ฉันพักที่ร้านอาหารพงษ์นารายณ์สองวันแล้ว ตอนนี้ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องส่วนตัวที่เหมยหลินจัดสรรไว้ให้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ห้องของฉันอยู่ชั้นเจ็ด อยู่คนละฟากฝั่งกับห้องของเหมยหลิน ห้องฉันอยู่ฝั่งตะวันออก ส่วนของเธออยู่ตะวันตก มันก็ดีนะ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้
อย่างที่ฉันเคยบอกว่าชั้นแปดเป็นชั้นของพันไมล์ ชั้นเจ็ดจึงเป็นห้องพักสำหรับคนสำคัญของร้าน เช่น ห้องของพันเก้ากับเฮียนำทัพ ห้องของเจ้าสัวพันธรกับคุณหญิงกัลยา ห้องของเหมยหลิน และยังมีห้องว่างไว้สำหรับต้อนรับแขกคนสำคัญอีกสามห้อง ซึ่งหนึ่งในสามห้องนั้นตอนนี้เป็นห้องของฉันแล้ว
‘เพราะเจ้ไกอาเป็นคนสำคัญของที่นี่ไงคะ เฮียไมล์ถึงจัดห้องพักชั้นเจ็ดให้เจ้’
นั่นคือคำบอกเล่าของจันจิตอนพาฉันมาส่งที่ห้อง ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้เลย ไม่ได้ต้องการเป็นคนสำคัญหรือคนพิเศษของที่นี่ ฉันแค่อยากจะมาทำงานวิจัยเพื่อจบเท่านั้น และมันก็ใช้เวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องดูแลฉันดีขนาดนี้เลย
“เจ้ ๆ วันนี้เจ้จะกลับบ้านเหรอ ให้จันไปเป็นเพื่อนไหม?” จันจิสะกิดแขนฉันที่กำลังนั่งอ่านประวัติของร้าน นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็เหนื่อยใจกับตัวเอง เพราะคืนนั้นฉันรีบมากจึงเก็บแค่เสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋ามา แต่ดันลืมหยิบแลปท๊อปและทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการทำวิจัยมาด้วยน่ะสิ
บ้าจริงเชียว!
“ไม่ต้องหรอก พอดีเจ้ต้องแวะไปทำธุระที่มอด้วยน่ะ”
“อ่า เจ้จะไปคนเดียวเหรอ แล้วนี่บอกเฮียไมล์หรือยังอ่ะ”
“…” ฉันชะงักเล็กน้อยตอนจันจิถามถึงพันไมล์ หลังจากคืนนั้นตรงระเบียงห้อง ฉันก็ไม่เห็นเขาอีกเลย ไม่รู้ว่าพันไมล์หายไปไหน ฉันไม่ได้อยากรู้จึงไม่ได้ถาม มีแต่จันจินี่แหละที่บอกว่าเขาออกไปเคลียร์งาน
“อย่าบอกนะว่าเจ้จะกลับไปโดยไม่บอกเฮียอ่ะ”
“เจ้โตแล้วนะจัน จะไปไหนไม่จำเป็นต้องรายงานใครไหม”
“อ่ะ ก็จริง” จันจิพยักหน้าคิดตาม “แต่อย่างน้อย ๆ บอกเจ้เหมยไว้หน่อยก็ดีนะเจ้ เจ้เหมยกับเฮียไมล์จะได้ไม่เป็นห่วงตอนเจ้หายไป”
“อืม ถ้างั้นฝากจันบอกเจ้เหมยให้หน่อยแล้วกันนะ เจ้ไปก่อนล่ะ” ฉันลุกขึ้นสะพายกระเป๋าที่ไหล่ จันจิทำหน้าง้ำงอใส่ ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เอาน่า ไว้เจ้จะซื้อขนมมาฝากนะ”
“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวจันบอกเจ้เหมยให้เอง เจ้รีบไปรีบกลับน้า ซื้อขนมมาเยอะ ๆ เลยด้วย ฮี่ ๆ”
ฉันยิ้มให้กับความเด็กน้อยของจันจิที่พอได้ยินเรื่องขนมขึ้นมาก็ยิ้มออกทันที เด็กคนนี้ไม่เคยโตเลยจริง ๆ สินะ น่าอิจฉาความสดใสของเธอจริง ๆ ถ้าฉันเป็นได้สักครึ่งหนึ่งของเธอ ชีวิตฉันคงจะมีความสุขมากกว่านี้สินะ…
.
.
.
ฉันมาถึงคอนโดในช่วงบ่ายของวัน หยุดยืนเรียกสติให้ตัวเองชั่วครู่ก่อนปลดล็อกประตูห้องแล้วเปิดเข้าไป เป็นเวลาสองวันแล้วนับจากที่พันไมล์พาฉันไปจากที่นี่ และก็เป็นสองวันที่จินหลงไม่ติดต่อมาเลยเช่นกัน
แกร็ง…
เสียงขวดแก้วกลิ้งกระทบกันด้วยเพราะฉันเผลอไปเตะ พอกดเปิดไฟมองจึงพบว่าบนพื้นห้องเต็มไปด้วยขวดเหล้าและกระป๋องเบียร์มากมาย จินหลงคงจะกลับมาที่ห้องแล้ว และเขาก็ดื่มหนักพอสมควรเลย
ว่าแต่… ตัวเขาหายไปไหนกันนะ
ฉันกวาดสายตามองหาร่างสูงภายในห้องนั่งเล่น เมื่อไม่พบก็เดินเข้าไปหาในห้องนอนและห้องน้ำ แต่ก็ยังไม่พบอะไร
เขาไม่อยู่แล้วสินะ
ฉันถอนใจขณะเดินกลับมาที่ครัว จังหวะกำลังเดินอ้อมมาทางหลังเคาน์เตอร์จู่ ๆ เข่าฉันก็แทบทรุดลงบนพื้นกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ละ… เลือด?!
มือบางยกขึ้นปิดปากด้วยความตื่นตกใจ สองตาจับจ้องมองรอยเลือดสีแดงเข้มที่เริ่มแห้งกรังบนพื้นหินอ่อน แม้จะเป็นแค่รอยหยดเลือดกองเล็ก ๆ แต่นั่นก็ทำให้ฉันหวาดหวั่นจนแทบจะบ้า
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายหาจินหลงทันที สองวันมานี้ฉันตัดใจไม่ติดต่อเขา ในขณะที่เขาเองก็หายไปไม่ติดต่อฉันเช่นกัน วันนี้เตรียมใจที่จะกลับมาพบเขา และตั้งใจจะมาพูดคุยกับเขาอีกครั้ง แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจออะไรแบบนี้
[เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้…]
ติดต่อไม่ได้งั้นเหรอ…
ฉันพะว้าพะวงไปหมด เป็นห่วงจินหลงจนทำอะไรไม่ถูก เขาทำร้ายตัวเองอีกแล้ว และคนอย่างเขาไม่มีทางไปโรงพยาบาลแน่ ๆ ฉันรู้จักเขาดี เวลานี้เขาต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่ที่เขาชอบไป…
เดี๋ยวนะ… ที่ที่จินหลงชอบไปงั้นเหรอ…
.
.
.
รถยนต์คันหรูติดฟิล์มดำทั้งคันจอดเทียบเลยหน้าตรอกจิ๋งลู่ ตรอกที่ขึ้นชื่อในเรื่องอาชญากรรมมากที่สุดในย่านนี้ กระจกกันกระสุนเลื่อนลงช้า ๆ ปรากฏใบหน้าหล่อแสนหวานตัดกับดวงตามังกรแสนดุดันกำลังจ้องลึกเข้าไปในตรอกนั้นนิ่ง ๆ
“มีคนเห็นมันเข้าไปในตรอกจิ๋งลู่ล่าสุดครับนาย”
“เมื่อไหร่”
“เมื่อวานครับ” ดอมินิกเลื่อนสายตาขึ้นมองผู้เป็นเจ้านายและเจ้าชีวิตของตนผ่านกระจกส่องหลัง ดวงตามังกรละกลับมาสบกับคนสนิทที่เป็นทั้งมือขวาและคนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน
“จอดรถ”
“นายจะเข้าไปเหรอครับ ให้ผมเข้าไปดูลาดเลาก่อนไหม”
“ไม่ต้อง ฉันจะเข้าไปเงียบ ๆ คนเดียว ส่วนนายเอารถไปจอดแล้วรอฉันสั่ง” สิ้นคำสั่งเฉียบขาด ร่างสูงก้าวลงจากรถพร้อมคลุมฮู้ดเพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนจะก้าวยาว ๆ แล้วหายลับเข้าตรอกไป