บทที่ 01
หมูกระทะร่วมสาบาน [2]
Green-Good Salad land
พิมพ์พัชรกลอกตาตั้งแต่เห็นป้ายร้านอาหารเพื่อสุขภาพ มื้อดึกในสมองของเธอมีแต่ชาบู หมูกระทะ หรือก็ไม่ก็เบียร์เย็นๆ สักแท็ปให้ชื่นใจก่อนนอน
“สลัดบัลซามิกกับน้ำเปล่าไม่ใส่น้ำแข็งครับ”
“สลัดแอปเปิลแซลมอนกับไวน์...น้ำเปล่าไม่ใส่น้ำแข็งค่ะ”
“ไวน์แดงครับ”
พิมพ์พัชรเหลือบมองด้วยความแปลกใจ แต่เขาเหมือนจะตั้งใจไม่มองเธอ หันไปส่งเมนูคืนให้พนักงานพร้อมกับยิ้มขอบคุณอย่างสุภาพ
“ดื่มไวน์ได้เหรอคะ”
อดรนทนไม่ไหวถึงกับต้องถาม ไม่อย่างนั้นคืนนี้เธอคงนอนไม่หลับ
“นานๆ ครั้งก็ไม่เป็นไรครับ”
กลายเป็นพิมพ์พัชรที่รู้สึกไม่ชิน
“วันก่อนพี่แวะเอาผลไม้ไปฝากคุณลุงกับคุณป้าที่บ้าน คุณป้าบอกพี่ว่าช่วงนี้พิมพ์ทำงานหนัก ไม่ค่อยได้กลับไปที่บ้าน”
“พอดีช่วงก่อนมีโปรเจกต์ใหม่ ทีมของพิมพ์ต้องรับผิดชอบค่ะ ทุกคนทำงานหนักแล้วก็เหนื่อยเหมือนๆ กัน”
“พี่ขอพูดตรงๆ เลยก็แล้วกันนะ”
นั่นแหละสิ่งที่เธอรอคอย
“ค่ะ พิมพ์ก็อยากคุยกับพี่ภักดิ์ตรงๆ เหมือนกัน”
แม้จะเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดดันมาบ่อยครั้ง แต่ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้พิมพ์พัชรถึงได้รู้สึกกดดันกว่าทุกครั้ง
“พิมพ์ให้โอกาสพี่ดูแลพิมพ์ไปตลอดชีวิตได้ไหม”
คำขอของเขาทำให้พิมพ์พัชรรู้สึกเหมือนถูกบีบจากมือที่มองไม่เห็น
“เรารู้จักกันมานานแล้ว และพิมพ์เองก็รู้ว่าพี่รักและหวังดีกับพิมพ์มาตลอด รวมถึงคุณลุงคุณป้าเองก็คงอยากจะให้พิมพ์มีคนดูแลนะ”
“พิมพ์...”
“ถ้าพิมพ์ตกลง พี่สัญญาว่าพี่จะดูแลพิมพ์อย่างดี ไม่ต้องทำงานหนักอย่างนี้แน่ๆ แค่เป็นภรรยาของพี่ เลี้ยงลูกอยู่บ้าน แต่งตัวสวยๆ แบบที่พิมพ์ชอบ”
ฟังดูสวยหรู แต่นั่นไม่ใช่ชีวิตที่เธอต้องการสักหน่อย เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอชอบแบบไหน
“ส่วนเรื่องคุณลุงกับคุณป้า พิมพ์ก็ไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะดูแลท่านเหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ของพี่ แบบที่พี่ทำมาตลอด”
“พี่ภักดิ์คะ” พิมพ์พัชรรวบรวมความกล้าเพื่อเบรกคำพูดของเขา ที่ผ่านมาเป็นเพราะเธอรู้ว่าเขาหวังดีกับเธอ รวมถึงหวังดีกับพ่อและแม่ของเธอมาตลอด เธอถึงยังเคารพและเกรงใจเขาอยู่บ้าง หากเป็นคนอื่นเธอคงตัดสินใจทำอะไรได้ง่ายกว่านี้
“พิมพ์อยากทำงานหาเงินด้วยตัวเองค่ะ พิมพ์...”
ตอนนั่งรถมาด้วยกัน เธอเตรียมคำพูดเอาไว้มากมายเพื่อพูดกับเขา แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็มีบางคำพูดที่เธอยังอยากจะทบทวนให้ดีเสียก่อน เพราะหากมันหลุดออกไปจากปากเมื่อไร จะไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้อีก
ทว่าระหว่างที่กำลังทบทวนให้แน่ใจ สายตาของเธอก็ดันเหลือบไปเห็นเพียงคุณนั่งอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของร้าน คำพูดที่เธอเตรียมไว้พลันหายวับไปเสียเฉยๆ
โอ๊ย เขามากับผู้หญิงที่เธอเห็นว่าอยู่ด้วยกันในห้องทำงานของนรินดาเมื่อวันก่อนเสียด้วย
พิมพ์พัชรกลืนทุกคำพูดกลับลงลำคอแล้วหลบสายตาของเพียงคุณในทันที พอดีกับที่พนักงานยกไวน์แดงของเธอมาเสิร์ฟ เธอไม่รอช้า คว้ามาดื่มไปหมดแก้ว
“นะ น้องพิมพ์”
จิรภักดิ์จะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว แม้แต่เจ้าตัวยังทำหน้าเหมือนเพิ่งได้สติ มองแก้วไวน์ในมือที่เหลือเพียงแก้วเปล่าแล้วยิ้มแห้ง
“ขออีกแก้วแล้วกันค่ะ พิมพ์รู้สึกคอแห้ง”
“ท้องว่าง ดื่มเยอะไม่ดีมั้งครับ”
“น้องคะ ขอไวน์แดงเพิ่มอีกแก้ว”
แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน นี่หากไม่เกรงใจเขา เธอคงสั่งพนักงานเปิดมาหนึ่งขวดให้มันรู้แล้วรู้รอด
“เอาเถอะครับ ว่าแต่เมื่อกี้พิมพ์จะพูดอะไรต่อหรือเปล่า” จิรภักดิ์ถามยิ้มๆ
พิมพ์พัชรเองก็ดันลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่เธอจะพูดอะไรกับเขา หนำซ้ำนับตั้งแต่ที่เธอเห็นเพียงคุณนั่งอยู่กับผู้หญิงคนนั้น เธอก็ยังรวบรวมสติไม่ได้อีกเลย รู้สึกเหมือนถูกเขามองอยู่ตลอดเวลา
นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่เขาไม่รับโทรศัพท์นรินดา เธอคิดถูกจริงๆ ที่ตัดสินใจไม่ให้นรินดาโทรไปรบกวนเขา
“พิมพ์ครับ”
“คะ”
“ไม่สบายหรือเปล่า”
ความห่วงใยของจิรภักดิ์มาพร้อมกับฝ่ามือของเขาที่วางลงบนหน้าผากแคบของเธอทันที ความตกใจทำให้เธอรีบหันหน้าหนีพร้อมกับปัดมือของเขาออก แต่เหมือนวันนี้จะไม่ใช่วันที่ดีของเธอนัก เพราะเธอดันหันกลับมาทางเพียงคุณที่มองเธออยู่
แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีที่ได้สบตากัน แต่ก็ทำให้พิมพ์พัชรรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ หนำซ้ำในอกยังร้อนวูบวาบขึ้นมาในตอนที่เห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่กับเขา ตักบางอย่างในจานขึ้นป้อนเขา แต่เธอรีบหันหน้ากลับมาเพราะไม่กล้ามองต่อ
รู้ตัวอีกทีก็ดื่มไวน์หมดไปอีกแก้วเสียแล้ว สีหน้าของจิรภักดิ์เริ่มเปลี่ยน สายตาของเขาดูเริ่มไม่ค่อยพอใจ
“น้องคะ”
“พอแล้วครับ”
พิมพ์พัชรปิดเปลือกตาลงเมื่อถูกขัดใจ สองมือเล็กบนตักกำแน่นก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วฝืนยิ้ม
“ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ตอนท้องว่างนะครับ”
เริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างอดทน เผลอแวบเดียวนับถึงแปดแล้ว เย็นยังไงไหวกันนะ!
“ค่ะ”
คอยดูเถอะ ครั้งนี้แยกกันได้เมื่อไร รับรองจะไม่มีครั้งหน้าอีกแน่นอน
พิมพ์พัชรนั่งยิ้มแห้งอยู่อย่างนั้นกระทั่งอาหารถูกยกมาเสิร์ฟ นับเป็นมื้ออาหารที่เธอต้องใช้ความอดทนสูงมาก และยังรู้สึกได้ถึงสายตาของเพียงคุณที่มองมาเป็นระยะๆ
เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ต้องนั่งฟังจิรภักดิ์อธิบายแผนภาพอนาคตของเขาที่มีเธอรวมอยู่ในนั้น ทั้งที่สำหรับเธอแล้ว ไม่เคยมองเห็นภาพเขาอยู่ร่วมอนาคตด้วยกันเลย ลำพังแค่นั่งกินข้าวด้วยกันแค่ชั่วโมงเดียวเธอก็อึดอัดจะแย่ การได้ลุกออกจากโต๊ะอาหารแล้วเดินออกจากร้านเหมือนเป็นรางวัลตอบแทนความอดทนของเธอในคืนนี้อย่างไรอย่างนั้น
“พิมพ์ลองเก็บไปคิดดูอีกทีก็แล้วกันนะ” จิรภักดิ์หันกลับมาย้ำกับเธอระหว่างที่กำลังเดินกลับไปที่รถ
“พิมพ์ตัดสินใจแล้วค่ะพี่ภักดิ์”
เธอตั้งใจแล้วว่าจะพูด ต้องพูดเดี๋ยวนี้ก่อนที่เธอจะเป็นบ้า
“พิมพ์จะไม่ลาออก พิมพ์อยากทำงานหาเงินด้วยตัวเองค่ะ”
พิมพ์พัชรยืนยันหนักแน่น แม้ว่าเรื่องอื่นเธอจะยังเกรงใจเขา แต่เรื่องงานเธอจะไม่ยอมให้เขาบงการชีวิตของเธอเด็ดขาด
“ถ้าอย่างนั้นพี่เปิดบริษัทให้ดีไหม”
“พิมพ์ว่า...”
“พิมพ์”
สองตาของพิมพ์พัชรเบิกโพลงเมื่อเพียงคุณเดินมาทัก
เมื่อครู่ตอนเดินออกมาจากร้านเธอไม่เห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว คิดว่าเขากลับไปแล้วเสียอีก ตอนนี้มองออกไปก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น มีเพียงเขาที่เดินเข้ามาเพียงคนเดียว
“สวัสดีค่ะเฮีย”
ยกมือไหว้เขาแล้วยิ้มอย่างเสียไม่ได้ เหลือบมองไปที่จิรภักดิ์ที่กำลังมองเพียงคุณด้วยความสงสัยแล้วก็ต้องรีบแนะนำ
“นี่เฮียเพียงคุณ พี่ชายยัยนรินค่ะพี่ภักดิ์ นี่พี่ภักดิ์ค่ะเฮีย”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมเป็นแฟนน้องพิมพ์ครับ” จิรภักดิ์แนะนำตัวเองพร้อมกับยกมือขึ้นโอบไหล่พิมพ์พัชรเอาไว้อย่างต้องการแสดงความเป็นเจ้าของเธอในทันที
พิมพ์พัชรหันไปมองด้วยความตกใจ แต่แทนที่จะรีบปัดมือของเขาออก เธอกลับเอาแต่ยืนตัวแข็งทื่ออย่างคนทำอะไรไม่ถูก
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
กระทั่งได้ยินเสียงของเพียงคุณอีกครั้งเธอจึงเบี่ยงตัวออกเล็กน้อยแล้วฝืนยิ้ม
“นรินฝากของมาให้ เฮียว่าจะแวะเอาไปให้ตั้งหลายวันแล้วแต่ยังไม่ได้ผ่านไปสักที อยู่ท้ายรถน่ะ”
เธอรู้ได้ทันทีว่าเพียงคุณโกหก
“ถ้าอย่างนั้น...”
“พี่ภักดิ์รอพิมพ์แป๊บหนึ่งนะคะ เดี๋ยวพิมพ์มาค่ะ” พิมพ์พัชรตัดบทพูดของจิรภักดิ์ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว พร้อมจะเดินตามเพียงคุณไปที่รถทั้งที่รู้ว่าเขาโกหกนั่นแหละ
“ครับ” จิรภักดิ์จำใจตอบตกลง
เธอลอบถอนหายใจแล้วเดินตามเพียงคุณมาเงียบๆ คาดเดาไม่ได้เหมือนกันว่าเพียงคุณเรียกเธอมาที่รถทำไม
“โอเคไหม เขาทำอะไรให้เราไม่สบายใจหรือเปล่า”
พอเดินมาถึงรถของเขาที่จอดไกลจากรถของจิรภักดิ์พอสมควรเขาจึงหันมาเอ่ยถาม ทำทีเป็นเปิดท้ายรถขึ้นเผื่อว่าจิรภักดิ์จะมองตามมา
“เปล่าค่ะ”
“ตอนยัยนรินโทรมา เฮีย...”
“แฟนเฮียกลับไปแล้วเหรอคะ” พิมพ์พัชรตั้งใจจะเปลี่ยนประเด็น ตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรปัญหาของเธอๆ ก็ควรจะจัดการด้วยตัวเอง แม้วันนี้จะยังจัดการไม่ได้ก็เถอะ
“เฮียกับเฌอไม่ได้เป็นแฟนกัน” เพียงคุณปฏิเสธเสียงเรียบ
พิมพ์พัชรพยักหน้าอยู่สองสามทีเพราะจริงๆ เธอไม่ได้อยากจะรู้สักหน่อยว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกัน เมื่อครู่ก็เพียงแค่ถามเพราะไม่อยากให้เขาถามเรื่องจิรภักดิ์เท่านั้น รวมถึงไม่ได้อยากจะฟังคำอธิบายใดๆ ของเขาทั้งสิ้น
“ถ้าเฮียไม่มีอะไรแล้ว พิมพ์กลับเลยนะคะ ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ”
“เดี๋ยวพิมพ์” เขารั้งเธอเอาไว้
พิมพ์พัชรหันกลับไปมองหน้าเขาสลับกับมือของตัวเองที่เขาจับอยู่ พอรู้ตัวเขาจึงรีบปล่อยออก ก่อนจะมองหาของที่ท้ายรถแล้วเลือกหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งส่งให้
“เขาจะได้ไม่สงสัย”
คำอธิบายของเพียงคุณทำให้พิมพ์พัชรเข้าใจได้ทันที เธอจึงรับมันถือไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ขอบคุณค่ะ แล้วพิมพ์จะรีบเอาไปคืนนะคะ”
“อืม”
“ขับรถดีๆ นะคะเฮีย”
“เราไม่เมานะ”
“ไม่เมาค่ะ”
ยืนยันแล้วยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะเดินกลับมาที่รถของจิรภักดิ์ ในมือกำหูถุงกระดาษแน่นทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของด้านในเป็นอะไร
ถึงรถของจิรภักดิ์เธอจึงเปิดประตูแล้วก้าวขึ้นรถมาเงียบๆ จิรภักดิ์ออกรถทันที ระหว่างที่ขับผ่านรถของเพียงคุณ เธอยังเห็นว่าเขายืนอยู่ข้างรถ
“พิมพ์สนิทกับเขาเหรอ”
พิมพ์พัชรรู้สึกไม่ชอบใจคำถามของจิรภักดิ์สักเท่าไร รวมถึงเรื่องที่เขาแนะนำตัวเองว่าเป็นแฟนของเธอด้วย ไม่รวมเรื่องที่ฉวยโอกาสกับเธอหลายต่อหลายครั้งตลอดมื้ออาหารวันนี้
“ค่ะ” เลือกตอบสั้นๆ แต่มีความหนักแน่น เพราะหากเทียบกันแล้ว เธอสนิทกับเพียงคุณมากกว่าที่สนิทกับจิรภักดิ์จริงๆ
ถึงเพียงคุณจะชอบจับผิดเธอ แต่นั่นก็เฉพาะตอนที่นรินดาก่อเรื่อง หรือตอนที่เขามีปัญหากับนรินดาจนต้องใช้เธอเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์พี่น้องเท่านั้น ไม่เคยทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเหมือนอย่างที่เธอรู้สึกตลอดเวลาที่อยู่กับจิรภักดิ์สักครั้ง ตรงกันข้าม หากเธอกับนรินดาลงความเห็นกันว่าเรื่องไหนควรปรึกษาเพียงคุณ เขาก็มักจะให้คำแนะนำที่ดีและช่วยสุดตัวเสมอ
“พี่ว่ามันดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนะ”
“พี่ภักดิ์หมายถึงอะไรคะ”
“หมายถึงที่พิมพ์สนิทกับเขา”
“แล้วทำไมพิมพ์จะสนิทกับเฮียคุณไม่ได้คะ มันไม่เหมาะตรงไหน” พิมพ์พัชรย้อนถามด้วยความหงุดหงิด ชักสีหน้าใส่เขาอย่างไม่ปิดบังว่ากำลังไม่พอใจ
“ตรงที่เขาเป็นพี่ชายของเพื่อน ส่วนพิมพ์เป็นผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงาน”
“พิมพ์กำลังจะแต่งงานกับใครคะ”
“ก็...”
“พิมพ์ไม่เห็นจำได้ว่าพิมพ์ไปคบกับใคร ไปตกลงแต่งงานกับใครตอนไหน”
ถือโอกาสถามเพื่อเอาเรื่องเสียเลย
จิรภักดิ์ถอนหายใจแรงเหมือนจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกคน แต่ไหนแต่ไรมาเขาพยายามใจเย็นกับเธอมาตลอด แต่เธอกลับไม่เคยสนใจความทุ่มเทของเขาเลย
“พี่ว่าพิมพ์เมาแล้วนะ เอาไว้เราค่อยคุยกันวันหลังก็แล้วกัน”
“พิมพ์ไม่ได้เมาค่ะ” พิมพ์พัชรย้ำเสียงเรียบ สีหน้าบึ้งตึง สายตาวาววับ “หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่พี่ภักดิ์ไม่ให้เกียรติพิมพ์แบบนี้ก็แล้วกันนะคะ”
“พี่ไม่ให้เกียรติพิมพ์ตรงไหน”
“ตรงที่เราไม่ได้เป็นแฟนกันค่ะ ไม่เคยเป็น รวมถึงที่พี่ฉวยโอกาสโอบไหล่พิมพ์ด้วยเหมือนกัน พิมพ์ไม่ชอบค่ะ”
“แต่เรา...”
“จอดรถค่ะ พิมพ์จะลง”
“พิมพ์ใจเย็นๆ”
“พิมพ์บอกให้จอดรถค่ะ!” พิมพ์พัชรหันไปสั่งจิรภักดิ์เสียงดัง แต่เขากลับมองเธอกลับมานิ่งๆ ไม่มีทีท่าว่าจะจอดรถจนเธอต้องยื่นมือไปทำท่าจะปลดล็อก
“ถ้าพี่ภักดิ์ไม่จอด พิมพ์จะโดด” เธอโกรธจนควันแทบจะออกหู เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ เขาทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเหมือนคนจมน้ำ ไม่มีสักวินาทีที่รู้สึกสบายใจ
“อย่าคิดว่าพิมพ์ไม่กล้านะคะ”
“โอเคๆ แต่ตรงนี้จอดไม่ได้ ไปจอดข้างหน้าแล้วกัน”
“พิมพ์จะลงตรงนี้ค่ะ”
เอี๊ยดดด
จิรภักดิ์เบรกรถตามคำสั่งเมื่อพิมพ์พัชรทำท่าจะเปิดประตูแล้วกระโดดลงจากรถจริงๆ
ปัง!
“พิมพ์!”