EPISODE 05-01 ไม่โดดเดี่ยว

2262 Words
EPISODE 05-01 ไม่โดดเดี่ยว ในวันที่ลูซิเฟอร์ออกไปทำงานและแพทริคกลับมาถึงบ้านก่อน หากมีเวลาว่างมากหน่อยเขามักจะโทรชวนเลียมให้มาหาเขาที่ปราสาทฝั่งขวา กิจกรรมที่แพทริคกับเลียมทำด้วยกันก็มีไม่กี่อย่าง ไม่เล่นเกมก็นินทาลูซิเฟอร์ หรือไม่ก็หาของอร่อยมาทานร่วมกัน ซึ่งไม่เคยทำอะไรนอกเหนือจากนี้เลย วันนี้ก็เช่นกัน “พ่อครัวฝั่งปราสาทของเลียมช่วยชีวิตผมไว้จริง ๆ ถ้าผมรู้ว่าบ้านเลียมมีส้มตำผมคงจะไปหาบ่อยกว่านี้” “แพทอยากกินขนาดนั้นเลยหรือไง ทำไมไม่บอกพี่ลูฟล่ะ?” “ผมเคยบอกแล้วว่าผมอยากกินส้มตำ อยากกินยำแซ่บ ๆ แต่คุณลูฟไม่ให้กินบอกว่าห้ามกินของที่มันรสจัด มันจะเสาะท้อง ให้ผมกินแต่ผักแต่เนื้อจนผมเบื่อจะตายอยู่แล้ว” “พี่ผมเขาเป็นห่วงแพทนั่นแหละ” “ห่วงอะไร แกล้งผมสิไม่ว่า อะไรที่ผมอยากทำเขาก็ขัดตลอดนั่นแหละ” “ใช่เหรอ ผมก็เห็นพี่ลูฟตามใจแพทจะตาย” “เลียมจะไปรู้อะไร” “ก็ต้องไม่รู้อยู่แล้ว ผมจะไปรู้เรื่องผัว ๆ เมีย ๆ ของพี่ชายตัวเองได้ยังไง ฮ่า ๆ ๆ ผมว่าแพทกับพี่ลูฟเข้ากันได้ดีมากเลยนะ ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าพี่ผมเขามีความสุขดี” แพทริคฟังแล้วถึงกับเบ้ปากล่างจนคว่ำ เขาไม่เห็นว่าลูซิเฟอร์จะมีความสุขอะไรอย่างที่เลียมบอกเลยสักนิด ที่เขาสัมผัสได้คืออีกฝ่ายเป็นคนเจ้าระเบียบ เจ้าคำสั่ง ชอบขัดใจแพทริคทุกเรื่อง ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างวันนี้เลย แพทริคถูกสั่งให้กลับมาพักที่บ้านทันทีหลังจากเขาปีนขึ้นไปบนนั่งร้านที่ช่างกำลังก่อสร้างเพื่อดูการแบ่งสัดส่วนห้องของโรงงานในมุมมองที่สูงขึ้น ไม่รู้ว่าใครโทรไปรายงานลูซิเฟอร์เข้า เจ้าตัวถึงรีบโทรหาแพทริคแล้วสั่งให้ลงมาจากนั่งร้านสูงเพราะอันตราย จากนั้นก็สั่งให้กลับบ้านทันทีเลยด้วย “หมาแก่ตัวนั้นเอาแต่ใจชะมัด” เสียงเล็กพูดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเพียงเพราะนึกคิดเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ได้ จากนั้นก็ลงมือตักเส้นมะละกอในจานกระเบื้องสีเข้มจนหมด “เอาอีกจานไหม เดี๋ยวผมสั่งพ่อครัวที่ปราสาทฝั่งซ้ายทำให้” “พอแล้ว เดี๋ยวผมต้องรีบไปแปรงฟันเลยเนี่ย ไม่งั้นคุณลูฟกลับมาได้กลิ่นส้มตำจากปากผมก็จะบ่นให้อีก” “ที่จริงอยากกินอะไรก็ไปปราสาทกลางก็ได้นะ ที่นั่นครบครันกว่าเยอะ คนแก่ขี้เบื่ออาหารน่ะเลยมีของกินหลากหลายกว่า คุณลุงกับคุณป้าคงดีใจถ้าแพทไปหาท่านบ้าง ยังไงก็มาเป็นลูกสะใภ้ของที่นี่แล้วนี่นะ” “พูดอะไรของเลียม ผมมาที่นี่เพราะโดนซื้อมาจากการประมูล มีหน้าที่เดียวคือต้องมีทายาทให้ตระกูลคาร์เตอร์ อย่าพูดโยงให้ผมมีความสัมพันธ์อะไรมากกว่านี้เลย ผมกับคุณลูฟน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก เขาไม่รักมนุษย์อ่อนแออย่างผมหรอกมั้ง คุณลูฟเป็นถึงหมาป่าครึ่งมนุษย์สายเลือดบริสุทธิ์คนเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ ผมอยู่กับเขาผมก็เหมือนภาระ” เลียมลุกไปนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ แพทริคหลังจากที่คนรับใช้ในปราสาทเดินเข้ามาเก็บจานไปทำความสะอาด อันที่จริงเขาก็ไม่ชอบอาหารที่กลิ่นแรงสักเท่าไรเลยนั่งห่างกันมาสักพักหนึ่งแล้ว ใบหน้าสดใสของเลียมฉีกยิ้มกว้างอย่างคนขี้เล่น เขาเอียงมองแพทริคอย่างจับพิรุธ ก่อนจะกลับมานั่งหลังตรงและยกแขนขึ้นกอดอก “ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าหมาป่าตกหลุมรักมนุษย์ก่อน หรือมนุษย์แถวนี้ตกหลุมรักหมาป่าก่อนกันแน่” “แหวะ จะอ้วก อย่าพูดเรื่องอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้เลย เลียมน่ะชอบพูดเหมือนผมกับพี่ชายคุณมันมีอะไร ๆ อย่างนั้นแหละ ทั้งที่ไม่มีอะไรสักหน่อย” “ทำไมคิดงั้น แพทเหมาะกับพี่ลูฟจะตาย พี่ผมเขาทั้งหล่อ รวย หาเงินเก่ง อบอุ่น ใจดี ถึงปากจะไม่ค่อยดีแต่เขาเป็นคนจริงใจนะ อ้อ ที่สำคัญคือเขาพร้อมจะมีครอบครัวมาก ๆ แพทไม่คิดเหรอว่าการมีลูกกับพี่ลูฟจะเป็นเงื่อนตายที่ผูกกันไว้แบบแก้ไม่ได้ ไม่คิดว่าพี่ลูฟจะไม่ยอมปล่อยแพทไปหรือไง?” “โอ๊ย ไม่มีทางหรอก แค่คิดก็ขนลุกจะแย่ ให้ผมอยู่กับหมาแก่เจ้าระเบียบต่อผมยอมตายดีกว่า” “ระวังจะหลงเสน่ห์หมาแก่เข้าล่ะ พี่ผมก็แพรวพราวไม่น้อยเลยนะ” มือเรียวของแพทริคยกขึ้นปิดหูแล้วส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธ เขาแทบจะทนฟังที่เลียมชักจูงความรู้สึกต่อไปไม่ไหว อาจเพราะรู้อยู่แล้วว่าปลายทางระหว่างเขากับลูซิเฟอร์จะเป็นอย่างไร เลยไม่อยากรู้สึกอ่อนไหวไปกับคำพูดที่ไม่มีมูลพวกนี้ ขณะที่บทสนทนาเงียบลง จู่ ๆ คนรับใช้ก็เดินเข้ามาหาแพทริคอย่างนอบน้อม ก่อนจะวางซองจดหมายสีน้ำเงินหม่นลงบนโต๊ะ ด้านหน้าของซองจดหมายมีตัวหนังสือสีทองเงาวับเป็นชื่อของแพทริคด้วย วินาทีนั้นเจ้าตัวรู้ได้เลยว่าจดหมายถูกส่งมาจากตระกูลเทวะจุติภพ สีน้ำเงินหม่นเป็นสีประจำตระกูล เรื่องนี้แพทริครู้ดี เพราะตอนอยู่กับคุณปู่เขาจะเห็นสีนี้อยู่รอบตัวไปหมด อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าซองจดหมายนี้ด้านในเป็นการ์ดเชิญอะไรสักอย่าง ที่รู้เพราะเมื่อก่อนแพทริคจะช่วยคุณปู่นำการ์ดใส่ซองจดหมายเพื่อส่งต่อให้แขกเป็นประจำ ทว่าปัจจุบันนี้คุณปู่เสียไปแล้วแต่ซองจดหมายจากตระกูลกลับถูกส่งมาถึงมือเขา ทำให้แพทริคได้แต่จ้องมองโดยไม่กล้าแตะต้องมันแม้แต่ปลายนิ้ว หลังจากซองจดหมายถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปจนเลียมรู้สึกอึดอัดเขาจึงขอตัวกลับปราสาทฝั่งซ้ายไปก่อน และเวลาผ่านไปไม่ทันไรเจ้าของปราสาทฝั่งขวาก็กลับมาพอดี ดวงตาคมมองคนที่นั่งจ้องซองจดหมายด้วยความสงสัย “แพท มองอะไร?” “อ้าว คุณลูฟกลับมาแล้วเหรอครับ เข้ามาตอนไหนผมไม่เห็นได้ยินเสียงเลย” “เหม่ออะไรอยู่คนเดียว?” ลูซิเฟอร์ยื่นชุดสูทตัวนอกกับกระเป๋าให้คนรับใช้ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาแพทริคพร้อมคว้าจดหมายเจ้าปัญหามาไว้ในมือ “ไหน ๆ คุณลูฟก็หยิบมันแล้ว ช่วยเปิดแทนผมหน่อยแล้วกัน ผมไม่รู้ว่าคนในตระกูลส่งอะไรมาให้” เมื่อได้ยินว่าจดหมายดังกล่าวมาจากตระกูลเทวะจุติภพก็ทำให้ลูซิเฟอร์เกิดความสงสัยเช่นกัน เพราะตั้งแต่แพทริคถูกขายขาดจากตระกูลมาแล้วก็ไม่เคยถูกดูดำดูดีเลย ไม่เคยมีญาติที่ไหนมาหา ไม่เคยมีใครติดต่อมาเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าตัดขาดกันถาวร แล้วจู่ ๆ ก็ส่งจดหมายมาให้อย่างนั้นหรือ? “ไม่ใช่ว่าเงินที่ผมให้ไปหมดเลยส่งจดหมายมาขอเงินเพิ่มหรอกนะ” “อันนั้นก็เป็นไปได้ครับ พวกเขาหน้าเลือดจะตาย” ลูซิเฟอร์รีบเปิดซองจดหมายออกแล้วหยิบการ์ดด้านในออกมาอ่าน ปรากฏว่าเนื้อความไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคิดกันเลยสักนิด “การ์ดเชิญไปงานไว้อาลัยคุณปู่ของแพทน่ะ จะจัดขึ้นวันศุกร์หน้า” “งานไว้อาลัยคุณปู่เหรอ อืม...ถ้าเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับคุณปู่ผมก็อยากไปนะ แต่...ผมไม่อยากเจอใครเลย รู้สึกแปลกใจมากด้วยที่พวกเขาส่งการ์ดเชิญมาให้ผม ทุกทีคนในตระกูลติดต่อผมมาที่ไหน ตระกูลเทวะจุติภพได้ทอดทิ้งผมไปแล้วยังจะเชิญไปทำไมอีก” “คงทอดทิ้งแพทแล้วจริง ๆ ในการ์ดเขียนด้วยลายมือว่าถึงแพทริค คาร์เตอร์ เขาให้แพทใช้นามสกุลผมแล้ว” “วะ ว่าไงนะ! แพทริค คาตงคาเตอร์อะไร ประหลาดชะมัด ไม่เห็นจะเข้ากันเลยสักนิด!” “เหมาะดีออก แพทริค คาร์เตอร์ ผมชอบนะ” ลูซิเฟอร์วางการ์ดลงบนซองจดหมาย ก่อนจะชี้ให้แพทริคเห็นว่านามสกุลของเขาถูกเขียนมาแบบนี้จริง ๆ แต่เขามองว่าเป็นการประชดแพทริคและต้องการจะเอาใจทางคาร์เตอร์ด้วย ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็เดินหายออกไปจากห้องโถงพร้อมกับเสียงผิวปากอย่างอารมณ์ดี แต่แพทริคตีความหมายของท่าทางแบบนั้นว่าวันนี้การทำงานของลูซิเฟอร์คงลุล่วงไปด้วยดีเลยทำให้กลับมาแล้วอารมณ์ดีตามไปด้วย ทว่าพอนึกได้ว่างานที่แพทริคต้องรับผิดชอบวันนี้มันยังไม่เรียบร้อยดีเพราะถูกสั่งให้กลับบ้านมาก่อน ทำให้เขาต้องรีบเดินตามเข้าห้องนอนเพื่อเจรจาเรื่องนี้ให้หายคาใจ ตึก ตึก ตึก “ผมลืมถามไปเลย คุณลูฟให้ผมกลับบ้านมาก่อนแล้วงานที่ไซต์ก่อสร้างใครจะดูต่อ ผมกำลังจะคุยงานกับช่างแต่คุณก็ดุผมซะใหญ่โตจนต้องรีบกลับบ้าน ไม่ทันได้คุยอะไรเลย” “ผมแวะไปดูให้เรียบร้อยแล้ว แพทน่ะอย่าทำอะไรที่มันอันตรายได้ไหม คิดได้ยังไงว่าต้องปีนขึ้นนั่งร้านไปมองมุมสูง” “มันไม่เป็นอะไรหรอก ผมใส่หมวกเซฟตี้นะ” “แล้วยังไง ถ้าตกมาจริงคิดว่าจะไม่เจ็บตัวเลยหรือไง ถ้าแพทได้รับบาดเจ็บมาก็ทำงานต่อไม่ได้อยู่ดี ต้องอยู่บ้านเป็นภาระผมกับคนรับใช้อีก ทำอะไรก็คิดให้รอบคอบหน่อยสิ” “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ผมดูแลตัวเองได้นะ” “อย่าเถียงผมให้มากได้ไหม เหม็นปากเนี่ย ไปกินอะไรมา” การสนทนาที่มักจะถกเถียงกันเป็นประจำทุกวันยุติลงทันทีเมื่อลูซิเฟอร์ทำจมูกฟุดฟิด เขาพยายามแยกแยะกลิ่นที่ได้รับแต่ก็ถูกแพทริคผลักให้ออกห่างตัว ก่อนจะวิ่งหนีเขาเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการแปรงฟัน ในใจก็บ่นลูซิเฟอร์ไม่หยุดว่าจมูกเขาทำไมมันดีนัก กลิ่นอะไรก็ปกปิดไว้ไม่เคยได้เลยสักอย่าง และทันทีที่แพทริคเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็มีผ้าสีขาวสะอาดผืนหนึ่งถูกยื่นมาเช็ดปากและคางที่เปียกชุ่มให้ โดยคนที่ยืนเช็ดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา คนที่ถูกปรนนิบัติก็เช่นกัน เขาทำเพียงยื่นหน้าให้ลูซิเฟอร์เช็ดจนหมดจด ก่อนจะเดินตามออกมานั่งคุยกันต่อที่ห้องโถงด้านนอก “วันนี้ทำงานเป็นยังไงบ้างครับ เห็นคุณลูฟอารมณ์ดีเลยคิดว่าการทำงานน่าจะไม่มีปัญหา” “อืม ก็ดี บริษัทสาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดยังไม่เจอปัญหาอะไร ผมก็รวมคนจากทุกเผ่าให้มาทำงานร่วมกันเท่าที่ผมจะทำได้” “คุณดูจริงจังกับการรวมเผ่าพันธุ์มากเลยเนอะ” “ใช่ เพราะผมไม่ต้องการให้เกิดสงครามหรือการแก่งแย่งชิงดีอีก เหล่าอสูรครึ่งมนุษย์ทั้งหลายต่างก็ใช้บทบาทการเป็นมนุษย์เพื่อดำเนินชีวิต ฉะนั้นก็ต้องทำงาน หาเงินเลี้ยงชีพ ชีวิตที่สงบสุขมันก็มีแค่นี้แหละ แค่ต่างคนต่างใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่งโดยไม่ถูกกดขี่เผ่าพันธุ์ไหนก็เท่านั้น” “แต่คุณลูฟเคยบอกผมนี่ว่ามันก็มีกลุ่มอสูรเผ่าอื่นที่ต้องการทำเหมือนที่คุณลูฟทำ แบบนี้ต่อไปจะไม่มีปัญหาเหรอครับ การที่คุณรวมเผ่าพันธุ์อื่นมาทำงานภายใต้บริษัทที่คุณบริหาร หากมองอีกแง่มันก็เหมือนการรวมพลนะ จริงอยู่ว่ามันดูแข็งแกร่งที่มีเหล่าอสูรในการดูแลมากมาย แต่พออยู่เป็นกลุ่มใหญ่มันก็ง่ายต่อการทำลายด้วยเหมือนกัน” “ผมถึงต้องแข็งแกร่งที่สุดไงถึงจะปกป้องทุกคนได้ ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าแข็งข้อกับผม แต่วันหนึ่งถ้าผมแก่ตัวลง อำนาจตระกูลคาร์เตอร์ลดน้อยลง วันนั้นก็อาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้” แพทริคพยักหน้ารับเพราะเขาเข้าใจลูซิเฟอร์ทุกอย่าง เดิมทีเคยรู้เรื่องเผ่าอสูรครึ่งมนุษย์จากคุณปู่มาบ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องเล่าที่คนฟังอย่างเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน ชีวิตนี้คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับอสูรเผ่าไหนแพทริคจึงไม่เคยใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ ทว่าพอนึกย้อนไปดี ๆ แล้วก็พอจำได้เลือนรางว่าคุณปู่เคยบอกว่ามีสี่เผ่าพันธุ์ที่ไม่ถูกกันและช่วงชิงอำนาจกันมาตลอด คือเผ่าหมาป่า เผ่านาคา เผ่าวิหค และเผ่ามัจฉา ตอนเด็กก็ฟังคุณปู่เล่าราวกับนิทานเรื่องหนึ่ง แต่ได้ถามไถ่กับลูซิเฟอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามันคือเรื่องจริงทั้งหมด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD