5
ร่างกำยำล่ำสันน่ากริ่งเกรงที่เคยนอนแน่นิ่งหลับเป็นตาย ขยับเปิดเปลือกตาหนาไล่มองตามร่างเล็กโฉบบินหายหลุบเข้าไปในพงไพร ด้วยแววตาซับซ้อนลึกลับที่เคยเก็บงำประกายความสงสัยในคราก่อนได้อย่างแนบเนียน ความเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวันที่เขาแสร้งแสดงออกหลอกล่อให้สัตว์เลี้ยงแสนรู้ตายใจ เสียงหวานหยาดเยิ้มสุดแสนยั่วยวนชวนให้ดวงใจคันยุบยิบที่เขาเคยได้ยินในเล้าเป็ดยังคงตราตรึงไม่เสื่อมคลาย
เพื่อคลายข้อกังขาจึงได้แสร้งออกอุบายทำทีเหนื่อยล้านอนหลับลึกตบตาเจ้ามากเล่ห์ เขาทั้งขันทั้งฉุนนางยามนางใช้เท้าเล็กลีบกระทืบริมฝีปากเขา จนกระทั่งสุ้มเสียงคุ้นหูนั้นเล็ดลอดผ่านใบหูเขาเมื่อครู่ความสับสนมึนงงทั้งหลายแหล่ถูกโยนทิ้งไปพร้อมกับข้อสงสัยมากมายที่ว่าเขาอาจจะผิดปกติถึงขั้นเกิดความรู้สึกไม่ควรกับสัตว์เลี้ยงของตนเอง
ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าเขาไม่ได้ผิดปกติ!
แต่สิ่งที่ผิดปกติก็คือนกยูงตัวน้อยที่เขาคอยเฝ้าประคบประหงมดูแลเป็นอย่างดีตัวนั้น!
เป็นนาง และนางย่อมไม่ใช่นกยูงธรรมดา...
หน็อย…แม่นกยูงตัวดี!
“ปั่นหัวข้าจนหมุนเป็นลูกข่างเลยหนาละออง หากข้าไม่นึกเอะใจก็คงโดนเอ็งประจบตบตาจนบื้อใบ้” น้ำเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยอย่างนึกเคืองขุ่น
ใต้หล้าสะบัดผ้าห่มผืนบางออกพร้อมยันกายลุกขึ้นมาจากเตียงนอน ใบหน้าคมคร้ามปราศจากรอยยิ้มนิ่มนวลอบอุ่นหลงเหลือเพียงเศษซากแห่งความโมโหโทโส ขายาวสาวเท้ามุ่งหน้าสู่ถนนลูกรังกลางพงไพรติดตามหานกยูงตัวน้อยจอมปลิ้นปล้อนมากเล่ห์ตัวนั้น เหมือนสามีออกไปตามหาภรรยาสาวลักลอบคบชู้ในยามดึกดื่นค่ำคืน
“ถ้าข้าเจอตัวข้าจะจับเอ็งมาแล่เนื้อเฉือนหนังตุนเป็นเสบียงหน้าหนาวเลยคอยดู!” ใต้หล้าสบถ
ฝีเท้าเหยียบย่ำไปตามเส้นทางเลี้ยวลดคดเคี้ยวนำพาดวงใจเต้นระส่ำกระสับกระส่ายออกตามหานางผู้เป็นดั่งคนแปลกหน้าและคนที่คุ้นเคย ชายหนุ่มระมัดระวังฝีเท้าไม่ให้ส่งเสียงดังเล็ดลอดส่งสัญญาณให้ใครบางคนรู้ตัว ยิ่งเข้าใกล้บ่อน้ำพุร้อนมากเท่าใดใบหน้าคมเข้มพลันแข็งทื่อตึงเครียดจนกรามแกร่งขบแน่นเผยเส้นเลือดปูด
“ฮืม...ฮือ”
เสียงหวานดุจดั่งหยาดละอองน้ำหวานในช่อเกสรกลางมวลหมู่บุปผาหอมจรุงเอื้อนเอ่ยเสียงเพลงเคล้อคลอบรรยากาศ เสียงเย้ายวนเปี่ยมเสน่ห์เชื้อเชิญให้ผู้ได้ยินลุ่มหลงมัวเมาประหนึ่งพรายสาวโปรยมนต์สะกด
เสียงมนต์สะกดใจนั้นทำให้ชายหนุ่มถึงกับตะลึงตาค้างรีบสาวเท้ามุ่งหน้าสู่บ่อน้ำพุร้อนเพื่อยลโฉมใบหน้าที่แท้จริงของนกยูงตัวน้อย
“!!?!!”
ภาพกระชากวิญญาณวิจิตรตระการตาเบื้องหน้าเล่นเอาดวงตาคมคายพร่างพราว กลบกลืนทุกความหมายมั่นมุ่งหน้ามาจับผิด ลมหายใจอุ่นร้อนแทบสะดุดแปรเปลี่ยนเป็นลมหายใจหอบถี่ ความโกรธเกรี้ยวพลันสลายหายไปในอากาศ ยามดวงตาเฉียบคมเห็นร่างเทพธิดาเปลือยเปล่าผิวผ่องขาวกระจ่างใสตกกระทบแสงจันทราขับให้นางดูเจิดจรัสรัศมี จนเขาเผลอเลียริมฝีปากแห้งผากดับความร้อนรุ่มในเรือนกายอย่างยากลำบาก
หญิงสาวสะคราญโฉมนอนอิงโขดหินหลับตาพริ้มในท่วงท่าสุดแสนเกียจคร้าน ละอองน้ำใสบริสุทธิ์เกาะกระจายตามเรือนร่างเย้ายวน ทรวงอกอวบอิ่มกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจเข้าออกเผยยอดถันสีชมพูนวลที่ยากต่อการปกปิด
ปล่อยให้หยาดวารีชำระล้างและปลอบประโลมเรือนกายสะโอดสะอง ริมฝีปากอิ่มเอิบสีแดงดุจชาดคลี่รอยยิ้มหวานประดับมุมปาก ช่างเป็นรอยยิ้มที่งดงามละมุนละไมจนเขายากหักห้ามใจ
วินาทีนี้หากจะบอกกล่าวว่านางเป็นพรายสาวล่อลวงบุรุษเขาก็ยินยอมพลีกายถวายชีวิตให้นาง เพื่อแลกรอยยิ้มหวานละมุนละไมแก่เขาเพียงผู้เดียว
“......”
ใต้หล้าเหมือนโดนมนต์สะกดให้ถลำลึกเข้าสู่วังวนแห่งความปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุด สายตาคมคายเหม่อมองเรือนร่างเย้ายวนอิ่มเอิบเปี่ยมเสน่ห์ล่อลวงดุจดอกโบตั๋น เขาอยากจะดอมดมกรุ่นกลิ่นหอมบุปผาช่อนี้จนใจสะท้าน อยากจะคว้านางเข้ามาแนบอก ฝากฝังความเป็นชายสู่เนื้อนุ่มแล้วกระแทกกระทั้นรุนแรง อยากได้ยินเสียงครวญครางอ้อนวอนร้องขอของนางยามอยู่ใต้ร่าง
เขามีความปรารถนาต่อนางอย่างแรงกล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต ฝีเท้าเดินย่างก้าวมุ่งหน้าสู่บ่อน้ำพุร้อนลดการระมัดระวังตัวจนเผลอเหยียบเศษกิ่งไม้แห้งส่งเสียงดังกรอบ
“ใครแอบอยู่ตรงนั้น!” ร่างหยาดเยิ้มเย้ายวนสะดุ้งโหยงเหยียดแผ่นหลังตรง เสียงหวานตวาด
ร่างอิ่มเอิบขาวกระจ่างใสไร้ราคีตื่นตระหนกตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมโตเบิกกว้างสอดส่องมองหาผู้บุกรุกพร้อมอากัปกิริยาระแวดระวัง ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเป็นเส้นตรงจนห้อเลือด สองแขนเรียวเล็กกอดอกปกปิดทรวงอกอวบอิ่มเกินตัวที่ทำได้เพียงบดบังไว้หมิ่นเหม่ ชายหนุ่มรู้สึกขัดเคืองใจเล็กน้อยที่นางทำลายภาพวิจิตรตระการตางดงามเบื้องหน้า
“ข้าเอง...” น้ำเสียงแหบพร่าผิดปกติเอื้อนเอ่ย ร่างสูงใหญ่ผละออกมาจากเงาไม้ใหญ่
ดวงตาเฉียบคมลึกลับแฝงกลิ่นอายร้ายกาจจดจ้องร่างอิ่มเอิบไม่ละสายตาจนหญิงสาวหนังศรีษระชาวาบ รู้สึกถึงภัยคุกคามจากสายตาร้อนแรงที่พร้อมแผดเผานางให้ย่อยสลายกลายเป็นผุยผง
พลับพลึงเบี่ยงกายหันข้างหนีสายตาที่มองมาราวกับจะมองทะลุเรือนกายนาง ก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักชายหนุ่มหน้าหนาผู้นี้
“เอ็งเป็นใคร!”
“ถอยออกไป ไม่เห็นหรือว่าข้าไร้อาภรณ์ปกปิดเรือนร่างยังจะทำหน้าหนามองข้าอยู่ได้! เอ็งเป็นพวกชีกอชอบลอบมองแม่หญิงอาบน้ำหรือไร!” พลับพลึงถลึงดวงตาใสกระจ่างใส่ชายหนุ่มที่มัวแต่ยืนขาแข็ง ข่มน้ำเสียงไม่ให้สั่นเคลือจนเขาจับสังเกตได้ว่านางขวยเขิน
พวงแก้มอิ่มเอิบยามโกรธเคืองแดงเรื่อเหมือนมะเขือเทศสุกงอม น่าลูบไล้ไกล่เกลี่ยยิ่งนัก...
“ของงามล้ำค่าหายากกลางพงไพรผู้ใดเห็นก็อยากเชยชมเป็นธรรมดา” ใต้หล้าผละสายตาจากพวงแก้มน่างับของนางพลางขานตอบไม่แยแส เขารับบทบุรุษหน้าหนาอย่างเต็มใจ หากเขาหน้าหนาแล้วได้ใกล้ชิดสนิทสนมนางเขาก็ยินดี
“แน่ใจหรือว่าไม่รู้จักข้า ข้าให้พูดอีกที” แววตาดุดันคุกคามเลิกคิ้วมองหญิงสาว
ว่าแล้วร่างหนาจึงถือวิสาสะเยื้องย่างขยับเข้าใกล้ร่างอิ่มเอิบผู้ซุกซ่อนความงามนวลละออใต้ผืนวารี กลิ่นกายสตรีสาวแรกแย้มหอมกรุ่นแตะปลายจมูกโด่งสันยากแยกแยะปลุกสัญชาตญาณดิบเถื่อนให้พลุ่งพล่าน
สายตาปรารถนาจับจ้องพลับพลึงราวกับต้องการจะกลืนกินนางดับความหิวกระหาย โดยไม่รีรอให้นางเผ่นหนี มือหยาบกร้านกระตุกคว้าร่างอิ่มเอิบเปลือยเปล่านุ่มนิ่มทั่วเรือนร่างเข้ามาตระกองกอดในอ้อมแขน ท่ามกลางการดิ้นรนหลีกหนีอย่างเอาเป็นเอาตายของหญิงสาว
“กำเริบเสิบสาน!” พลับพลึงโวยวาย
ริมฝีปากหนาเฉียดพวงแก้มอิ่มแดงเรื่ออย่างจงใจ ความนิ่มลื่นกลมป่องทำให้เขาอยากจะอ้าปากงับเนื้อนิ่มเต็มปากเต็มค่ำ ฝ่ามือเล็กเกลี้ยงเกลารีบหยิบยกยันศรีษระหนาของผู้รุกรานให้ออกห่างจนเขาหน้ายับยู่ยี่
กระนั้นวงแขนแกร่งพยายามกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นจนทรวงอกอวบอิ่มล้นมือถูไถแผงอกกว้างจนนางจำยอมต้องหยุดนิ่งเพื่อไม่ให้ตนเองถูกเขาลวนลามไปมากกว่านี้
ถึงแม้ว่านางจะเคยลวนลามเขามาก่อน แต่สาบานได้ว่านางไม่เคยหยาบโลนเช่นนี้ เขาต้องการเอาคืนหรือ?!
“ไสหัวไป!” พลับพลึงขึงตาโตท่าทางดุร้าย หญิงสาวโกรธความใจกล้าหน้าหนาของชายผู้นี้จนร่างสั่นเทิ้ม
“เอ็งมันน่ารังเกียจที่สุด ข้าชิงชังเอ็งนัก!” ริมฝีปากอิ่มแดงสดขมุบขมิบพึมพำด่าทอชายหนุ่มที่ทำทองไม่รู้ร้อน คลอเคลียสูดดมกลิ่นหอมจากเรือนกายนาง
“อืม ข้ายอมรับ” ใต้หล้ากระตุกยิ้มมุมปาก ยอมรับความร้ายกาจของตนเองแบบตรงไปตรงมา นิ้วหยาบเกลี่ยไรผมเปียกชื้นทัดใบหูเล็กที่กำลังแดงเรื่อจากการโมโห และนิสัยปากว่ามือถึงเช่นนี้ถือเป็นการยั่วยุแม่นกยูงตัวน้อยได้เป็นอย่างดี
“แล้วจะให้ข้าไปที่ใดที่นี่ถิ่นข้า” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเอ่ยถามเสียงแหบพร่า ดวงตาดำหมึกเข้มทอแสงประกายวาบราวกับว่าเขากำลังตื่นเต้นจากการไล่ต้อนเหยื่อตัวน้อยไร้หนทางสู้
“ข้าไม่อยากลงมือลงไม้กับเอ็ง มาทางไหนรีบไสหัวกลับไปทางนั้นอีกอย่างข้าไม่มีผ้าผ่อนติดกายสักผืนไม่ถ่างตาดูหน่อยเล่า!”
ดวงตาใสกระจ่างปรายหางตามองชายหนุ่มมือไม้ปลาหมึกผู้นี้ น้ำเสียงเย้ยหยันเอื้อนเอ่ยไม่บดบังความรังเกียจเดียดฉันท์ในสุ้มเสียงแม้แต่น้อย
“ข้าพร้อมรับผิดชอบ เอ็งตกมาอยู่ในกำมือข้า ข้าย่อมต้องรับผิดชอบดูแลเอ็งให้สุขสบายไปชั่วชีวิต” ชายหนุ่มตกปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ
ทำตัวประหนึ่งว่าเขาเป็นบุรุษขี่ม้าขาวยื่นมือช่วยเหลือสตรีที่กำลังตกอยู่ในสภาวะคับขัน ซึ่งสภาวะคับขันที่ว่าก็มีสาเหตุมาจากตัวเขาเอง นางทำให้เขาสับสนวุ่นวายจนเข้าใจผิดคิดว่าตนเองใช้ชีวิตอยู่กลางป่ากลางเขาจนสติฟั่นเฟือน ดังนั้นก็ควรเป็นนางที่จะต้องรับผิดชอบไม่ใช่หรือ
รับผิดชอบโดยการมาเป็นเมียเขาแต่โดยดี!
“ข้าชอบแม่หญิงพยศเหมือนม้าป่า ข้าจะได้ควบขี่มันมือหน่อย แรงเท่านี้ไม่เท่าให้ข้าสะเทือนถึงจิตวิญญาณหรอก อยากจะฟาดเท่าไหร่ก็ฟาดลงมาเลยข้าไม่ถือสา” ใต้หล้าท้าทาย มิหนำซ้ำยังเปล่งวาจาคลุมเคลือชวนให้ผู้ฟังคิดเตลิดไปไกล
“แต่ข้าถือ! ชายหญิงไม่ควรอยู่ใกล้ชิดโดยเฉพาะตอนนี้ ตอนที่ข้าเปลือยเปล่า! ปล่อยมือ!” พลับพลึงหน้าหม่นหมอง ประเดี๋ยวเขียวคล้ำประเดี๋ยวแดงเรื่อสลับไปมา
“ข้าไม่ปล่อย ข้าหนาว” เขาโกหกหน้าตาย ทั้งที่แนบชิดจนสัมผัสได้ถึงเนื้อแกร่งแน่นร้อนระอุทั่วร่างไม่ต่างอะไรจากกองไฟลุกโชนจนแผ่กระจายไอร้อนขับความหนาวเหน็บให้นาง
ครั้นเห็นว่านิสัยดุร้ายนอกจากจะไม่สามารถเป็นเกราะป้องกันนางจากบุรุษสัปดนดิบเถื่อนผู้นี้ ยังจะนำพาเภทภัยหายนะมาสู่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มนทิน หญิงสาวจึงอ่อนข้อใช้วิธีการแสร้งเป็นคนแปลกหน้าให้เขาบังเกิดความรู้สึกละอายแก่ใจจนยินยอมปลดปล่อยนางสู่อิสระ
“อะ...เอ็งคือผู้ใด ข้ากับเอ็งไม่รู้จักกัน อยู่ๆ จะมาควบขี่ข้าเหมือนม้าป่าได้อย่างไร ปล่อยข้าไปเถิดเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสดุจระฆังแก้ววิงวอนร้องขอ ทว่าใบหน้างามสะคราญหยาดเยิ้มเชิ่ดใบหน้าขึ้นท่าทางเย่อหยิ่งจองหองพองขนช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน เหมือนนกยูงน้อยตนนั้นที่แสดงอาการกระฟัดกระเฟียดยามถูกเขาขัดใจ
“อย่ามาแกล้งไขสือทำตาใสไร้เดียงสา ข้าก็คนที่เอาอาหารป้อนเอ็ง ทำเล้าให้เอ็งอยู่ มอบอาหารตาให้เอ็งจดจ้องจนดวงตาแทบถล่น ทั้งยังมอบแผงอกให้เอ็งซุกไซร้คลอเคลียยามค่ำคืนอย่างไรเล่า”
“ไม่รู้จักบุญคุณยังริอ่านเนรคุณนายอย่างข้า”
ใครเล่าจะรู้ว่าบุรุษหน้าตายผู้มีใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาไม่ต่างอะไรจากพญายมเบื่อโลกกว้างจะเอ่ยปากลำเลิกบุญคุณได้ตรงไปตรงมาจนพลับพลึงแทบจะสำลักน้ำลายตนเองรอมร่อ
“ข้าไม่ได้เป็นทาสเอ็งเสียหน่อย”
“อีกข้าไม่ได้ชื่อละอองโง่งมอะไรนั่นของเอ็ง เอ็งมันตัวบัดซบที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา! ไสหัวไปให้พ้น!” พลับพลึงเบะปาก พยายามหลบหลีกริมฝีปากเฉียบที่กำลังฉกฉวยคลอเคลียลำคอขาวผ่องเป็นยองใย กำปั้นเล็กระดมทุบบ่าแกร่งพัลวันหมายมั่นจะทุบเขาให้แหลกลาญคามือเป็นแน่แท้
นางไม่เคยพบเจอผู้ใดไร้ยางอายเท่าเขามาก่อน!
“ข้าไม่ได้พูดชื่อละอองออกมาสักคำ เอ็งรู้ได้อย่างไร” ใต้หล้าเลิกคิ้วไล่ต้อนหญิงสาวในอ้อมกอด
“ข้าหนาวอยากสวมใส่ผ้าผ่อน” พลับพลึงผ่อนลมหายใจสั้นบ้างยาวบ้างอย่างขัดใจ ใครใช้ให้บุรุษผู้นี้มีเรี่ยวแรงพละกำลังมหาศาลปานวัวควาย ครั้นจะใช้มนต์ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บก็ยังไม่ฟื้นฟูกำลังวังชา หากฝืนใช้ตอนนี้เกรงว่าภายหลังหากนางหลบหนีคงถูกเจ้ายักษ์ตนนี้ไล่กวดทัน
“ข้ากอดเอ็งคลายหนาวอยู่นี่ไงเล่ายังไม่สำนึกบุญคุณอีก ข้าก็ต้องเสียสละเหมือนกันนะ”
“ไม่คิดว่าข้าจะอับอายจนอยากจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนีบ้างหรือ ให้ทำยังไงเอ็งถึงจะยอมปล่อยข้าแล้วเลิกลวนลามข้าเสียที” หญิงสาวเอ่ยเสียงเย็นเยียบ บ่งบอกว่าความโกรธเคืองที่นางได้รับเกินขีดความอดทนของนางเป็นที่เรียบร้อย หากเขาล้ำเส้นไปมากกว่านี้นางจะอาละวาดให้บ้านแตกสาแหรกขาดกันไปข้าง
“ข้าลวนลามเอ็งอยู่หรือ ไยข้าไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย ข้ายังปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เอ็งลวนลามมาตั้งหลายวัน ข้ายังไม่ถือสาหาความเอ็งเลยสักนิด เอ็งช่างใจคอคับแคบยิ่งนัก” ชายหนุ่มตีหน้าซื่อทำงุนงง ไม่ยอมรับข้อกล่าวหาที่นางเอื้อนเอ่ย ใบหน้าคมคร้ามก้มต่ำขบเม้มติ่งหูเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักใคร่อย่างอดใจไม่ไหว ท่าทางสนิทชิดใกล้ระหว่างชายหญิงเป็นครั้งแรกทำให้พลับพลึงขนลุกเกลียวทั่วทั้งเรือนร่าง
“ละอองของข้าช่างน่าหลงใหลยิ่งนักรู้ตัวบ้างหรือไม่ นุ่มนิ่มเต่งตึงไปทุกสัดส่วนจนข้าอยากจะออกแรงควบขี่” ใต้หล้ากระเซ้าเย้าแหย่ รั้งร่างอิ่มเอิบแนบชิดแผงอก ยามยอดถันชูชันเสียดสีแผงอกแกร่งทำให้เลือดลมบุรุษวัยกลัดมันเดือดพล่านจนอยากจะจับนางกดลงกับพื้นแล้วควบขี่ตามใจปรารถนาให้รู้แล้วรู้รอด
“หึ ข้าอัปลักษณ์จะตายไปคงไม่ใช่ว่าเอ็งขาดแม่หญิงมานานแล้วหน้ามืดตามัวหรอกนะ”
“งั้นเอ็งก็มาเป็นแม่หญิงเคียงกายข้าเป็นไง”
“......”
หากเป็นยามปกติหญิงสาวคงหน้าบานเป็นจานกระด้ง แต่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้คำพูดเลื่อนลอยคล้ายตกอยู่ในภวังค์ทำให้นางถึงกับหนังตากระตุก อยากจะสับเปลี่ยนใบหน้าเป็นยายเฒ่าวัยแปดสิบ ดูสิว่าตอนนั้นบุรุษผู้นี้ยังจะทำท่าทีลุ่มหลงมัวเมาจนโงหัวไม่ขึ้นเฉกเช่นนี้อยู่หรือเปล่า คิดแล้วมันน่าโมโหนักนางไร้เรี่ยวแรงกระทั่งจะเรียกมนต์คาถาก็มิอาจกระทำได้ตามใจชอบ
ลิ้นหนาไล่เลียใบหูเล็กจรดลำคอขาวผ่องหอมกรุ่นพลางขบเม้มจนออกสีสร้างร่องรอยตราประทับแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างหวงแหนรักใคร่ นับตั้งแต่นางร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าแล้วเขาเป็นผู้นำพานางกลับมา เขาก็ถือว่านางเป็นคนของเขาเรียบร้อยแล้ว แม้ว่านางจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
ฝ่ามือหนาเคลื่อนสัมผัสแผ่นหลังนวลเนียนแผ่วเบา ลมหายใจอุ่นร้อนกระชั้นถี่ น้ำเสียงหอบต่ำเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากเฉียบราวกับต้องการสะกดกลั้นความปรารถนาอันป่าเถื่อนรุนแรง
“ละอองให้ข้าจูบหนึ่งทีเป็นไง” น้ำเสียงวิงวอนกึ่งร้องขอกระซิบข้างใบหูเล็กจนนางคันยุบยิบ
“เห็นหน้าซื่อๆ โง่ๆ ไม่คิดว่าภายใต้หน้ากากไร้พิษสงจะหยาบช้าเพียงนี้ ถึงกับกล้าคิดไม่ซื่อกับสัตว์เลี้ยงของตนเอง อดอยากปากแห้งมากหรือไง” หญิงสาวงัดข้ออ้างเรื่องตนเองเป็นสัตว์เลี้ยงของเขาออกมา ยอมกระทั่งทำลายเกียรติอันสูงส่งของนางจนย่อยยับป่นปี้เพื่อหวังให้เขาฉุกคิดว่าแท้จริงแล้วนางก็เป็นเพียงนกยูงตัวน้อยตนนั้น
“อืม ข้าคิดไม่ซื่อกับเอ็ง อยากจับเอ็งทำเมีย” เขายอมรับอย่างสัตย์จริง
“!!?!!”
“ระ...ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!” หญิงสาวลุกลี้ลุกลน นอกจากเขาจะไม่สามารถฉุกคิดถึงจิตสำนึกด้านดี นางยังเปิดโอกาสให้เขากล่าวความในใจออกมาอีก ซวย! ซวยแน่!
“อืม ข้าไร้ยางอายฉะนั้นให้ข้าได้หรือไม่” เสียงแหบพร่าลุ่มลึกกระซิบข้างหูนาง ราวกับต้องการทอดสะพานให้นางถลำลึกมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับเขา
“ไม่ได้! นี่จูบแรกของข้า ข้าจะเก็บเอาไว้ออกเรือน”
“ยังคิดเพ้อฝันว่าจะได้ออกเรือนกับใครอื่นอีก ละอองของข้าช่างไร้เดียงสา” ชายหนุ่มชะงัก แววตาล้ำลึกฉายความไม่พึงพอใจพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ฝ่ามือหนาสอดประสานท้ายทอยเล็กรั้งใบหน้าชิดใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
“ไม่ใช่ ไม่ใช่จูบแรก ข้าจูบมาหลายคนแล้ว ช่ำชองเป็นอย่างยิ่ง ข้าไม่อยากทำให้ปากของเอ็งมีราคีหม่นหมองต่างหาก ข้าจริงใจนะ” หญิงสาวรีบกลับคำ
“ข้าไม่ถือ” เขาพูดพร้อมท่าทีไม่แยแส
“อุ้บ!”