[ก็อย่างที่เค้าเล่าไปอ่ะเฮีย ยัยไกอาต้องทำวิจัยเกี่ยวกับร้านอาหาร เพราะฉะนั้นเฮียคอยดูแลเทคแคร์มันด้วยนะ เตี่ยกับม้าอนุญาตแล้วด้วย ห้ามแผ่รังสีอำมหิตใส่มันจนมันเตลิดไปล่ะ]
คำบอกเล่าแกมสั่งกลาย ๆ จากปลายสายกระตุกหัวใจแข็งกระด้างของผมเล็กน้อย พันเก้าโทรข้ามประเทศมาเพื่อจะบอกเรื่องไกอากับผม เรื่องที่ไกอาจะเข้ามาทำวิจัยกับทางร้านอาหารที่ผมดูแลอยู่ ฟังรวม ๆ ก็พอจะเข้าใจ แต่อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ว่าเธอคนนั้นจะมาที่นี่จริง ๆ น่ะเหรอ…
[ฟังเค้าอยู่ป่ะเนี่ยเฮีย]
“ฮะ… อืม ฟังอยู่” ผมขานรับเบา ๆ ขณะมองร่างบางในชุดแซคสีขาวเดินเข้ามาในห้องทำงาน เหมยหลินยิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้งพร้อมกับวางแก้วกาแฟบนโต๊ะ ผมผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณแล้วกลับมาสนใจยัยน้องสาวปลายสายต่อ “แล้วไกอาจะเข้ามาที่ร้านเมื่อไหร่ เฮียจะได้บอกอาหยกผู้จัดการร้านไว้”
[ยังไม่รู้เหมือนกันนะ ยัยนั่นไม่ได้พูดอะไร แต่เดี๋ยวเค้าโทรไปถามอีกทีแล้วจะโทรบอกเฮียแล้วกัน] ผมขมวดคิ้วใส่พันเก้านิด ๆ เป็นอย่างที่คิดไว้เลย แสดงว่าไกอายังไม่ได้รับปากว่าจะมาทำวิจัยที่ร้านอาหารของผมจริง ๆ ด้วย สงสัยยัยนี่มัดมือชกเธอมาแหง ๆ
“โอเค ๆ ไว้มีกำหนดแน่นอนค่อยโทรมาบอกเฮียใหม่ มีอะไรจะสั่งอีกไหมครับคุณหนู” ผมทำเสียงค่อนขอดใส่น้องสาว ได้ยินเสียงชิดังตอบกลับมาทันที
[ไม่คุยกับเฮียแล้ว เค้าจะคุยกับพี่สะใภ้ เจ้เหมยอยู่ตรงนั้นไหมอ่ะ] ผมดึงโทรศัพท์ออกจากข้างหูแล้วส่งไปให้เหมยหลิน เธอมองผมด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อยก่อนรับไปคุยสายต่อ ผมปล่อยให้พวกผู้หญิงคุยกันไปแล้วหันกลับมาสนใจดื่มกาแฟตรงหน้า ภายในใจครุ่นคิดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
ผมจะได้พบเธอคนนั้นอีกงั้นเหรอ… ไกอาจะยอมมาเจอหน้าผมอีกจริง ๆ เหรอวะ
หลังจากกลับมาฮ่องกงผมก็มัวแต่ยุ่งกับการเคลียร์งานทุกวัน แทบไม่มีเวลาว่างให้คิดถึงเรื่องอื่นเลย จนกระทั่งพันเก้าโทรมาแล้วพูดถึงเรื่องของเธอคนนั้นนั่นแหละ ผมถึงได้มานั่งคิดไม่ตกแบบนี้
ความจริงหลังจากผมได้พบกับไกอาเมื่อตอนงานวันเกิดของพันเก้า ผมก็ตัดสินใจว่าจะไม่ไปยุ่งวุ่นวายหรือก้าวก่ายชีวิตเธออีก ผมจะทำเหมือนกับที่เคยทำมาตลอดเวลาห้าปี ทำตามความต้องการของเธอคือต่างคนต่างอยู่ แม้ผมจะมีที่อยู่ของเธอและอยากจะไปหาเธอมากแค่ไหน ผมก็ยังพยายามทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลาเพื่อจะได้ไม่มีเวลาว่างคิดเรื่องของเธอ
แต่สำหรับตอนนี้… ผมว่ามันยากแล้วว่ะ
“…ไมล์”
“หะ… อะ อือ วางสายแล้วเหรอ” ผมหลุดจากภวังค์ความคิดกลับมาที่เหมยหลิน เธอยื่นโทรศัพท์คืนผม แววตาเศร้า ๆ มองมาคล้ายกำลังสงสัย
“เป็นอะไรหรือเปล่า เหมยเรียกไมล์ตั้งหลายรอบ ทำไมวันนี้เหม่อจัง ไม่สบายหรือเปล่า” ความห่วงใยถ่ายทอดมาทางสีหน้าและแววตาของเธอ เหมยหลินขยับเข้ามายืนใกล้ผมก่อนทาบฝ่ามือเล็กลงบนหน้าผากเบา ๆ ความอ่อนโยนของเธอทำให้ผมรู้สึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะมัวแต่คิดถึงผู้หญิงคนอื่นจนลืมสนใจผู้หญิงข้างกาย
ผมนี่มัน… โคตรแย่เลยว่ะ
ผมคว้ามือเล็กบนหน้าผากมาจับกุมพลางรวบเอวบางเข้ามานั่งลงบนตัก ร่างเล็กแสนอบอุ่นแนบพิงแผ่นหลังลงมา ผมเกยคางลงบนไหล่มนเบา ๆ สัมผัสคุ้นเคยนี้ทำให้จิตใจว้าวุ่นของผมค่อยสงบลง สองตาหลับพริ้มอย่างเหนื่อยล้า สองแขนกระชับกอดเอวบางแนบแน่น
“เป็นอะไรเนี่ย ทำไมวันนี้อ้อนแปลก ๆ คะ” ใบหน้าสวยเบี่ยงถามด้วยน้ำเสียงหวาน ผมรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้สัมผัสอ้อมกอดจากเธอ เหมยหลินทำให้ผมรู้สึกดีแบบนี้มาตลอดระยะเวลาห้าปีที่เรารู้จักกัน เราสองคนผ่านเรื่องเลวร้ายมาด้วยกันมากมาย กว่าพวกเราจะก้าวผ่านเรื่องพวกนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ไม่มีอะไร แค่อยากกอดเฉย ๆ” ผมพึมพำตอบพลางกระชับกอด เหมยหลินพิงศีรษะลงบนไหล่ของผมแล้วซุกใบหน้าสวยเข้าหาลำคอ ลมหายใจอบอุ่นของเธอเป่ารดต้นคอของผมผะแผ่ว จากตอนแรกที่ผมอ้อนเธอกลับกลายเป็นว่าเธออ้อนผมแทนซะอย่างนั้น
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรเล่าให้เหมยฟังได้นะไมล์ รู้ใช่ไหมว่าเหมยอยู่ข้างไมล์เสมอ”
“อืม รู้สิ ขอบคุณนะ” ผมยิ้มรับความหวังดีจากผู้หญิงในอ้อมกอด ยิ่งเหมยหลินดีกับผม ผมก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ และทางเดียวที่ผมจะหยุดความรู้สึกนี้ได้ก็คือการหยุดคิดถึงเรื่องเธอคนนั้น…
หยุดดึงเธอเข้ามาในหัวใจผมสักที…
.
.
.
หลายวันต่อมา
[คุยงานเสร็จแล้วใช่ไหมไมล์ จะกลับเลยไหมเหมยจะได้ทำอาหารรอ] เสียงหวานจากปลายสายดังขึ้นขณะผมกำลังเดินออกจากตรอกเล็ก ๆ ในย่านหว่านไจ๋ ปกติผมไม่ค่อยได้มาแถวนี้สักเท่าไหร่ แต่ไม่รู้วันนี้คิดยังไงถึงอยากจะมาเอง ทั้งที่งานที่มาคุยก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
แต่ก็นะ… ก็มาแล้วจนได้ไง
“คุยงานเสร็จแล้ว กำลังจะกลับ” ผมตอบขณะจุดบุหรี่สูบ สองเท้าก้าวมาหยุดยืนริมถนนบนทางม้าลายเพื่อรอสัญญาณไฟจราจรในการข้ามฝั่ง สายตากวาดมองผู้คนสัญจรรอบตัวที่ต่างยืนรอเต็มทั้งสองฝั่งถนน จังหวะนั้นสายตาผมบังเอิญเห็นร่างบางแสนคุ้นตากำลังเดินออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตฝั่งตรงข้ามพอดี
ผมจำเธอได้ในทันที…