“หิวแล้ว ทำอะไรให้กินหน่อย”
แล้วคนถูกจ้องก็เปลี่ยนเรื่องแถมยังเปลี่ยนท่าทางไปพิงโซฟา สองตาหลับพริ้มอย่างเหนื่อยล้า ฉันถอนใจเบา ๆ เลิกเซ้าซี้เขาก่อนเดินเข้าครัวมาแกะซองบะหมี่ อย่างที่บอกว่าฉันไม่ค่อยได้กลับเมืองไทย คอนโดนี้เลยไม่มีของสดนอกจากบะหมี่ โชคดีที่จินหลงเป็นคนอยู่ง่ายทานง่ายจึงไม่ค่อยงอแงเรื่องอาหารมากนัก
“จะกลับไปอยู่กับฉันเหมือนเดิมไหม”
“…” มือที่กำลังแกะซองบะหมี่ชะงักเล็กน้อยตอนถูกถาม น้ำเสียงเศร้า ๆ ของเขาบีบรัดหัวใจฉันแปลก ๆ ฉันหันมองจินหลงที่ยังคงหลับตานิ่งก่อนหันกลับมาต้มบะหมี่ต่อ พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ “นายอยากให้ฉันกลับไปอยู่ด้วยไหมล่ะ”
คำถามของฉันได้รับความเงียบเป็นคำตอบ หลังจากใส่บะหมี่ลงหม้อน้ำเดือดเรียบร้อยฉันจึงหันกลับมามองคนตัวสูงบนโซฟาอีกครั้ง และพบว่าเขากำลังจ้องมองกันอยู่ ดวงตาเรียวรีดุจเหยี่ยวเรียบนิ่ง
ฉันไม่ชอบแววตาแบบนั้นของจินหลงเลย มันเหมือนกับว่าใครอีกคนในตัวเขากำลังจะออกมา คนที่แสนอันตรายและน่ากลัวคนนั้น…
ฟู่ ๆ ๆ
เสียงน้ำเดือดเรียกสติฉันให้กลับมาสนใจบะหมี่ตรงหน้า ฉันเม้มปากนิด ๆ ขณะยกหม้อที่เต็มไปด้วยของเหลวร้อน ๆ เทลงในชามใบใหญ่ ทว่าจังหวะนั้นมือของฉันถูกฝ่ามือใหญ่ทาบทับก่อนจะช่วยเทจนหมดแล้ววางหม้อลงบนเตาตามเดิม ความอบอุ่นกระจายไปทั่วแผ่นหลัง จินหลงเข้ามายืนซ้อนหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ การกระทำของเขาเรียกอัตราการเต้นของหัวใจฉันให้เต้นแรงผิดปกติ
“เอ่อ บะหมี่เสร็จแล้วนะ จิน…” คำพูดของฉันเงียบหายไปเมื่อหันกลับมาสบตากับคนตัวสูงด้านหลัง แววตาของเขาดูดกลืนเสียงของฉันไปหมด ใบหน้าเราอยู่ใกล้กันเพียงไม่กี่เซนต์ สัมผัสได้ถึงกลิ่นมิ้นท์จากลมหายใจกรุ่นร้อนของเขา ฝ่ามืออบอุ่นทาบทับลงข้างแก้มฉันแผ่วเบา ความอ่อนโยนเหล่านี้คือสิ่งช่วยยืนยันว่าผู้ชายตรงหน้าฉันคนนี้คือคนที่ฉันรัก… คนที่อบอุ่นอ่อนโยนคนนี้… เขาคือจินหลงของฉัน
“ฉันรักเธอนะไกอา รักมากกว่าชีวิตของฉัน” คำกระซิบรักดังขึ้นแผ่วเบา เป็นถ้อยคำที่จินหลงพร่ำบอกฉันอยู่เสมอ “ต่อให้ต้องตาย ฉันก็ไม่ยอมสูญเสียเธอไปเด็ดขาด”
จินหลงกอดฉันอีกครั้ง มันเป็นอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความอ้างว้าง โดดเดี่ยว สำหรับฉันแล้ว ฉันไม่เคยคิดจะไปจากอ้อมกอดนี้เลย เพราะฉันรักจินหลง และเขาก็รักฉัน แม้จะมีบางเรื่องที่มันยากเกินกว่าจะรับได้ แต่ฉันก็พยายามเข้าใจเขา พยายามอยู่กับสิ่งที่เขาเป็น พยายามยอมรับกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญ และคิดเสมอว่าความรักของฉันจะรักษาเขาได้…
“ฉันก็รักนายนะ… จินหลง”
.
.
.
คฤหาสน์ปารกุล
ฉันก้าวลงจากรถแท็กซี่พลางเงยหน้ามองบ้านหลังใหญ่หรือเรียกง่าย ๆ ว่าคฤหาสน์ปารกุล วันนี้ฉันมีนัดทานข้าวกับพ่อแม่ตอนเย็น เมื่อเช้าจึงจัดเตรียมอาหารและของสดเอาไว้ให้จินหลงเรียบร้อยแล้ว เพราะต้องออกมาทั้งวันแถมจินหลงยืนยันที่จะรออยู่ที่ห้อง เขาไม่ยอมมาพบกับพ่อแม่ฉันเลย นับตั้งแต่วันนั้น…
ความจริงฉันเคยพาจินหลงมาพบกับพ่อแม่แล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน แน่นอนว่าพ่อแม่ฉันใจดีมาก ท่านไม่ได้มีท่าทีรังเกียจรังงอนจินหลงเลยสักนิด แต่เป็นตัวของจินหลงเองที่รู้สึกไม่ดี เพราะเขาไม่มีครอบครัว ไม่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้อง ไม่มีรากฐานอะไรมารองรับชีวิตฉันถ้าหากวันหนึ่งเราต้องแต่งงานกัน มันเลยทำให้เขารู้สึกละอายใจมาก
ฉันเคยบอกเขาแล้วว่าไม่ต้องคิดมากในเรื่องพวกนี้เลย พ่อแม่ฉันไม่ได้ซีเรียสเลยสักนิด ขอเพียงแค่จินหลงรักฉันและพร้อมจะดูแลฉันไปตลอดชีวิต นั่นก็เพียงพอสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างพวกท่านแล้ว
แต่ก็นะ จินหลงก็ยังเป็นจินหลง ผู้ชายที่คิดมากและคิดเยอะตลอดเวลา เพราะอย่างนั้นฉันจึงไม่บังคับเขา และปล่อยให้เขารออยู่ที่คอนโดคนเดียว ส่วนฉันก็นั่งรถแท็กซี่มาหาพ่อแม่อย่างที่เห็นนี่แหละ
“มาแล้วเหรอคะคุณหนู”
“สวัสดีค่ะป้าริน คุณแม่กับป๊าอยู่ไหนเหรอคะ” ฉันพนมมือไหว้ป้าริน ป้าแม่บ้านที่คอยดูแลครอบครัวนี้มาตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด แม้ท่านจะสูงอายุมากแล้ว แต่คุณพ่อก็ยังดูแลท่านอยู่เสมอ เพราะท่านไม่มีลูกหลานที่ไหนจึงขอรับใช้คุณพ่อไปตลอดชีวิต ฉันจึงรักและเคารพท่านมาก เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่อีกคนเลยล่ะ
“คุณท่านอยู่ในสวนค่ะ คุณทัพกับคุณหนู ๆ ก็อยู่นะคะ”
“เอ๊ะ เฮียทัพมาด้วยเหรอคะ” ฉันขมวดคิ้วแปลกใจ สองเท้าเดินไปทางสวนข้างบ้าน บรรยากาศภายในสวนไม่ได้เปลี่ยนไปมาก ยังคงร่มรื่นน่าอยู่เหมือนเดิมเพิ่มเติมคือเด็กตัวน้อย ๆ ที่วิ่งเข้ามาสวมกอดฉันทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น
“อาไกอามาแล้ว เย้ ๆ” ฉันย่อตัวลงเสมอกับพริบพราวแล้วหอมแก้มนุ่ม ๆ ฟอดใหญ่ เด็กคนนี้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเฮียนำทัพกับพันเก้า ซึ่งทำฉันหลงหนักมากเพราะความน่ารักน่าเอ็นดูของเธอ
“คิดถึงอาไกอาไหมคะ”
“คิดถึงสิคะ คิดถึงม้ากมากเยย” ร่างอ้วนกลมถูกอุ้มขึ้นแนบอก ไม่เจอกันแค่สองเดือนตัวหนักขึ้นเยอะเหมือนกันแฮะ
“แหนะ แอบวิ่งมาอ้อนอะไรอาไกอาอีกล่ะยัยตัวแสบ” พันเก้าหันมาหรี่ตามองลูกสาวเมื่อฉันอุ้มพริบพราวเข้ามาในสวน ทุกคนหันมองเราเป็นตาเดียว เฮียนำทัพเดินมารับเด็กตัวน้อยไปจากวงแขนฉัน
“เอาหลานมานี่ แล้วหันไปมองทางนู้น”
ฉันมองตามที่เฮียบอกก็พบกับร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างพ่อและแม่ ใบหน้าหล่อคมเข้มคลี่ยิ้มนิด ๆ มาให้ สองแขนยกขึ้นอย่างเชิญชวนให้เข้าไปหา ฉันทำตาโตพร้อมกับยิ้มกว้างแล้ววิ่งเข้าหาอ้อมกอดนั้นด้วยความดีใจ
“เฮียศึก! คิดถึงจังเลยย”
ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของพี่ชายคนโตเรียกน้ำตาฉันให้รื้นขึ้นมา ฉันไม่ได้เจอเฮียนำศึกมาเกือบสองปีแล้ว เพราะเฮียย้ายถิ่นฐานไปอยู่อเมริกาทั้งครอบครัวเลย นาน ๆ จะกลับมาบ้านสักที เวลาเฮียกลับมาฉันก็ไม่ได้อยู่พบ เราจึงคลาดกันบ่อย ๆ
ตั้งแต่เล็ก ๆ ฉันไม่ค่อยได้รับความสนใจจากพี่น้องสักเท่าไหร่ ด้วยเพราะฉันเป็นลูกสาวต่างแม่กับพี่ชายทั้งสอง ทำให้ความใกล้ชิดระหว่างพวกเราเหมือนคนแปลกหน้า เมื่อก่อนเฮียนำทัพจงเกลียดจงชังฉันมาก ชอบทำตัวเย็นชาและพูดจาร้ายกาจใส่ฉันกับแม่เสมอ ต่างจากเฮียนำศึกที่ถึงแม้จะไม่ได้ทำดีกับฉันมากมาย แต่เขาก็ยังยอมรับฉันกับแม่ และยังชอบซื้อของขวัญมาฝากฉันอยู่บ่อย ๆ ฉันจึงรักและสนิทกับพี่ชายคนโตมาก
ส่วนเฮียนำทัพน่ะ เราเพิ่งจะมาเข้าใจกันตอนที่เฮียรักกับพันเก้านี่แหละ ต้องขอบคุณยัยเพื่อนรักที่เป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเราให้กลับมาแนบแน่นและอบอุ่นอย่างนี้