EPISODE 02-01 ความต้องการแรก

2479 Words
EPISODE 02-01 ความต้องการแรก หลังจากย้ายมาอยู่ที่ปราสาทใหญ่แห่งนี้ได้หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ๆ แพทริคเป็นห่วงงานเลยได้ติดต่อไปยังบริษัทที่เขาทำงานเป็นผู้บริหารแทนคุณปู่ที่ต่างประเทศ บริษัทที่ถือว่าเป็นธุรกิจประจำตระกูลนั่นคือผลิตของเล่นเด็กและตุ๊กตา ซึ่งแพทริคดูแลฐานการผลิตใหญ่ที่ควบคุมการกระจายสินค้าทั่วโลก แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลาเพียงหนึ่งวันที่เขาหายไปจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายอย่างในบริษัทขนาดนี้ แพทริคได้รู้มาว่าเขาถูกถอดออกจากตำแหน่งเมื่อวาน พร้อมมีชื่อของญาติอีกคนขึ้นแทนเป็นที่เรียบร้อย นั่นก็คือลูกชายคนเดียวของครอบครัวคุณอาที่เกลียดเขานักหนานั่นเอง ทีแรกแพทริคก็ค้านหัวชนฝากับคนที่ติดต่อไปว่าเขานั้นไม่รู้เรื่องการปลดตำแหน่ง ไม่ได้เป็นคนยินยอม ไม่ได้เซ็นอะไรเกี่ยวกับเอกสารเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งเลย คงมีการเข้าใจผิดแน่ ๆ ถึงได้เป็นแบบนี้ แต่คนสนิทตอบกลับมาว่าทุกอย่างมีเอกสารหลักฐานเป็นการปั๊มลายนิ้วมือของแพทริคทั้งหมด มีลายเซ็นพยานด้วย ใครก็ค้านแทนเขาไม่ได้ ในเมื่อเอกสารผ่านบอร์ดบริหารและเป็นที่ยอมรับแล้ว เมื่อความจริงแสนเลวร้ายส่วนนี้เปิดเผยขึ้นมาทำให้แพทริคแทบหัวใจสลาย เขารักงานตรงนี้มาก บริษัทที่ปู่ยกให้เขาช่วยบริหารและเขียนในใบพินัยกรรมชัดเจนว่ามอบให้เขา เนื้อความในพินัยกรรมยังเขียนเพิ่มอีกว่าถ้าทำไม่ไหวก็ให้หลานอีกคนไปช่วยทำ ซึ่งหลานคนนั้นก็คือลูกชายของคุณอาที่เกลียดชังเขา คุณปู่ไม่ได้บอกให้ฮุบทุกอย่างไปไว้ที่ตัวเองโดยฉกฉวยโอกาสตอนเขาไม่มีสติปั๊มลายนิ้วมือแบบนี้ ความเสียใจและความโกรธกำลังสร้างความกล้าให้แพทริคติดต่อไปหาญาติตัวเองเพื่อจะขอเจรจา เขายอมทุกอย่างขอแค่ได้ทำงานที่นั่นต่อไป เพราะเขารู้ว่าบริษัทนั้นเป็นสิ่งที่คุณปู่รักมาก และคุณปู่ไว้ใจเขาให้ทำงานแทนมาตลอดห้าปี ถ้าให้ญาติผู้น้องคนนั้นบริหารแทนเกรงว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปในทางที่ควรจะเป็น แต่แพทริคต่อสายโทรหาจนแล้วจนเล่าก็ถูกตัดสายทุกครั้ง พอโทรมากเข้าหน่อยปลายทางก็ปิดเครื่องหนีไปเลย ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ไม่น่าแปลกใจสำหรับเขาเท่าไร ปกติคนในตระกูลก็รังเกียจเขาจนไม่มีใครอยากคุยด้วยอยู่แล้ว ยิ่งได้ผลประโยชน์จากเขาไปทุกอย่างหลังจากคุณปู่เสีย ใครจะอยากมายุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ที่ผ่านมาตลอดชีวิตแพทริคมีแค่คุณปู่คนเดียวที่คอยปกป้องให้ออกห่างจากคนในตระกูลที่มองเขาเป็นตัวประหลาด ที่ส่งไปทำงานต่างประเทศก็เพื่อที่จะให้ใช้ชีวิตอิสระ ทว่าหลังจากคุณปู่เสียไปแล้ว คนในตระกูลก็ยึดอิสระที่เขาเคยได้รับไปจนหมด ดูเหมือนตั้งใจและวางแผนมาแล้วทุกอย่างที่จะฮุบสมบัติคุณปู่ไว้ รวมถึงเรื่องการประมูลขายตัวเขาให้เผ่าหมาป่าครึ่งมนุษย์นี่ก็ด้วย ได้รับเงินห้าร้อยล้านบาทไปแล้วเงียบกริบเลย เศษสตางค์ไม่ตกมาถึงมือแพทริคสักแดงเดียว ฮึก เสียงสะอื้นน้อย ๆ ของเขาที่แอบร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องน้ำดังเข้าหูของเจ้าของปราสาทปีกขวาเป็นที่เรียบร้อย ลูซิเฟอร์มีประสาทสัมผัสทุกอย่างดีเลิศ ต่อให้เป็นการแอบร้องไห้อยู่ที่ไหนสักแห่งในพื้นที่ของเขา เขาก็ได้ยินแม้จะอยู่คนละที่กัน ร่างสูงใหญ่วางหนังสือที่กำลังอ่านทันที ก่อนจะเดินไปหยิบกระดาษทิชชูติดมือเข้ามาในห้องด้วย แต่พอเข้ามาถึงเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ลูซิเฟอร์อยู่คนเดียวมาตลอดและเขาไม่เคยต้องปลอบใจใคร ไม่รู้เลยว่าควรทำอะไรก่อนหลัง “แพทร้องไห้ทำไมวะ” เสียงทุ้มก้มหน้าคุยกับตัวเองก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาใหญ่ริมห้องนอน ที่เขาสงสัยไม่ใช่ว่าเป็นห่วงอีกฝ่ายหรอก เพียงแต่เขาหูดีจนได้ยินเสียงสะอื้นชัดเจน มันไม่ชินหูแถมน่ารำคาญมากสำหรับเขา เดิมทีเผ่าพันธุ์ของเขาเป็นหมาป่าที่แข็งแกร่ง ฉลาด ไม่เคยอ่อนแอร้องห่มร้องไห้เหมือนที่แพทริคกำลังทำอยู่ ลูซิเฟอร์จึงไม่เข้าใจอารมณ์ของคนร้องไห้ว่าทำไมถึงต้องยอมเสียน้ำตากับเรื่องอะไรก็ตาม การร้องไห้คือการยอมแพ้กับปัญหาหรือเปล่า ซึ่งตัวเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ เวลาผ่านไปพักหนึ่ง คนนั่งรอก็เริ่มหงุดหงิดเพราะเขาไม่ชอบเสียงแพทริคร้องไห้ มันเหมือนได้ยินเสียงรบกวนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร เลยได้แต่ถือกระดาษทิชชูเดินวนเวียนอยู่ในห้องนอนเพื่อรอให้อีกฝ่ายออกมาจากห้องน้ำที่มีทางเชื่อม ฮึก ส่วนคนที่ร้องไห้ก็จมดิ่งไปกับความเสียใจ แพทริคกางมือตัวเองขึ้นมาดูแล้วเห็นคราบหมึกบนนิ้วโป้งยังติดอยู่เขาก็ยิ่งรู้สึกแย่ เหมือนมันตอกย้ำว่าเขานั้นเป็นคนไร้ค่าที่ตระกูลไม่ต้องการ ทั้งถูกยึดสิ่งที่เขาควรได้ ทั้งถูกขายให้อสูรครึ่งมนุษย์เพื่อผลิตทายาท ทุกอย่างเกิดขึ้นไวจนเกินกว่าเขาจะรับได้ ก๊อก ก๊อก คราวนี้เป็นลูซิเฟอร์เองที่ทนไม่ไหวจึงเดินมาเคาะประตู เขาทนฟังเสียงคนแอบร้องไห้จนปวดหู คนด้านในสะดุ้งเฮือก รีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นจากพื้นกระเบื้องเย็นชืดหลังจากนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่อย่างนั้นมาสักพักหนึ่ง “คุณลูฟจะใช้ห้องน้ำเหรอ?” “จะร้องไห้ก็ออกมาร้องข้างนอก” “ผะ ผมไม่ได้ร้อง พะ พอดีสระผมแล้วน้ำมันเข้าตา!!” “ไหนแพทออกมาให้ผมดูหน่อย” แพทริครีบล้างหน้าล้างตา ก่อนจะใช้ฝ่ามือรองน้ำมาพรมให้ผมเปียก จากนั้นก็เปิดประตูแล้วเดินผ่านเจ้าของห้องไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ลูซิเฟอร์รีบเดินตามมาแล้วชะเง้อดูใบหน้าขาวสะอาดอย่างตั้งใจ ดวงตากลมโตแดงก่ำ ใต้ตาบวม ปลายจมูกแดงอย่างเห็นได้ชัด ยังไม่รวมอุณหภูมิร่างกายของแพทริคที่กระจายความร้อนออกมาจนลูซิเฟอร์สัมผัสได้อีก กระดาษทิชชูที่เตรียมไว้ถูกยื่นไปให้แพทริคทันที แล้วมันก็ถูกปฏิเสธทันทีเช่นกัน “เอามาให้ทำไม ผมไม่ได้ร้องไห้นะ” “ให้เช็ดหน้า เห็นหน้าเปียก” “อ้อ อย่างนั้นก็ขอบคุณครับ” ต่างคนก็ต่างไว้เชิง คนหนึ่งไม่ยอมรับว่าร้องไห้ อีกคนก็ไม่ถามให้มากความ เพียงแต่หลังจากนั้นลูซิเฟอร์ก็คอยตามติดและอยู่ใกล้ ๆ แพทริคตลอด เขาเฝ้าดูอาการคนเศร้าอย่างใกล้ชิดเพราะกลัวว่าแพทริคจะคิดทำอะไรไม่ดี อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย และนั่นอาจทำให้เขามีลูกไม่ได้ด้วย เวลาผ่านไปถึงสามชั่วโมงที่ทั้งคู่อยู่ไม่ห่างกัน นั่นทำให้แพทริคอึดอัดใจเหลือเกิน เขายังร้องไห้ไม่สาสมกับความเสียใจเลย แล้วก็อยากมีพื้นที่ส่วนตัวไว้ร้องไห้แบบไม่มีใครเห็น อุตส่าห์นั่งอดทนไม่ร้องไห้มาได้ตั้งนานแต่พอนึกถึงสิ่งที่เขาถูกกระทำ ความเสียใจก็เล่นงานเขาอีกครั้งจนได้ ฮึก มือเรียวยกขึ้นมาปิดปากเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นดังจนรบกวนการอ่านหนังสือของลูซิเฟอร์ แต่แพทริคไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายได้ยินเสียงชัดเจนเข้าโสตประสาทแค่ไหน ตุ้บ! เพียงเสี้ยววินาทีจู่ ๆ กระดาษทิชชูห่อหนึ่งก็ถูกปามากระทบท้ายทอยของแพทริคแล้วร่วงลงที่โซฟา เจ้าตัวหันขวับไปมองชายร่างใหญ่ที่นั่งเหยียดขาอ่านหนังสืออยู่ด้านหลังของเขาอยู่ไม่ไกล “อย่าร้องไห้จนขี้มูกเลอะโซฟาผมนะ มันสกปรก” “รู้ได้ยังไงว่าผมร้องไห้ ผมแค่...” “เลิกโกหกแล้วยอมรับความรู้สึกตัวเองบ้าง ผมไม่ได้โง่นะแพท” “แต่ก็ดูไม่ออกเลยนะครับว่าฉลาด” “จิ๊ ปากเก่งจริง ๆ เด็กคนนี้ ไหนเอาปากเก่ง ๆ นั่นระบายเรื่องที่อึดอัดใจออกมาซิ ผมจะแกล้งนั่งเฉย ๆ เสมือนว่าช่วยรับฟังแล้วกัน เผื่อแพทจะสบายใจขึ้น” “นี่คือวิธีปลอบของคุณลูฟเหรอ แข็งทื่อชะมัด” ลูซิเฟอร์ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะปิดหนังสือในมือแล้ววางลงบนโต๊ะ ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นแล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งข้างแพทริคที่โซฟา เขามองเด็กที่อายุห่างจากเขาสิบปีกำลังสั่งน้ำมูกใส่กระดาษทิชชู สะโพกสอบเลยพาตัวเองขยับออกห่างเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความสกปรก “แล้วแพทเป็นอะไร เล่าให้ผมฟังสิ ที่ถามนี่ไม่ได้เป็นห่วงหรอกนะ ผมแค่กลัวว่าอารมณ์ของแพทจะตกค้างแล้วเกิดความเครียด ถ้าเครียดมากก็กลัวจะมีลูกยาก คือผมอยากมีลูก” “งั้นคุณลูฟก็แกล้ง ๆ ฟังผมระบายหน่อยแล้วกัน นั่งฟังเฉย ๆ ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้” เพียงอึดใจเดียวเรื่องราวในใจของแพทริคก็ถูกเล่าออกไปอย่างไม่ปิดบัง เขาเล่าว่าถูกคนในตระกูลรังเกียจที่เขามีพันธุกรรมพิเศษ ทุกคนเรียกเขาว่าไอ้ตัวประหลาดมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่ทำให้ตระกูลแปดเปื้อน อาจเพราะทุกคนอยากหลุดพ้นจากการถูกพูดถึงว่าเป็นตระกูลรับใช้อสูร บรรพบุรุษแรกเริ่มของตระกูลก็สามารถตั้งครรภ์กับเผ่าพันธุ์อื่นได้ทั้งชายและหญิง แต่วันเวลาผ่านไปก็เกิดความสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกันเสียมากกว่า ทำให้พันธุกรรมพิเศษมันหายไปถึงร้อยปี ทุกคนมองว่าการไม่มีพันธุกรรมพิเศษนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะอยากให้มันเป็นปกติ แล้วพอแพทริคเกิดมาเขาดันเป็นคนเดียวที่มีมันแบบที่พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร ความเลวร้ายไม่จบเพียงเท่านั้น พ่อกับแม่ของแพทริคถูกขับไล่ออกจากตระกูลทันที ในทีแรกทั้งสองก็สู้เพื่อปกป้องลูก แต่สุดท้ายผู้เป็นแม่ก็ถูกวางยาตาย ส่วนพ่อถูกข่มขู่จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปที่อื่น คุณปู่จึงรับแพทริคมาเลี้ยงเองจนโต ตลอดเวลาที่แพทริคถูกรับเลี้ยงก็ถามถึงพ่อว่าพ่อไปไหน คุณปู่บอกว่าพ่ออยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล ทีแรกเข้าใจว่าคงอยู่ต่างประเทศ แต่พอโตขึ้นความเข้าใจจึงเปลี่ยน แพทริครู้ว่าคุณปู่คงบอกเขาทางอ้อมว่าพ่อเสียชีวิตไปแล้วเหมือนแม่ เพียงแต่พูดจาอ้อมค้อมเพื่อให้เด็กน้อยคนหนึ่งยังรู้สึกไม่เดียวดาย อย่างน้อยก็เข้าใจว่ามีพ่ออยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลก แพทริคเล่าเรื่องของตัวเองจนถึงเรื่องที่ถูกถอดจากตำแหน่งในบริษัท ถูกญาติฮุบสมบัติที่คุณปู่ยกให้ไปแล้ว เขาร้องไห้ออกมาอีกครั้งด้วยความเสียใจจริง ๆ เสียใจกว่าการที่ถูกขายให้มาอยู่ในปราสาทแห่งนี้เสียอีก “ผมเข้าใจแพทนะ ตระกูลผมก็มีเรื่องแหลกสลายเหมือนกัน อยากฟังไหม?” “เล่ามาครับ ผมจะแกล้ง ๆ ฟังก็ได้” แพทริคยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วหันหน้าเข้าหาลูซิเฟอร์เพื่อตั้งใจฟัง ผิดกันกับคนตัวใหญ่ที่นั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางสง่า เขาสานมือไว้บนตักอย่างเรียบร้อย “เผ่าพันธุ์หมาป่าครึ่งมนุษย์น่ะมีหลายตระกูล แต่ตระกูลคาร์เตอร์ของผมเคยถูกใส่ร้ายว่าไปฆ่าลูกของตระกูลอื่นเพื่อให้มีทายาทไม่ได้ คิดอยากยึดอำนาจไว้คนเดียว ซึ่งมันไม่จริง เด็กน้อยในหมู่บ้านตายเป็นเบือเป็นเพราะถูกเผ่าอื่นลอบฆ่าต่างหาก แล้วพวกเราก็ถูกขับไล่ ถูกทำร้าย แต่ต้นตระกูลผมเขาไม่ยอมแพ้เลยต่อสู้กลับ นั่นทำให้เกิดการสูญเสียในเผ่าพันธุ์มากที่สุด ตระกูลอื่นตายหมด” “เรื่องเกิดขึ้นที่ไหนครับ ไม่ใช่ที่ไทยใช่ไหม?” “ไม่ใช่หรอก พื้นเพเผ่าพันธุ์ผมอยู่ในป่าลึกที่ประเทศหนึ่ง มันไกลมาก” “อ้อ แล้วไงต่อครับ?” “หลังจากนั้นก็เป็นข่าวแพร่กระจายไปทั่วว่าตระกูลคาร์เตอร์โหดเหี้ยม ฆ่าเผ่าพันธุ์ตัวเองเพื่อที่จะเป็นใหญ่ โดยไม่มีใครพูดถึงเลยว่าคืนนั้นทุกตระกูลต่างหากที่จะมารุมฆ่าพวกเราก่อน ทุกคนยัดเยียดความผิดที่เราไม่ได้ทำ แล้วสาดความโกรธแค้นมาให้ ถ้าต้นตระกูลผมไม่สู้ก็คงต้องตายในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ” “...” “พอเผ่าพันธุ์อื่นรู้เข้าก็อยากจะลองดี เข้ามาลอบทำร้ายพวกเราบ่อยครั้งจนต้องหนีไปอยู่ที่ต่าง ๆ อย่างระหกระเหิน จนพ่อกับแม่ของผมได้เจอกัน ทั้งคู่เป็นคนสร้างอำนาจให้ตระกูลคาร์เตอร์เป็นที่เกรงขามอีกครั้งเพื่อปกป้องให้ผมเติบโตโดยไม่ถูกใครรังแก” “อืม...แล้วเลียมล่ะ เลียมมาจากไหน?” “เลียมเป็นหมาป่าที่หลงป่า ตอนนั้นเขาเด็กมาก ถูกพ่อแม่ทิ้งให้ใช้ชีวิตคนเดียว พวกเราไปเจอเข้าเลยรับเลี้ยงเขาไว้ในฐานะญาติคนหนึ่ง ผมกับเลียมโตมาด้วยกัน เขาอายุพอ ๆ กับแพทเลยนะ ที่ต้องบอกว่าเป็นญาติเพราะพ่อกับแม่อยากให้ผมมีฐานะเป็นลูกชายคนเดียว ไม่มีลูกเลี้ยง ไม่มีน้อง ซึ่งจะดีต่อทั้งตัวผมและความปลอดภัยของเลียมด้วย ถ้ามีฐานะที่โดดเด่นเขาจะถูกท้าทายเรื่องต่อสู้เขาก็สู้ใครไม่ได้ ฉะนั้นการทำให้เขาไร้ซึ่งสถานะสำคัญน่ะดีที่สุดแล้ว” “แล้วตอนนี้ความบาดหมางกับเผ่าพันธุ์อื่นเป็นยังไงบ้างเหรอครับ ยังมีใครมาท้าชนกับพวกคุณอยู่ไหม?” “มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนผมกำลังโต ใครก็อยากมาท้าสู้กับหมาป่าสายเลือดบริสุทธิ์น่ะ แต่ผมเก่งกว่าเลยเอาชนะทุกคนได้ ทำให้ตระกูลคาร์เตอร์เป็นที่น่าเกรงขามอีกครั้ง หลังจากนั้นมาผมเลยพยายามขยายอำนาจและเกี่ยวดองกับเผ่าพันธุ์อื่นให้ได้มากที่สุด เป็นมิตรก็ดีกว่าเป็นศัตรูกัน ที่สำคัญคือผมต้องมีทายาท ผมต้องมีลูกเพื่อให้เขาสืบต่อเผ่าพันธุ์และกุมอำนาจของตระกูลคาร์เตอร์” ท้ายประโยคลูซิเฟอร์หันมามองแพทริคด้วยแววตาแห่งความหวัง เวลาพูดเรื่องลูกทุกครั้งเขาไม่เคยพูดเล่น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD