ตอนที่ 9 : ห่วงใย

2804 Words
9 ความเหน็ดเหนื่อยตลอดครึ่งค่อนคืนทำให้หญิงสาวที่พึ่งกินอิ่มท้องนอนหลับสบายตลอดทั้งวัน เสียงอึกทึกครึกโครมทางด้านนอกปลุกพลับพลึงที่กำลังทำตัวนอนกินบ้านกินเมืองให้ปรือตามองเงาใต้บานประตูซึ่งกำลังเคลื่อนไหวไปมา ด้วยความสงสัยใคร่รู้จึงผุดลุกจากฟูกนอนพลางหยิบเสื้อตัวโคร่งของชายหนุ่มซึ่งพาดไว้ตรงปลายเตียงขึ้นมาสวมใส่ แอ๊ด... ร่างอิ่มเอิบภายใต้เสื้อตัวโคร่งเดินออกมานอกประตูสอดสายตามองหาชายหนุ่มหน้าตายตีสองหน้าผู้นั้น แต่กลับเห็นซากห่านป่ารวมไปถึงเป็ดป่าหลายสิบตัวกองพะเนินอยู่ด้านหน้าประตู ทางด้านขวามือมีซากหมูป่าเขี้ยวตันถูกยิงด้วยหน้าไม้สองตัวอ้วนท้วมสมบูรณ์ ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ได้ยินเสียงบ่นอิดออดของบุรุษทั้งสอง “เอ็งจะหน้าเลือดล่าสัตว์ตั้งเยอะตั้งเยอะภายในวันเดียวทำไมวะ พวกข้าต้องช่วยเอ็งแบกกลับมาจนหลังแทบแอ่น” เสียงของผืนดินแว่วมาแต่ไกล “กลัวจะอดตายหน้าหนาวหรือไงสมควรโดนหมูป่าขวิดจนกระเด็น บุญหัวเอ็งแล้วที่ไม่กระแทกกับต้นไม้ตายคาที่” เหนือมานขยี้ซ้ำให้จมดิน “ทำเหมือนวันพรุ่งเป็นหน้าหนาวอย่างนั้นแหละ เนื้อรมควันตั้งเยอะตั้งแยะกินถึงหน้าหนาวปีหน้าก็ยังได้ ไหนจะพวกเป็ดห่านไร้สาระพวกนี้มันบอกจะเอากลับมาถอนขนยัดไส้หมอนกับผ้าห่ม หยุมหยิมเหมือนสตรีบอบบางกลัวแข็งตายหรือไง” ผืนดินบ่นไม่หยุดตลอดทาง แต่ก็จำใจยอมเดินกลับไปช่วยสหายขนซากห่านซากเป็ดรอบสอง “หุบปาก...” ใต้หล้าถูกกระแหนะกระแหนจนหน้าเขียวคล้ำจึงตวาดกลบเกลื่อนความเก้อเขิน ในจังหวะที่กำลังเบี่ยงหน้าหันไปตวาดใส่ผืนดินและเหนือมานจึงไม่เห็นเงาร่างอิ่มเอิบเดินตรงมาหาพร้อมสายตาเป็นห่วงเป็นใย “บาดเจ็บหรือบาดเจ็บตรงไหน” เสียงหวานละมุนเอ่ยถาม ฝ่ามือนุ่มนิ่มจับแขนซ้ายแขนขวายกขึ้น แต่ก็ยังไม่วางใจจึงเดินหมุนสำรวจรอบกายชายหนุ่มตั้งแต่บนจรดล่างจนใต้หล้ายืนอึ้งทึ่มทื่อเหมือนคนโง่เง่าเต่าตุ่น “ถามทำไมไม่ตอบ” พลับพลึงขมวดคิ้วหน้ายู่เมื่อเห็นเขาเอาแต่ยืนนิ่งไม่ขยับไหวติง “อะ...อ๋อ อืม เจ็บมากหมูป่าเขี้ยวตันดุร้ายไม่ต่างอะไรจากเสือเลยสักนิด หากข้าพลาดคราวนี้คงเหลือแต่ร่างเย็นๆ ให้สหายข้าแบกกลับมาหาเอ็งแล้วล่ะ” ใต้หล้าแสร้งโอดครวญกุมท้อง ทำทีว่าได้รับบาดเจ็บหนักจากการพยายามล่าหมูป่ามาให้นางตามคำมั่นสัญญา เป็นวิธีหลอกเหยื่อที่น่าสงสารรู้ไม่เท่าทันให้เกิดความเห็นใจแล้วแสดงความจริงใจต่อเขาบนเตียงโดยไม่คิดบ่ายเบี่ยงเกี่ยงงอน บนหน้าเขาแทบจะมีคำว่า ‘เอาใจข้าสิ’ แปะติดอยู่ “ไหนเจ็บตรงไหน” พลับพลึงตาโตรีบก้มสำรวจร่างกายของชายหนุ่มอย่างละเอียดเหลือเพียงอย่างเดียวที่นางไม่ทำนั่นก็คือถล่กกางเกงชายหนุ่มแล้วดูด้านใน “เอ็งจะมาสำรวจอะไรตรงนี้ไว้เข้าไปในกระท่อมข้าถอดให้ดู” ใต้หล้าพูดเสียงเรียบพยายามตีสีหน้าให้เรียบนิ่ง ไม่กระโตกกระตากแตกต่างจากสองสหายที่เอาแต่มองพลับพลึงตาไม่กระพริบถล่นไม่กระพริบ จนเขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิด จึงขยับร่างบดบังสายตาเหม่อลอยไม่ได้สติของเจ้าวิปลาสสองตัว “แต่เจ็บหนักไม่ใช่หรือให้ข้าดูหน่อย ข้าจะได้เตรียมยาให้ถูกเห็นแบบนี้ข้าก็พอรู้เรื่องสมุนไพรนะ” หญิงสาวเอ่ยถามน้ำเสียงเจือความละอายแก่ใจ “อืม เดี๋ยวอยู่กันสองคนข้าให้เอ็งดูหมดเลย” เพราะท่านลุงปกปราณเจ็บไข้ได้ป่วยสามวันดีสี่วันไข้ หลานสาวอย่างนางจึงรับหน้าที่ปรนนิบัติไม่ห่างกายคอยสอบถามหมอยาเรื่องตัวยาสมุนไพรบ่อยครั้ง นานเข้าจึงคุ้นเคยกับตัวยาแต่ละแขนงจนตระเตรียมตัวยาผสมผสานจนฝีมือฉกาจ แทบไม่จำเป็นต้องพึ่งหมอยาให้มาตรวจรักษาท่านลุงอีกเลย ช่วงเวลาที่หญิงสาวกำลังซักไซ้ไล่เรียงชายหนุ่มทำให้นางไม่ทันสังเกตชายหนุ่มเนื้อตัวมอมแมมอีกสองคนที่กำลังเสียอาการปนตื่นตกใจตระหนกตกใจกับการปรากฎตัวกะทันหันไร้ซึ่งคำอธิบายของนาง ผืนดินและเหนือมานตกใจจนมือไม้อ่อนแรง เบิกตากว้างอ้าปากค้างตื่นตะลึงในความงดงามหยาดเยิ้มประดุจเทพธิดาเหาะเหินลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ เสมือนมีรัศมีเปล่งประกายรายล้อมรอบตัวหญิงสาวปริศนาจนดวงตาของพวกเขาแทบมืดบอด “!!?!!” “......” “เชี่ย! โหงพรายมาหลอกล่อข้าลงน้ำหรือเปล่าวะ” ผืนดินเอ่ยเสียงเคลิบเคลิ้ม แววตาละห้อยจ้องมองหญิงสาวปริศนาเบื้องหน้าสหายรักอีกนิดเดียวน้ำลายก็จะไหลออกมาทางมุมปาก ทั้งที่คราวก่อนเขายังมีความคิดจะเผ่นหนีคนแรก หากมีโหงพรายปรากฎตัว… “อืม พาข้าไปตายเถิดข้ายอมแล้ว” เหนือมานพึมพำงึมผู้เดียว “ไร้สาระ! นางก็คือละอองนกยูงตัวน้อยของข้า” ใต้หล้าถูกความหึงหวงเข้าครอบงำจนหน้ามืดตามัว หัวคิ้วกระตุกไม่หยุดตั้งแต่เห็นอากัปกิริยาของสหายเหมือนโดนภูติพรายร่ายมนต์สะกดใส่ “พอเลย! เลิกมองนางได้แล้วไม่เห็นหรือไงว่านางกระอักกระอ่วนอึดอัดใจจะแย่” คำพูดนี้ไม่จริงเลยสักนิดพลับพลึงชื่นชอบที่เห็นบุรุษมองนางอย่างคลั่งไคล้จะตายไป ใบหน้างามหยาดเยิ้มจึงเผยรอยยิ้มหวานมุมปากแบบคนลืมตัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อยที่เห็นบุรุษจดจ้องมองนางเช่นนี้ ไยต้องตื่นตระหนก... “ยิ้มกระไร” ใต้หล้าปรายหางตามองหญิงสาว น้ำเสียงดุดันเคร่งเครียดเอ่ยถามนางพลางกระชากนางเข้ามาหลบใต้วงแขน “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ โทษข้าไม่ได้ ผิดที่ข้างามหรือ เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า กักขังข้าไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน!?” พลับพลึงแสร้งทำไขสือไร้เดียงสา “มันน่าจับหักคอนักกล้าโปรยเสน่ห์ใส่บุรุษอื่นต่อหน้าข้า” น้ำเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหนักเค้นคำพูดออกมา ราวกับต้องการจะบดบี้กระดูกนางให้กลายเป็นเศษเถ้าธุลีแหลกละเอียดคามือ “คนพาลหยาบคาย” พลับพลึงออกอาการแง่งอน ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของนางแต่กลับถูกยัดเยียดให้มีความผิด เห็นนางสนใจไยดีแล้วกล้าปืนขึ้นมาเล่นบนหัวนางงั้นรึ! ไม่อยากให้ใครมองก็ปิดตาพวกเขาสิ เกี่ยวอะไรกับนางด้วยมาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของนางอีก เชอะ! “เข้าไปในกระท่อมอยากดูบาดแผลข้าไม่ใช่รึ” ครั้นเห็นสีหน้าขุ่นข้องหมองใจของนาง เสียงดุดันก็พลันอ่อนโยนไม่รู้ตัว ท่อนแขนกำยำคล้องลำคอเล็กรั้งให้นางเดินตามมาติดๆ ปล่อยให้สหายโง่เง่าทั้งสองมัวแต่ยืนตะลึงตาค้างอยู่ตรงนั้น เพราะเห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากการล่าหมูป่ากลับมาให้นางหรอกนะถึงได้ยอมโอนอ่อนผ่อนผันให้... “อืม” “ไป! เดี๋ยวข้าจะเปิดให้ดูทุกซอกทุกมุม” “ไม่ดูมุมอับเด็ดขาด!” นางแย้ง “อ้าวเห้ย! ใต้หล้าเอ็งจะพาโหงพรายไปไหนอันตรายนะโว้ย พวกข้าจะช่วยแบ่งเบาคราวเคราะห์ของเอ็งเอง” ผืนดินร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวาย รีบสาวเท้าตามใต้หล้ามาติดๆ โดยไม่ลืมที่จะกระชากคอเหนือมานที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ติดสอยห้อยตามมาด้วย “โคตรสวยเลย...” เหนือมานยังไม่สติกลับมาเต็มร้อย ได้แต่มองเงาร่างอิ่มเอิบอย่างเคลิบเคลิ้มหลงใหล “ไสหัวกลับไป ข้าจะรักษาบาดเเผล ‘เจ็บหนัก’ มีกระไรค่อยคุยกันมื้อเย็น” ใต้หล้ารีบสาวเท้าเข้ามาในกระท่อม เขาจับยัดพลับพลึงเข้าไปซุกซ่อนด้านในจนมิดชิดก่อนจะปิดประตูลงกลอนขวางหมาบ้าน้ำลายยืดทั้งสอง ปัง! “ข้าอยากจะเขกหัวขี้เลื่อยของพวกมันนัก” เมื่อเข้ามาภายในกระท่อมชายหนุ่มหันหลังกลับมามองพลับพลึงแววตาดำทะมึนรังสีข่มขู่ดุจราชสีห์พร้อมกางเขี้ยวเล็บขย้ำเหยื่อตรงหน้า หญิงสาวหาได้เกรงกลัวเขาไม่ นางรีบปราดเข้ามาสำรวจบาดตามเรือนกายของเขาอย่างเร่งด่วนไม่ยอมต่อปากต่อคำให้เสียเวลา พอเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใย โทสะลุกโชนจนแทบจะแผดเผาไรผมบนหนังศรีษระก็พลันสลายหายไปง่ายดาย “ไหน…มีบาดแผลตรงไหนเปิดให้ข้าดูหน่อย” พลับพลึงรั้งชายหนุ่มมานั่งบนฟูก มือนุ่มนิ่มจับซ้ายจับขวา สำรวจแผงอกเปลือยเปล่าสีเข้มมองดูแล้วเจริญหูเจริญตาดีแท้ สายตาพึงอกพึงใจปกปิดไม่มิดทำให้เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สรุปนางจะมาดูบาดแผลหรือดูเนื้อตัวเขาเป็นอาหารตากันแน่... ใต้หล้ากระตุกยิ้มมุมปากยามเห็นนางทอดมองเขาด้วยสายตาระยิบระยับเจือความหลงใหล ก่อนรวบฝ่ามือซุกซุนทั้งสองข้างที่กำลังเผลอไผลลูบไล้ต้นแขนจรดแผงอกกำยำเคลื่อนไต่ลงสู่ที่ต่ำสอดเข้าไปข้างในกางเกงอันซุกซ่อนความเป็นชายร้อนระอุ แก่นกายตัวเขื่องเริ่มตื่นตัวผงาดอวดความยิ่งใหญ่ จนกระทั่งฝ่ามือนุ่มนิ่มสัมผัสลูบไล้แผ่วเบา เสียงครางต่ำพึมพำใกล้ใบหูเล็ก “มีตรงนี้ เจ็บจนแทบจะทนไม่ไหว” ริมฝีปากเฉียบขบเม้มหยอกเย้าติ่งหูเล็กจนขนอ่อนตามเนื้อตัวหญิงสาวลุกเกลียวทั่วทั้งตัว ทั่วสรรพางค์กายสั่นระริกยามแตะต้องสิ่งนั้นเหมือนแตะต้องเผือกร้อนของต้องห้ามจนนางอยากจะชักมือกลับ จนใจที่ถูกเขาฝืนรั้งให้สัมผัสลูบไล้ “อย่าเหลวไหล!” พลับพลึงขึงตาใส่เขาหนหนึ่ง ดวงหน้างามหยาดเยิ้มร้อนผ่าว ดวงตาใสกระจ่างหลุกหลิกลุกลน ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเป็นเส้นตรงข่มความกระสับกระส่ายยามประจันหน้ากับคนไร้ยางอายเช่นเขา “ตะวันยังไม่ตกดินท่านก็คิดแต่เรื่องอย่างว่าแล้ว หมกมุ่นไม่เข้าเรื่อง ข้าอุตส่าห์หลวมตัวเป็นห่วงกลัวว่าท่านจะช้ำในตายแต่ดูเถิดความเป็นห่วงของข้าช่างสูญเปล่า” หญิงสาวรำพึงรำพันถึงความอัดอั้นตันใจ แต่ดูเหมือนสิ่งที่นางระบายออกไป เขาจะจับใจความสำคัญได้เพียงว่ารอให้ตะวันตกดินเสียก่อนค่อยทำเรื่องที่เขาอยากทำใจจะขาดได้ “งั้นตะวันตกดินก็ทำได้น่ะสิ” แววตาคมเข้มแพรวพราวมองหญิงสาวเสมือนกระต่ายตัวน้อยขนสีขาวไร้หนทางสู้ที่เขาหมายตาเอาไว้ “ข้าว่าท่านมากกว่าที่หัวสมองขี้เลื่อย!” หญิงสาวถอนหายใจพรืด แม้จะรู้ดีว่าเขาเป็นคนหน้าหนาแต่นางก็ยังไม่คุ้นชินกับการกระทำหยาบโลนขัดกับนิสัยเคร่งขรึมเย็นชา หากไม่ติดว่าเขารูปโฉมหล่อเหลาพอให้อภัย นางคงตะกุยหน้าเขาสักสองสามที “ถ้าเป็นแผลตรงนี้ข้าช่วยไม่ได้ดอกคงต้องตัดทิ้งสถานเดียว หากปล่อยทิ้งไว้คงจะช้ำเลือดช้ำหนองเจ็บปวดทรมานไม่เบา ตัดทิ้งเถิดเจ้าคะ” พลับพลึงแสร้งพูดพร้อมสีหน้าจริงจังเคร่งเครียด นางจงใจพูดเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ทำให้ใต้หล้ารอยยิ้มแข็งค้าง หางตากระตุกรับรู้ถึงภยันอันตรายคลืบคลานเข้ามาเฉียดกล่องดวงใจตรงกลางหว่างขา หากตัดทิ้งเขาจะเสพสมความสุขกับนางอย่างไร! เลอะเลือน! นางช่างเลอะเลือนนัก! แม้ว่าเขาจะหน้าหนายามอยู่ต่อหน้านางสองต่อสองกลับไม่เคยคิดเลยว่านางจะกล้ามีความคิดอยากจะตัดทำลายกล่องดวงใจของเขาอย่างไม่ไยดี อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ทำให้นางครวญครางเจือสะอื้นอย่างสุขสมตลอดครึ่งค่อนคืน นอกจากจะไม่คิดใช้ประโยชน์จากมันแล้วยังคิดทำลายให้ย่อยยับป่นปี้! “เอ็งอาจหาญไม่น้อย” ใต้หล้าเค้นเสียงลอดไรฟัน ร่างกำยำล่ำสันตึงเครียดเพราะตอนนี้นางค่อนข้างอยู่ใกล้จุดยุทธศาสตร์ เกิดนางบ้าดีเดือดขึ้นมาแล้วลงไม้ลงมือขึ้นมาจะพาลซวยจนดวงกุดเอาได้ คิดได้ดังนั้นจึงงัดแผนหนุ่มงามขึ้นมาหลอกล่อหวังให้นางใจอ่อน ใช่ว่านางจะไม่หวั่นไหวกับเสน่ห์ของเขาเพียงแค่ความคิดของนางค่อนข้างโบราณคร่ำครึเกินไปหน่อย “ใจจืดใจดำเพียงนั้นเชียว ข้าอุตส่าห์ให้ข้าวให้น้ำตั้งแต่เป็นนกยูงตัวกระจ้อยร่อย พอแตกหน่อเป็นสาวงามกลับคิดจะทำร้ายผู้เลี้ยงดู” ใต้หล้าหลุบสายตาลงต่ำ สีหน้าซีดเซียวทำราวถูกคำพูดของนางกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ตัดพ้อเหมือนคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมมานานหลายปี หากเป็นแม่นางอื่นคงใจละลายรีบถามไถ่เอาใจให้เขาคลายความหม่นหมองเป็นแน่ “หากคิดจะแตะเนื้อต้องตัวข้าอีก ข้าจะบีบไข่ใบใหญ่ที่ท่านหวงแหนให้แตกคามือ ดีหรือไม่เจ้าคะ” พลับพลึงฉีกยิ้มหวานไม่ได้ตกหลุมพรางกับดักใจอ่อนที่เขาวางเอาไว้ ฝ่ามือนุ่มนิ่มประคองกล่องดวงใจของชายหนุ่มไว้แน่นในกำมือ พลางเคล้นคลึงหยอกล้อจนเขาเสียวสันหลังวาบ เหงื่อเย็นผุดพรายตามกรอบหน้าคมคร้าม ความปรารถนาคุกรุ่นเมื่อครู่ถูกสาดดับด้วยน้ำเย็นจนกล่องดวงใจห่อเหี่ยวไม่กล้าผงาดชูชันความยิ่งใหญ่ต่อหน้านางอีก ความหิวโหยหื่นกระหายถูกสยบเพียงคำพูดไม่กี่คำ รอยยิ้มหวานแสนร้ายกาจไม่กี่อึดใจ “นี่เอ็งดูตรงนี้สิ ข้าถูกเจ้าหมูป่าเขี้ยวตันพวกนั้นไล่ขวิดจนกระเด็นกระแทกเข้ากับต้นไม้จนต้นไม้หักไปหลายต้น” ใต้หล้ายิ้มแห้ง พยายามเปลี่ยนหัวข้อชวนคุยสลับกับดันฝ่ามือนุ่มนิ่มให้ถอยออกห่างจากกล่องดวงใจตรงกลางหว่างขา แต่ขึ้นหลังเสือแล้วจะลงจากหลังเสือย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย “ไหนเจ้าคะ” ดวงตาใสกระจ่างมองตามฝ่ามือหนาที่พยายามชี้จุดบาดเจ็บบริเวณสีข้างสีเข้ม อาจจะเป็นเพราะพึ่งได้รับบาดเจ็บมาหมาดๆ ผิวเนื้อบริเวณนั้นจึงออกสีแดงเรื่อเล็กน้อยเกรงว่าวันพรุ่งนี้หากไม่ได้รับการดูแลถูกจุดคงบวมช้ำจนแทบขยับตัวไม่ได้ “ตรงนี้” ชายหนุ่มพยายามรักษาท่าทีนิ่งสงบภายใต้แรงกดดันอันแรงกล้าจากช่วงล่างใต้หว่างขา อาศัยอาการบาดเจ็บหันเหดึงดูดความสนใจของนาง “เห็นไหมมันแดง พรุ่งนี้คงช้ำน่าดู” เขากล่าว อันที่จริงพื้นเพนิสัยใจคอของใต้หล้าไม่ได้เงียบขรึมเย็นชาอย่างที่ทุกคนคิด เพียงแค่บางครั้งเขาอาจจะไม่ได้มีเรื่องให้อยากพูดมากมายหรือเป็นเพราะคนรอบตัวไม่มีความสามารถมากพอให้เขาอยากจะพล่ามพรรณนาให้มากความ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลับพลึงนางกลายเป็นพื้นที่เขตหวงห้ามของเขาในระยะเวลาไม่นาน กลายเป็นคนที่เขาสบายใจจนสามารถพูดคุยเรื่องไร้สาระได้ ส่วนสหายทั้งสองเป็นเพราะสองคนนั้นพูดจนน้ำไหลไฟดับก็ยังไม่ยอมหยุด นานวันเข้ากลายเป็นว่าพอเขาฟังจนเหนื่อยก็คร้านที่จะพูดเท่านั้นเอง “อืม เดี๋ยวเย็นนี้ข้าจะไปดูตัวยาที่สหายท่านเสียหน่อยไม่รู้ว่าเขาจะพอมีหรือไม่ หากมีก็ดีถ้าไม่มีข้าจะเข้าป่าไปเก็บสมุนไพรนะเจ้าคะ” เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าจะต้องใช้ตัวยาอะไรตำรับไหน ทว่าเห็นเขาเจ็บตัวเพราะบุกป่าฝ่าดงไปหาของกินที่นางอยากจะกินก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ กระนั้นบุญคุณความแค้นต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน “เรื่องแค่นี้ไม่ต้องลำบากหรอก เอ็งคงไม่รู้ว่าข้าถึกหนังหนาเรี่ยวแรงก็เหมือนวัวควาย” ใต้หล้าตอบปัดทั้งที่ในใจอุ่นวาบตื้นตันและซาบซึ้ง นานเท่าใดแล้วหนอที่เขาไม่ได้รับความเป็นห่วงเป็นใย ห่วงหาอาทรเช่นนี้ นานเสียจนเขาเกือบจะลืมความรู้สึกเหล่านั้นไปเสียสิ้นพอได้รับโอกาสก็ทำให้เขาเกือบจะทำตัวไม่ถูก “คนบื้อ” พลับพลึงพึมพำ “อืม ข้าเป็นคนบื้อของเอ็ง ปล่อยข้าไปได้แล้วมั้ง ประเดี๋ยวข้าต้องไปทำหมูย่างกรอบๆ เกรียมๆ ให้เอ็งอีก” พลับพลึงแสร้งไม่รู้ความยังคงกุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเขาไว้มั่น บางจังหวะบางช่วงบางตอนก็กลั่นแกล้งบีบเคล้นขยำให้เขารู้สึกหวาดผวาจนหน้าซีดเซียวเหมือนสีกระดาษ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD