จินหลงเป็นเด็กกำพร้าซึ่งถูกคนมีอิทธิพลรับมาเลี้ยง เขาถูกทำร้ายร่างกายมาตั้งแต่เด็ก ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นน่ากลัว ฉันเคยเห็นรอยพวกนั้นอย่างเต็มตาเพียงแค่ครั้งเดียว เพราะปกติเขาแทบไม่เคยถอดเสื้อให้ฉันเห็นเลย เขากลัวว่าฉันจะหวาดกลัวและรังเกียจเขา ซึ่งมันไม่เป็นแบบนั้นเลยสักนิด ยิ่งฉันรับรู้ถึงเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดในอดีตของเขา ฉันก็ยิ่งอยากจะปลอบประโลมเขา อยากรักษาเยียวยาเขาด้วยความรักทั้งหมดที่ฉันมี
ผลกระทบจากการถูกทำร้ายร่างกายตั้งแต่เด็กไม่ได้มีเพียงแค่รอยแผลบนร่างกายเท่านั้น แต่มันฝังลึกไปในจิตใจของเขาด้วย เพราะความรุนแรงที่เขาต้องเผชิญมาตั้งแต่เด็กทำให้จินหลงมีอาการของ ‘โรคสองบุคลิก’
โรคน่ากลัวนั่นคือสิ่งที่จินหลงกำลังเผชิญอยู่ เขาเคยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชเมื่อหลายปีก่อน ทำให้เขามีอาการที่ดีขึ้นและรับยามาทานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งฉันรับรู้เรื่องอาการป่วยของเขามาโดยตลอด ช่วงแรกที่เราคบกันอาการของเขาดีขึ้นมาก จินหลงควบคุมอารมณ์ได้ดี เราสองคนจึงได้รักกันอย่างมีความสุข
จนกระทั่ง…
เมื่อหลายเดือนก่อนเขาก็เปลี่ยนไป… จินหลงมาหาฉันด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด เขาไม่เหมือนคนเดิมที่ฉันเคยรู้จัก เขาดุร้ายและน่ากลัว เขาพลั้งมือทำร้ายฉันอย่างขาดสติ ในตอนนั้นฉันเสียใจมาก ฉันคิดจะหนีและไปจากเขาหลังจากฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล แม้ว่าร่างกายฉันจะไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่หัวใจมันกลับแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
หลังจากพักรักษาตัวในโรงพยาบาลได้ไม่กี่วัน จินหลงมาหาฉันด้วยสีหน้าเจ็บปวด เขากอดฉันแน่นและเริ่มร้องไห้ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นน้ำตาจากผู้ชายเข้มแข็งอย่างเขา มันทำให้ฉันใจอ่อนในทันที ฉันรู้ว่าสิ่งที่จินหลงทำเขาไม่ได้ตั้งใจ เขากำลังขาดสติ เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์รุนแรงของตัวเองได้ เพราะโรคบ้า ๆ ที่เขากำลังเผชิญอยู่นั่นเปลี่ยนให้เขากลายเป็นปีศาจ
เพราะอย่างนั้นฉันเลยให้อภัยเขา
เพราะฉันรักจินหลง ฉันจึงอภัยให้เขา ฉันรักในตัวตนที่แท้จริงของเขา รักผู้ชายที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนคนนั้น แม้ว่าเขาจะมีอีกตัวตนที่แสนดุร้ายซุกซ่อนอยู่ก็ตาม แต่ฉันไม่กลัว… และยังคงเชื่อเสมอว่าเมื่อไหร่ที่จินหลงเปลี่ยนไป เขาจะต้องพยายามควบคุมตัวเองและกลับมาหาฉันอย่างแน่นอน เหมือนเช่นทุกครั้ง…
.
.
.
[เป็นยังไงบ้างแก กลับไปถึงก็ไม่โทรบอกกันเลยนะ นี่มันกี่วันแล้วหะ] น้ำเสียงงอน ๆ จากปลายสายเรียกรอยยิ้มผุดขึ้นมุมปาก ฉันอาบน้ำเพิ่งเสร็จและกำลังนั่งเช็ดผมเปียก ๆ ของตัวเองอยู่หน้ากระจก สายตาเหลือบมองร่างสูงบนเตียงที่ยังคงหลับใหลผ่านเงาสะท้อนจากกระจกเล็กน้อยก่อนจะกลับมาสนใจเพื่อนรักในสาย
“โอ๋ ๆ อย่างอนเลยนะเพื่อนรัก ฉันกลับมาก็มัวแต่ยุ่ง ๆ เรื่องเรียนน่ะ เดี๋ยวต้องเลือกหัวข้องานวิจัยแล้วด้วย ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรดี”
นึกถึงเรื่องนี้แล้วต้องถอนหายใจหนัก ๆ ฉันเรียนปริญญาเอกด้านศิลปะและการออกแบบ ซึ่งเป็นแนวทางต่อจากสาขาวิชาที่เคยร่ำเรียนมาตั้งแต่สมัยปริญญาตรีและปริญญาโทนั่นแหละ เรื่องเรียนมันก็ไม่ได้ยากแต่การเลือกหัวข้องานวิจัยนี่สิไม่ง่ายเลย
[เลือกหัวข้อแล้วเหรอ แล้วแกจะทำอะไรอ่ะ]
“ไม่รู้สิ ฉันยังนึกไม่ออกเลยแก แต่ก็สนใจเกี่ยวกับพวกร้านอาหารนะ แกก็รู้ว่าฉันชอบการกินมากแค่ไหน” คำตอบของฉันได้รับเสียงหัวเราะจากปลายสาย ฉันย่นหน้าใส่พันเก้านิด ๆ จำเป็นต้องขำขนาดนั้นไหมล่ะ
[ฉันละเชื่อแกจริง ๆ ยัยหมูอ้วนเอ้ย]
“อ๊าย อย่ามาเรียกฉันหมูนะยะ ก็ฉันคิดงั้นจริง ๆ นี่ ถึงจะยังไม่ได้ตัดสินใจก็เถอะ เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่แล้วด้วย เห้อ!”
[ถ้างั้นแกก็เลือกหัวข้อนี้ไปเลยสิ จะลังเลอะไรอีก] พันเก้าสนับสนุนฉันอย่างเต็มที่ ได้ยินเสียงเด็ก ๆ ดังลอดมาจากปลายสายด้วย ตอนนี้เวลาที่เมืองไทยเพิ่งจะหกโมงกว่าสินะ เด็ก ๆ ถึงยังไม่เข้านอนแบบนี้
“ฉันลังเลเพราะไม่รู้จะไปหาร้านอาหารจากที่ไหนน่ะสิ แกก็รู้ว่าร้านอาหารในฮ่องกงเยอะจะตาย” ฉันบ่นอย่างช้ำ ๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ฉันจะติดต่อร้านอาหารในเมืองฮ่องกงที่แสนเลื่องลือทางด้านอาหารเหล่านั้นได้ หากทว่าคำตอบจากปลายสายกลับทำฉันชะงักค้างไปหลายวินาที
[โธ่ยัยเพื่อนบ้า ไม่เห็นยากอะไรเลย แกลืมไปแล้วเหรอว่าเตี่ยกับม้าฉันมีร้านอาหารอยู่ในฮ่องกงอ่ะ แค่บอกเฮียไมล์คำเดียว รับรองแกได้ทำงานวิจัยกับทางร้านฉันแน่ ๆ]
นั่นสินะ… ฉันลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน
แต่… ไม่ได้ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ถ้าหากฉันทำงานวิจัยกับร้านอาหารของพันเก้า ฉันก็ต้องเจอกับเจ้าของร้านคนปัจจุบันด้วยน่ะสิ…
[เอาตามนี้นะแก เดี๋ยวฉันโทรบอกเฮียไมล์ให้ แล้วแกก็เข้าไปติดต่อที่ร้านได้เลยนะ]
“เดี๋ยวสิแก ฉันยังไม่ได้ตกลงเลยนะ” ฉันอึกอักลำบากใจสุด ๆ
[ทำไมล่ะ ยังจะลังเลอะไรอีกหะ เวลาเหลือไม่มากแล้วไม่ใช่เหรอ แกเองก็อยากทำเกี่ยวกับร้านอาหารด้วยนี่] น้ำเสียงสงสัยของเพื่อนรักกดดันฉันอย่างมาก [หรือว่าแกมีปัญหาอะไรกับพี่ชายฉัน แกไม่อยากเจอเฮียไมล์ใช่ป่ะ]
“มะ ไม่ใช่นะ ฉันก็แค่… เกรงใจน่ะ” ฉันพยายามหาคำตอบที่ดีมาแย้งเพื่อน แต่เหมือนคำตอบฉันมันจะฟังไม่ขึ้น
[โอ๊ยย แกเป็นเพื่อนฉันนะไกอา เป็นน้องสาวเฮียทัพด้วย แล้วเตี่ยกับม้าฉันก็รักแกอย่างกับลูกสาวแท้ ๆ ฉะนั้นเลิกคิดเรื่องเกรงใจไปได้เลย เอาเป็นว่าตามนี้แหละ เดี๋ยวฉันจัดการให้ โอเคนะ] พันเก้ากำชับด้วยน้ำเสียงแกมบังคับก่อนจะวางสายไป ฉันจ้องหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกอธิบายยาก
ฉันจะทำยังไงดี… คนที่ฉันพยายามจะหนี… กำลังจะกลับเข้ามาในชีวิตฉันอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ…