นด้วย
“มึงจะลองดีกับกูใช่ไหมอีผึ้ง! ได้! มานี่อีเด็กเวร!”
“ไม่! ปล่อยหนูนะ!” เสียงกรีดร้องของเด็กหญิงดังลั่นพร้อมกับร่างของชายตัวใหญ่เดินฉุดกระชากลากแขนเด็กผู้หญิงตัวน้อยวัยประมาณแปดขวบออกมาจากประตูทางเข้าตึกเก่า ๆ เด็กคนนั้นร้องไห้งอแงขณะถูกลากออกมาด้านนอก ก่อนจะตามมาด้วยร่างของผู้หญิงวัยกลางคนตัวเล็กผอมบาง เธอวิ่งออกมาคุกเข่าพนมมือไหว้ชายผู้นั้น น้ำตาอาบข้างแก้มร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เฮีย… ฮือ อย่าเอาลูกฉันไปเลยนะ อย่าทำอะไรลูกฉันเลย ฮือออ”
“ถอยไปอีผึ้ง! กูจะเอามันไปทำงานแลกเงิน ไม่ได้เอามันไปฆ่า!”
บทสนทนาภาษาไทยคุ้นหูทำให้ฉันไม่สามารถขยับไปไหนได้ ฉันกดตัดสายพันเก้าไปแล้ว ภายในใจครุ่นคิดว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี ฉันอยากจะช่วยเหลือสองแม่ลูกนั่นมาก แต่ด้วยกำลังของตัวเองคนเดียวคงช่วยไม่ไหว ฉันควรจะทำยังไงดี…
หมับ!
ในจังหวะที่ฉันยืนลังเลอยู่นั้น ท่อนแขนของฉันถูกใครคนหนึ่งคว้าจับ เขารั้งฉันที่กำลังจะเดินเข้าไปหาสองแม่ลูกนั่น พอฉันหันมองก็พบว่าเขาคือผู้ชายคนนั้น คนที่ฉันเห็นตรงไฟแดง…
“ชู่ว์…” นิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากภายใต้แมสปิดปากเป็นเชิงห้ามส่งเสียง ฉันเห็นเพียงดวงตาคมเข้มจ้องมองตอบมา น่าแปลกที่รู้สึกคุ้นเคยกับแววตาคู่นี้มาก
เขาเป็นใครกันนะ…
“แม่จ๋า ฮืออ” เสียงเด็กร้องเรียกผู้เป็นแม่เรียกสายตาจากฉันและเขาในทันที มือหนาคลายออกจากท่อนแขนฉัน เขาเดินเข้าไปหาชายร่างสูงนั่นอย่างไร้ความลังเล
“ปล่อยเด็กคนนั้นซะ” ภาษาไทยคุ้นหูดังมาจากผู้ชายสวมฮู้ดคนนั้น แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจฉันเต้นระรัวคือน้ำเสียงของเขาที่แสนคุ้นเคยนั่นมากกว่า
ไม่จริงน่ะ…
“มึงเป็นใคร อย่ามาเสือกเรื่องผัวเมีย!” ชายร่างใหญ่หันมาตะคอกใส่ผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นพยายามเอื้อมมือหาผู้เป็นแม่อย่างน่าสงสาร
“ที่นี่ไม่ใช่เมืองไทย และการทำร้ายร่างกายผู้หญิงกับเด็กก็ไม่ใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายควรจะทำ” เสียงคุ้นเคยยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ เขาขยับเข้าไปใกล้ชายร่างใหญ่ช้า ๆ อย่างไม่มีความหวาดกลัวสักนิด “จะพูดอีกครั้ง… ปล่อยเด็กคนนั้นซะ”
“หึ้ย! เสือกนักเหรอมึง!” แต่แทนที่ชายร่างใหญ่คนนั้นจะปล่อยมือเด็ก เขากลับกระชากเด็กเข้าหาตัวก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบผู้ชายสวมฮู้ดคนนั้น โชคดีที่เขาเบี่ยงตัวหลบทันก่อนจะใช้ความรวดเร็วคว้าเอวเด็กขึ้นอุ้มแล้วยกเท้าขึ้นถีบชายร่างใหญ่เต็มแรงจนกระเด็นล้มลงบนพื้น
“ฮืออ แม่จ๋า” เด็กน้อยร้องไห้อย่างหนักด้วยความหวาดกลัว ฉันรีบวิ่งเข้าไปรับเด็กจากวงแขนเขาเพื่อกอดปลอบประโลม หลังจากตั้งสติได้แม่ของเด็กจึงวิ่งเข้ามาหาฉันแล้วรับตัวลูกเข้าไปกอดแทน
“มะลิเป็นอะไรไหมลูก หนูเจ็บตรงไหนไหม ฮือออ”
“คุณน้ารีบพาน้องเข้าบ้านก่อนเถอะค่ะ แล้วล็อกประตูห้องให้แน่นหนานะคะ ส่วนทางนี้ฉันจะแจ้งตำรวจให้ค่ะ” ฉันหันมองชายร่างใหญ่ที่ยังนั่งอยู่บนพื้นก่อนจะหันกลับมาหาสองแม่ลูก ซึ่งผู้เป็นแม่ร้องไห้และส่ายหัวไปมาไม่หยุด
“ไม่ได้ค่ะ แจ้งตำรวจไม่ได้ คุณอย่าแจ้งตำรวจเลยนะคะ ฉันไหว้ล่ะ ฮึก!”
“ทำไมละคะ คุณน้ากับลูกถูกเขาข่มขู่ทำร้ายร่างกายนะคะ” ฉันขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ
“ถ้าถูกตำรวจจับ ฉันกับลูกก็ต้องถูกจับด้วยค่ะ ฮืออ” คุณน้ากอดลูกแน่นพลางอธิบายทั้งน้ำตา “เราสองคนแม่ลูกอยู่ที่นี่อย่างผิดกฎหมาย ถ้าไม่ได้เขา พวกเราก็คงไม่รอด ฮือ”
เพราะอย่างนี้เองสินะ… ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว…
การมีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคน บางครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรมากมาย ขอเพียงแค่ได้อยู่กับคนคนนั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่าตัวเองจะต้องเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม ดังเช่นคุณน้าที่อยากจะมีชีวิตอยู่รอดเพื่อลูกสาวสุดที่รักของเธอ
แต่นั่นมันไม่ใช่เหตุผลของเรื่องทั้งหมดหรอกนะ หากต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจขนาดนี้ สู้พาลูกสาวหนีไปอยู่ที่อื่นมันไม่ดีกว่าเหรอ…
ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ