EPISODE 05-02
ไม่โดดเดี่ยว
ตอนนี้เผ่ามัจฉากับเผ่าวิหคเงียบหายไป เผ่าหนึ่งอยู่บนฟ้า เผ่าหนึ่งอยู่ในน้ำ คงจะปลีกวิเวกใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่มีเผ่านาคาที่ยังใช้ชีวิตอยู่บนบกเยี่ยงหมาป่า และเป็นอสรพิษคอยขัดแข้งขัดขาลูซิเฟอร์อยู่เสมอ
สี่เผ่าพันธุ์ที่ว่านั้นแทบจะไม่สุงสิงกันเลย เว้นแต่งานประมูลตัวของแพทริคที่ผ่านมาทุกเผ่ากลับเปิดเผยตัวเพื่อแย่งชิงมนุษย์ที่สามารถผลิตทายาทให้เหล่าอสูรผู้นี้ ถือเป็นวาระสำคัญในรอบหลายร้อยปีเลยก็ว่าได้ที่ทำให้เกิดการรวมตัวสี่เผ่าศัตรูขึ้นมาได้
ไม่ใช่แค่สี่เผ่าเท่านั้น แต่เผ่าเล็กเผ่าน้อยก็เข้าร่วมการประมูลด้วยเช่นกัน มันบ่งบอกได้ชัดเจนว่าทุกคนต้องการทายาท แต่ตระกูลคาร์เตอร์ก็ได้ตัวแพทริคมาเพราะมีกำลังจ่ายที่มากที่สุด
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตลอดเวลาที่อยู่ในปราสาทฝั่งขวาแห่งนี้มาก็ยังไม่เคยทำเรื่องใดที่จะเป็นการผลิตทายาทเลยสักครั้ง
ลูซิเฟอร์ให้เกียรติแพทริคมากจนไม่เหมือนการถูกซื้อตัวมาเพื่อสนองความใคร่แต่อย่างใด เขาไม่รบเร้าหากแพทริคไม่ยินยอม จนเวลาผ่านไปนานเข้ากลายเป็นแพทริคเองที่รู้สึกร้อนใจ เหมือนเขาทำหน้าที่ของตัวเองไม่ดีเอาเสียเลย ยังไม่เคยถูกล่วงเกินสักครั้ง
“ของคุณลูฟใหญ่ปะ?”
คนที่จมอยู่กับความคิดเรื่องผลิตทายาทก็โพล่งถามออกไปตรง ๆ โดยไม่เกริ่นนำก่อน ทำให้ลูซิเฟอร์ตกใจกับคำถามเล็กน้อย แต่เขาเป็นคนที่จัดการความรู้สึกตัวเองได้ไว จึงรีบปรับสีหน้าให้กลับมามั่นอกมั่นใจกับคำตอบทันที
“เห็นขาเก้าอี้ตัวนั้นไหม ผมว่าของผมใหญ่กว่า”
“บ้าไปแล้ว ถามจริง!!!”
แพทริคมองเป้ากางเกงของลูซิเฟอร์สลับกับขาเก้าอี้แล้วอ้าปากค้าง คำถามแบบนี้ที่จริงเขาเคยหลอกถามเชิงหยอกเย้าอีกฝ่ายบ่อยครั้งเพราะอยากเตรียมตัวกับสิ่งที่จะได้รับ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเปรียบเปรยได้เห็นภาพชัดเท่านี้มาก่อน
ถึงไม่รู้ว่าจะเป็นความจริงสักกี่ส่วน ที่รู้แน่ชัดอยู่ในใจแพทริคอยู่อย่างหนึ่งคือขนาดของเขาสู้ลูซิเฟอร์ไม่ได้แน่นอน เอาขาเก้าอี้มาผ่าแบ่งเป็นสี่ส่วนอาจจะสู้ได้สักส่วนเดียวเท่านั้น
หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ถามเรื่องใต้สะดือกับลูซิเฟอร์อีกเลย แอบเก็บมาขบคิดอยู่คนเดียวหลายวันว่าจะรับมือกับขนาดใหญ่แบบนั้นอย่างไร เขาต้องการให้ทำครั้งเดียวแล้วมีลูกเลย ไม่กล้าทำบ่อยเพราะกลัวเจ็บ
แต่ก็รู้ว่าความเป็นไปได้มันค่อนข้างน้อย ถ้าครั้งแรกลูกไม่ติดก็ต้องทำซ้ำจนกว่าจะติด ซึ่งไม่รู้เลยว่าเขาจะรับขนาดเท่านั้นไหวที่กี่ครั้ง
นอกจากต้องหวั่นใจกับเรื่องนี้แล้วก็ยังมีเรื่องอื่นให้แพทริคคิดไม่ตกอีกเช่นกัน นั่นคือเรื่องการไปงานไว้อาลัยคุณปู่ที่บ้านใหญ่ของตระกูลเทวะจุติภพ เขามีความมุ่งมั่นที่จะไปแต่ก็ถอดใจกลางทางอยู่ทุกวัน ยังตัดสินใจไม่ได้จนวินาทีสุดท้ายนั่นก็คือวันนี้ วันที่งานไว้อาลัยถูกจัดขึ้น
ลูซิเฟอร์เห็นแพทริคกลุ้มใจมาหลายวัน ทีแรกคิดว่าเจ้าตัวคงจะไม่ไปงานเสียแล้ว ทว่าเช้านี้กลับแต่งตัวเหมือนเตรียมจะไปงานจริง ๆ ดูจากชุดที่ใส่สีน้ำเงินหม่นประจำตระกูลก็บ่งบอกได้ชัดเจนว่าจะไปที่ไหน
“จะไปก็ไป ทำหน้าแบบนั้นอยู่ได้ แพทยิ้มหน่อยสิ”
“ยิ้มไม่ออกเลยครับ หรือผมจะไม่ไปดี?”
มื้อเช้าที่มีแพทริคนั่งหน้ามุ่ยแบบนี้พาให้ลูซิเฟอร์เสียอารมณ์ไปด้วย ร่างสูงใหญ่ลุกออกจากโต๊ะอาหารเพื่อโทรไปเลื่อนนัดประชุมสำคัญของวันนี้ออกไป ก่อนจะเดินกลับมาหาแพทริคพร้อมกับคว้าต้นแขนเล็กให้ลุกจากเก้าอี้
“ไปกันเถอะ ผมจะไปกับแพทด้วย”
“เดี๋ยวก่อน คะ คุณลูฟมีประชุมใหญ่ไม่ใช่เหรอ?”
“การประชุมของผมเลื่อนได้ แต่งานไว้อาลัยคุณปู่แพทเลื่อนไม่ได้นี่”
“แล้วคุณลูฟจะไปทำไม ไม่ใช่งานคุณปู่คุณสักหน่อย”
“แต่แพทเป็นคนของผม เป็นคนของตระกูลคาร์เตอร์แล้ว”
“ผมก็ยังเป็นแพทริค เทวะจุติภพเหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่ได้ทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุลเป็นราวสักหน่อย”
“แพทริค คาร์เตอร์”
“เทวะ-”
“คาร์เตอร์!”
“โอเค ขี้เกียจเถียง งั้นแล้วแต่คุณลูฟเลย”
พวกเขาขึ้นมายังรถสปอร์ตคันหรู วันนี้ลูซิเฟอร์ก็รับหน้าที่เป็นสารถีอีกเช่นเคย และอึดใจต่อมารถก็เคลื่อนตัวออกจากอาณาเขตของปราสาทหรูเพื่อตรงไปยังบ้านใหญ่ตระกูลเทวะจุติภพซึ่งอยู่ไกลกันมาก คงต้องใช้เวลาขับรถไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงกว่าเห็นจะได้
ดีหน่อยที่บรรยากาศบนรถไม่น่าอึดอัดจนทำให้เวลามันรู้สึกช้าลง เหมือนตอนนี้แพทริคสบายใจขึ้นกว่าเดิมมากที่ลูซิเฟอร์ไปกับเขาด้วย แม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะไปกับเขาด้วยทำไม แต่การอยู่เคียงข้างกันมันก็ทำให้ความรู้สึกหวาดหวั่นในใจของแพทริคลดลงไปได้มากโข
หลายครั้งดวงตากลมโตจะเหลือบมองคนตัวใหญ่แล้วเอ่ยชมในใจว่า ลูซิเฟอร์ตอนขับรถนั้นหล่อเหลาเหลือเกิน ตอนที่มีบุคลิกสุขุม สงบปากสงบคำ ต้องยอมรับจากใจว่าเขามีเสน่ห์เหลือล้น แต่ถ้าได้พูดจากวนประสาทออกมาเมื่อไรละก็ เสน่ห์ภายนอกมักจะมลายหายไปหมด
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว แพทริคคิดว่าเวลาพวกเขาเถียงกัน พูดจายียวนกวนประสาทกันในทุกวันมันก็สนุกดี
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่กว่าจะมาถึงจุดหมาย ภายในพื้นที่บ้านใหญ่ของตระกูลเทวะจุติภพแห่งนี้มีรถหรูจอดอยู่ด้านนอกหลายคัน คาดว่าคนในตระกูลคงมางานไว้อาลัยกันอย่างเนืองแน่น เพราะตระกูลนี้เป็นตระกูลใหญ่และคนเยอะ
“ทำไมหน้าซีดแบบนั้น แพทโอเคไหมเนี่ย?”
“ไม่รู้สิ พอผมนึกได้ว่าพวกเขาเกลียดผมขนาดไหนผมก็รู้สึกไม่ดี แบบว่า...ผมมันก็แค่ไอ้ตัวประหลาดที่ท้องได้ มีเซลล์ที่ผิดปกติจากคนอื่น”
“ไม่ใช่หรอก ต้นตระกูลแพทมีพันธุกรรมพิเศษอยู่แล้ว แพทก็แค่มีมันเหมือนกันเท่านั้นเอง คนอื่นไม่มีก็ไม่แปลก แพทมีแพทก็ไม่แปลกเหมือนกัน ไม่ต้องคิดมาก คนอื่นไม่ต้องการสิ่งที่แพทมีแต่ผมต้องการนะ ไม่งั้นจะจ่ายเงินไปทำไมตั้งห้าร้อยล้าน”
“ช่างเถอะครับ ผมเข้าไปไม่นานหรอก ตั้งใจจะเข้าไปเอาของที่ห้องนอนแล้วก็อยู่ในงานครู่เดียวก็ออกมา คุณลูฟเดินเล่นอยู่ข้างนอกนี่แหละ ไม่ต้องเข้าไปก็ได้”
“ตามใจ”
ทั้งคู่แยกย้ายกันไปคนละทาง แพทริคเดินเข้าไปในบ้านใหญ่ที่รวมคนในตระกูลเอาไว้มากมาย เขาตกใจมากที่งานไว้อาลัยวันนี้มันเหมือนงานรื่นเริงเสียมากกว่า ไม่มีบรรยากาศของการอาลัยผู้ที่ล่วงลับแม้แต่น้อย ทุกคนแต่งตัวหรูหราถือแก้วไวน์ไว้ในมือ หลายคนก็เต้นรำด้วยกันที่ลานกว้างตรงกลางห้องโถงใหญ่
แพทริคกวาดสายตามองไปรอบตัวพบว่าหลายอย่างในบ้านเปลี่ยนไปมาก มันหรูหราขึ้น อู้ฟู่ทั้งการตกแต่งบ้านใหม่ไปจนถึงการแต่งตัวของครอบครัวคุณอาที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการขายเขาให้เผ่าพันธุ์อสูรครึ่งมนุษย์
ชั่วอึดใจหนึ่งมีจังหวะที่ตัวเขาสบตากับคุณอาของตัวเองก่อนจะถูกมองเหยียดแล้วเมินเฉยใส่ จริงอยู่ว่าแพทริคเคยชินกับสายตาแบบนั้น แต่อย่างน้อยก็น่าจะแสดงออกถึงความเกลียดชังให้น้อยลงสักนิดก็คงดี อย่างไรเงินที่ครอบครัวคุณอามีใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในงานไว้อาลัยคุณปู่วันนี้ก็คงเป็นค่าตัวการประมูลของเขาไม่มากก็น้อย
ตึก ตึก ตึก
ร่างสูงของแพทริคเดินก้มหน้ามองพื้นเพราะไม่อยากเห็นสายตารังเกียจของคนอื่นที่มองมายังเขา ขนาดว่าก้มมองต่ำแล้วยังเห็นฝ่าเท้าของผู้คนต่างก็ถอยหนีเขาเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ อีกทั้งยังได้ยินคนพูดถึงเขาว่า ‘ไอ้ตัวประหลาด’ แล้วหัวเราะขบขันด้วย
ตระกูลเทวะจุติภพเมื่อสิ้นคุณปู่ของเขาไปแล้วมันไม่มีอะไรเหมือนเดิมจริง ๆ คุณปู่เป็นคนเดียวที่สร้างความอบอุ่นให้เด็กผู้ชายไร้พ่อขาดแม่อย่างเขาเติบโตมาได้อย่างไม่โดดเดี่ยว แต่พอไม่มีคุณปู่ทุกคนในตระกูลก็มอบความโดดเดี่ยวมาให้เขาอีกครั้งอย่างเลือดเย็น
ทุกก้าวที่แพทริคย่ำเดินผ่านผู้คนมาจนถึงชั้นสอง เขารู้สึกว่าแข้งขามันหนักขึ้นกว่าปกติหลายเท่านัก ฝ่าเท้าแทบจะก้าวเดินไม่ออก คิดว่าคงจะแบกรับความเกลียดชังจากคนอื่นเพื่อถ่วงความรู้สึกให้ตัวเองทั้งหนักและตัวเล็กลงเรื่อย ๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนในตระกูล
ลมหายใจอุ่นพ่นออกมาเพื่อเรียกสติ แพทริคเงยหน้าขึ้นมองประตูห้องนอนของตัวเองด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากหลายปีก่อน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขายืนหน้าห้องนอนแล้วรู้สึกว่ามันไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป ทั้งที่ห้องนอนนี้คุณปู่ยกให้เขามาตั้งแต่เด็ก
‘แค่เข้าไปเอาของแล้วรีบกลับ ฮู่ ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นานนักหรอก’
คิดในใจได้ดังนั้นจึงเอื้อมมือไปเปิดประตูเข้าไป แต่ปรากฏว่าห้องนอนของเขามันถูกเปลี่ยนเป็นห้องเก็บของไปแล้ว บนเตียงนอนมีของมากมายวางทับไว้ ของบนชั้นที่เขาสะสมตั้งแต่เด็กก็ไม่เหลือสักชิ้น เหมือนถูกรื้อข้าวของไปหลายอย่างเพื่อนำเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ใช้มาวางไว้ในห้องนี้
สิ่งที่แพทริคตั้งใจจะนำกลับไปด้วยคือกล่องดนตรีรูปหมีที่ด้านข้างมีนาฬิกาทราย ซึ่งคุณปู่ของเขาออกแบบให้เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
มันคือโมเดลของเล่นชิ้นแรกที่เขาได้รับจากคุณปู่ และเป็นของเล่นต้นแบบที่เมื่อผลิตออกไปแล้วขายดีที่สุดเท่าที่บริษัทเคยผลิตของเล่นและตุ๊กตาออกมาขาย ที่สำคัญคือด้านใต้ฐานได้สลักชื่อของเขาเอาไว้ด้วยลายมือของคุณปู่
ร่างสูงเดินเข้าไปด้านในก่อนจะค้นหากล่องดนตรีแทบจะทุกซอกทุกมุมในห้องก็ไม่เจอ เขาไม่เจอข้าวของของตัวเองที่เคยอยู่ในนี้สักชิ้นเลยด้วยซ้ำ คิดว่าคงถูกเก็บไปทิ้งจนหมด
ผ่านไปพักหนึ่งแพทริคจึงถอดใจที่จะหาแล้วเดินออกมาด้วยสภาพเหงื่อชื้นใบหน้า ความรู้สึกแย่ประเดประดังเข้ามายิ่งกว่าเดิมเพราะรู้สึกว่าบ้านหลังใหญ่ของตระกูลเทวะจุติภพแห่งนี้มันไม่เหลือพื้นที่สำหรับเขาอีกแล้ว แม้แต่ห้องนอนเล็ก ๆ ก็ยังถูกกีดกันเพื่อไม่ให้เขากลับมา
ที่จริงจุดประสงค์ที่ถูกเชิญมางานวันนี้ก็คงจะตอกย้ำให้แพทริครู้ว่าทุกคนมีความสุขดีเมื่อไม่มีเขา ที่นี่ไม่มีใครต้องการคนมีพันธุกรรมประหลาด และเขาก็ยังคงจะเป็นไอ้คนประหลาดอยู่วันยังค่ำ
การไว้อาลัยคุณปู่คงจะหยิบยกมาบังหน้าเพื่อให้มันดูไม่เอิกเกริกก็เท่านั้น ทั้งที่จริงบรรยากาศภายในงานไม่เห็นจะมีใครระลึกถึงผู้ล่วงลับเลยสักคน
แพทริคเดินก้มหน้าผ่านผู้คนมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้ารูปของคุณปู่ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนผนัง มีเขาคนเดียวที่ยืนสงบนิ่งอยู่แบบนี้เพื่อนึกถึงเจ้าของภาพ
โดยแพทริคระบายเรื่องราวที่แบกรับให้คุณปู่ฟังภายในใจ เขาเล่าไปหมดเลยว่าถูกขายออกจากตระกูล ถูกแย่งงานที่บริษัท พินัยกรรมที่คุณปู่แบ่งสมบัติก็ถูกแย่งไปหมดไม่เหลืออะไรติดตัวเลย
ชั่วอึดใจต่อมาหยาดน้ำตาก็ไหลอาบพวงแก้มนุ่มด้วยความรู้สึกที่แตกสลาย แพทริคกำลังกล่าวขอโทษคุณปู่ที่เขาเข้มแข็งไม่พอ เขาไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้เพื่อดำรงชีวิตอย่างปกติได้ เขายอมแพ้ต่อคนในตระกูลแล้ว และต่อไปนี้คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเขาคือคนของเทวะจุติภพ ในเมื่อเขาคือจุดดำของตระกูลตั้งแต่ต้น
และการที่เขามายืนร้องห่มร้องไห้อยู่หน้ารูปคุณปู่แบบนี้ก็ยิ่งดึงดูดสายตารังเกียจจากคนรอบข้างมากกว่าเดิม เหมือนเขาเป็นคนเดียวที่แสดงความเศร้าออกมาท่ามกลางผู้คนที่ยิ้มแย้มในงานรื่นเริง
แต่แพทริคก็รู้สึกโดดเดี่ยวได้ไม่นาน เพราะจู่ ๆ ก็มีผู้ชายร่างสูงใหญ่มายืนเคียงข้างพร้อมกับเอื้อมมือมากุมมือของเขาไว้แน่น
“ถ้าที่นี่มันไม่ต้อนรับ งั้นก็กลับไปที่ของแพทกันเถอะ”
ลูซิเฟอร์เงยหน้ามองภาพคุณปู่ก่อนจะค้อมตัวทำความเคารพอย่างมีมารยาท โดยที่เขาไม่สนใจสายตาใครเช่นกัน ในสายตาของเขาตอนนี้เอียงมองแค่คนตัวเล็กที่ยืนข้างเขาเพียงคนเดียว
“ที่ของผมเหรอคุณลูฟ ที่ไหนครับ?”
“ปราสาทของผม บ้านของเรา”
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจของแพทริคที่ถูกผู้คนเหยียบย่ำอยู่บนพื้นถูกเก็บให้เข้าที่เข้าทางทันทีเมื่อได้รับคำปลอบโยนนี้จากลูซิเฟอร์ เขาถูกหมาป่าครึ่งมนุษย์คนนี้จูงมือออกไปจากท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มองมาด้วยความสงสัย
เมื่อมาถึงรถหรู ลูซิเฟอร์ก็จัดการหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้แพทริคโดยไม่พูดไม่จา เขาชอบปรนนิบัติโดยใช้ความเงียบนำทาง ไม่บอกว่าจะทำอะไร แต่มักจะทำให้เห็นในทันที
“ขอบคุณนะครับคุณลูฟ”
“เด็กขี้แยเอ๊ย”
มือใหญ่เอื้อมมาลูบกลุ่มผมสีดำของแพทริคอย่างเบามือ ก่อนจะชักมือกลับไปเซตผมสีเทาของตัวเองบ้าง
“หมาแก่ก็อบอุ่นเหมือนกันนี่นา”
นี่คงเป็นครั้งแรกที่ลูซิเฟอร์ถูกอีกฝ่ายเรียกว่าหมาแก่แล้วไม่ตอบโต้อะไรกลับไป อาจเพราะเห็นว่าแพทริคอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนักจึงไม่อยากต่อปากต่อคำ แต่จะน้อมรับคำชมที่บอกว่าเขาอบอุ่นไว้ก็แล้วกัน
ซึ่งถ้าการกระทำแค่นี้ถูกมองว่าอบอุ่นแล้วละก็ ต่อไปแพทริคก็คงต้องเตรียมรับมือให้ดี เพราะหมาแก่ตัวนี้มีความอบอุ่นจะมอบให้อีกเยอะ