2
ผืนนภากว้างใหญ่ไพศาลเคยมีความสว่างพร่างพราวสาดแสงกระจายทั่วพสุธาแดนล่าง ก่อกำเนิดวิถีชีวิตของสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิตตลอดจนพงไพรพนาเขียวขจี ความอบอุ่นเร้าร้อนถูกละอองน้ำค้างคลี่คลายจนหนาวเหน็บ แม่คะนิ้งแข็งตัวปกคลุมปลายยอดหญ้าแผ่ไอเย็นยะเยือกจนหนาวเสียดกระดูก
บัดนี้ดวงอาทิตย์อับแสงลาลับสุดขอบฟากฟ้าหมู่มวลดาราและจันทราทดแทนที่ บรรยากาศเงียบสงบจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของชายหนุ่มช่างชวนให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างชัดแจ้ง
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำใช้ท่อนแขนอิงพนักขอบเรือนเล้าหลังน้อย เขาปวดเศียรเวียนเกล้ากับอาการกำแหงเอาแต่ใจของแม่นกยูงตัวน้อยจนแทบจะอยากวิ่งพรวดเอาศรีษระโขกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ นอกจากสายตาระแวดระวังภัย เขายังจับความรู้สึกไม่พึงพอใจที่ลอบเหลือบมองมาเป็นระยะ
“ข้าทำกระไรให้เอ็งไม่พอใจหรือ ยังเจ็บเเค้นเคืองโกรธที่ข้ายิงเอ็งร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า?”
“ถึงจะโกรธแต่ก็ควรกินข้าวหน่อยไม่ใช่หรอจะประท้วงอดอาหารทำร้ายร่างกายตนเองไปไย เจ้าช่างโง่งม” ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าวสัตว์เลี้ยงตัวแรกของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“......”
“นกยูงตัวน้อย...”
‘อย่ามาใช้น้ำเสียงหว่านเสน่ห์ของบุรุษล่อลวงใจหญิงสาวกับข้า ไม่ได้ผลดอก จะไปๆ มาๆ หลายรอบให้เกะกะขวางหูขวางตาข้าทำไมก็ไม่รู้’ พลับพลึงบ่นพึมพำในใจ
‘ข้าจะกินไม่กินมันก็ท้องข้า! อย่ามาตอแย!’
นางอยากจะหลับตาใช้ความสงบคิดหาแผนการหนทางหนีเอาตัวรอดกลับเกาะพานเร้น แต่บุรุษผู้นี้กลับมาพร่ำพรรณเรื่องไร้สาระกลอกหูนางไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที
จนสมองอันชาญฉลาดถูกเขารบกวน ไม่สามารถเกิดความคิดอันบรรเจิดเอาตัวรอดได้เสียที เหม็นขี้หน้านัก เมินเฉยก็แล้ว เย็นชาก็แล้ว กำเริบเสิบสานก็ทำไปแล้ว แต่ยังมิวายเดินมาตอแยนางอยู่ได้!
“ถ้าเอ็งไม่ชอบข้าวสารเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะเปลี่ยนเป็นรำข้าวให้ก็แล้วกัน กินเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ ข้าอยากเห็นเอ็งรำแพนแผ่ขนหางเดินไปเดินมากลางลานบ้าน” ใบหน้าหล่อเหลาคมคร้ามเผยรอยยิ้มคาดหวังบนใบหน้า
“คงจะงดงามสะกดตาน่าดู”
จบประโยควาจายั่วยุนั้นนกยูงสีสันฉูดฉาดเปล่งประกายสะท้อนแสงระยิบระยับสยายปีกหมุนตัวกลับหันหลังมาประจันหน้าชายหนุ่ม แววตาวาวโรจน์กระหายเลือดกระหายเนื้ออยากฉีกทึ่งบุรุษผู้นี้ให้แหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ ให้สาสมกับความคับแค้นใจยามถูกเขาหยามเหยียดจนหนังตากระตุก
มันชักจะเกินไปแล้วนะ!
กล้ามีความคิดจะเลี้ยงดูข้าเป็นสัตว์เลี้ยง!
“!!?!!”
‘รำข้าวมันไว้ใช้เลี้ยงหมูไม่ใช่รึ! เจ้าโง่นี่คิดจะเอารำข้าวมาเลี้ยงข้างั้นหรือ! กรี๊ดดดด!’
‘รำแพนบ้านเอ็งน่ะสิ ข้าไม่ใช่นกยูงตัวผู้เสียหน่อยจะรำเเพนเกี้ยวพาราสีได้อย่างไร สวรรค์ฆ่าข้าเถิดเจ้าคะ...อย่าส่งบุรุษโง่เขลาผู้นี้มาอยู่ต่อหน้าข้าเลย’ หญิงสาวน้ำตาตกใน โอดครวญถึงความไม่เป็นธรรมที่ตนได้รับ
อาการกระฟัดกระเฟียดเย่อหยิ่งจองหองพองขนค่อยๆ สงบลงแปรเปลี่ยนเป็นเงียบเหงาเศร้าซึมจนใครบางคนจับสังเกตอาการได้ ทว่าเขาคงไม่รู้ว่าอาการเศร้าซึมมาจากเขาต่างหากถึงทำให้นางรำพึงรำพันต่อโชคชะตาที่โหดร้ายต่อนางมากโข
ไม่รู้ว่าเหตุผลอันใดยามเห็นนกยูงตัวน้อยแสดงอาการก้าวร้าวดื้อรั้นยังทำให้เขาโล่งใจมากกว่าเห็นมันสงบเสงี่ยมนิ่งสงบแฝงความโศกเศร้า นัยน์ตาคลอเอ่อด้วยหยาดน้ำประกายแวววาวดุจไข่มุกเยี่ยงนี้
“ทำไมถึงคอตกไม่ใช่ว่าเอ็งป่วยหรอกหรือ! ข้าไม่มีความรู้เรื่องหยูกยาหนา” น้ำเสียงกระวนกระวายร้อนลนโพล่งปากถาม
ใต้หล้าเปิดบานประตูสอดท่อนแขนกำยำเข้าไปคว้านกยูงร่างเล็กมาประคองไว้บนฝ่ามือหยาบกร้าน สายตาสอดส่องสำรวจหาอาการบาดเจ็บอันเป็นเหตุให้มันเศร้าซึมไม่อยากอาหาร
นิ้วชี้หนาลูบเกลี่ยไรขนเงางามอ่อนนุ่มประดุจแพรไหมแผ่วเบา สัมผัสอ่อนโยนปลอบประโลมจิตใจสับสนฟุ้งซ่านของพลับพลึงให้ผ่อนคลายยอมโอนอ่อนผ่อนผันมากยิ่งขึ้น
“ดูเอ็งจะชอบให้ข้าลูบแบบนี้”
“อย่าเศร้าหมอง ต่อจากนี้ข้าจะดูแลเอ็งให้ดี”
นางปล่อยให้เขาแตะสัมผัสเนื้อตัวที่เคยหวงแหนยิ่งชีพแล้วทิ้งตัวลงนอนกลางฝ่ามือหนา ละทิ้งความระแวดระวังหวาดระวัง นิ้วมือหยาบกระด้างคอยเกลี่ยแผงขนสีสันฉูดฉาดเส้นแล้วเส้นเล่า แม้นว่าฝ่ามือของชายหนุ่มจะหยาบกร้านแข็งทื่อไม่ใช่ผิวหนังอ่อนนุ่มเหมือนสตรีแต่กลับแฝงความแข็งแกร่ง ห้าวหาญ ผสานความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย และ ไว้วางใจเต็มเปี่ยม จนความคิดที่ไม่ควรบังเกิดกลับโลดแล่นพาดผ่านสู่สมองเจ้าแผนการ
“ขนเอ็งนุ่มลื่นนัก...” ใต้หล้าเลิกคิ้วสงสัย ขนนกยูงนุ่มนิ่มเยี่ยงนี้ทุกตัวเลยหรือ
แน่นอนว่าไม่... นางอาบน้ำแร่แช่น้ำนมโปรยกลีบบุปผา อบเรือนกายด้วยกลิ่นหอมจากน้ำมันระเหยทุกคืนวัน บำรุงทะนุถนอมผิวกายให้อ่อนเยาว์ คงความเย้ายวนชวนสัมผัสย่อมแตกต่างจากนกยูงตนอื่นที่อาบน้ำชำระล้างผิวกายแบบขอไปที
เรือนกายข้าหาใช่ตาสีตาสาก็มาสัมผัสได้!
“เอ็งคงแปลกที่แปลกทาง คืนนี้ข้าจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวปล่อยให้เอ็งนอนบนเตียงกับข้าในกระท่อมก็แล้วกัน” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา ก่อนจะหมุนกายก้าวฉับเข้าสู่กระท่อมหลังน้อย
‘หากข้ายังอวดดีใช้ไม้แข็งเช่นนี้ คงไม่แคล้วต้องเอาชีวิตน้อยๆ มาทิ้งที่นี่เป็นแน่ ไหนๆ ที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดรู้จักข้ายอมประจบประแจงคนเขลาเอาตัวรอดก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้’ ดวงตาใสกระจ่างเป็นประกายลอบมองบุรุษหนุ่ม จะอยู่ร่างใดมารยาหญิงก็ย่อมใช้ได้ผล หากเป็นนางซะอย่าง
‘ทำให้เขาวางใจ หลอกกินดื่มอยู่ที่นี่รอฟื้นฟูกำลังวังชาแล้วค่อนเผ่นหนีก็เป็นแผนการที่ไม่เลว’
เมื่อนับนิ้วชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ ดวงตาใสสีดำขลับตัดขาวชัดเจนพลันทอแสงสว่างวาบหนึ่งปราด ทำตัวให้น่าสงสารดึงจิตใต้สำนึกของบุรุษเพศปรารถนาปกป้องสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าออกมาเพียงเท่านั้นนางก็จะไม่ต้องทนอยู่อาศัยในเล้าเป็ดปัญญาอ่อนนั้นอีก!
อีกอย่างนางอยู่ในร่างนกยูงตัวน้อย เขาไม่มีทางทำอะไรที่ถือเป็นการเสียเปรียบแน่นอน…
“......”
ครั้นตัดสินใจแน่วแน่ ร่างงามสง่าแฝงเจือกลิ่นอายเย่อหยิ่งดื้อรั้นของผู้สูงศักดิ์ทรุดกายนั่งลงบนฝ่ามือหนามั่นคง คลอเคลียศรีษระเล็กเข้าหาแผงอกกำยำองอาจท่าทีราวกับต้องการประจบประแจงเต็มที่ ออดอ้อนเต็มประดาชนิดที่ว่าทำเอาเขาใจอ่อนยวบนึกเอ็นดู
“ตอนว่านอนสอนง่ายก็น่ารักเหมือนกันนะเรา” ใต้หล้าคลี่รอยยิ้มอ่อนโยน รอยยิ้มนั้นสว่างวาบจนหูตานางพร่ามัว
จะว่าไปบุรุษผู้นี้ก็ดูดีรื่นตาอยู่บ้าง…
กระท่อมหลังเล็กประกอบเป็นรูปเป็นร่างจากไม้ไผ่ปูมุงหลังคาด้วยเชือกฟางกันลมกันฝนฟ้าคะนองได้ในระยะสั้น เนื่องจากผู้อยู่อาศัยเป็นชายหนุ่มหยาบกระด้างจึงไม่พิถีพิถันในเรื่องความเป็นอยู่และอาหารการกิน
กลับกันหญิงสาวผู้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกละเอียดละออเห็นข้าวของภายในกระท่อมถึงกับลมหายใจขาดช่วง คิดไม่ถึงว่าสถานที่แห่งนี้เรียกว่าที่อยู่อาศัยได้จริงหรือ
ภายในกระท่อมไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากเตียงไม้ปูพรมด้วยฟูกนุ่นเก่าซอมซ่อและเตาฟืนไฟลุกโชนให้ความอบอุ่นในยามนอน เสื้อผ้าอาภรณ์สามสี่ตัวใส่สลับซักซ้ำไปซ้ำมา
ไม่ต้องจินตนาการถึงเครื่องนุ่มห่มครบบนล่างขอเพียงให้มีใส่ปกปิดเรือนร่างเสียก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน บานผนังแขวนปืนผาหน้าไม้อุปกรณ์ล่าสัตว์ครบครัน อีกฟากฝั่งมีเนื้ออบรมควันตากแห้งห้อยระโยงระยางทำให้ภายในกระท่อมมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ตลบอบอวลจนร่างเล็กสีสันฉูดฉาดขมวดคิ้วหน้ามู่
“นั่งอยู่บนนี้ ข้าจะหาผ้ามาชุบเช็ดตัวให้” ชายหนุ่มวางแม่นกยูงตัวน้อยลงขี้ประจบลงบนฟูกนุ่น ก่อนจะกุลีกุจอคว้านหาถังน้ำพร้อมผ้าชุบน้ำสะอาดหนึ่งผืน
พลับพลึงตัดสินใจแล้วว่าจะประจบประแจงอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกินดื่มให้พุงกางจึงนั่งลงสงบเสงี่ยมบนฟูกนุ่น แม้จะดูเก่าซอมซ่อแต่กลับนุ่มนิ่มอบอุ่นจนอยากจะทิ้งตัวลงนอนให้น้ำลายยืด
กลิ่นอายบุรุษแผ่กำจายทั่วเตียงเป็นกลิ่นเดียวกันกับกลิ่นที่นางเคยฉวยโอกาสดอมดมยามเขาเอื้อมฝ่ามือหยาบกระด้างมาคว้าลำตัวบอบบาง
ฟูกนอนข้างลำตัวทรุดยวบยามร่างกำยำทิ้งน้ำหนักหันข้าง ผ้าสะอาดผืนเล็กชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดให้แม่นกยูงตัวป่วนเบามือตั้งแต่ศรีษระไล่จรดท่อนขาเล็ก นางเก้อเขินกระมิดกระเมี้ยนอยู่บ้าง เนื่องจากไม่เคยให้บุรุษสัมผัสแตะเนื้อต้องตัวมาก่อน
สายตาคมกริบเหลือบมองไรขนเงางามสง่าของนกยูงตัวน้อยที่เขาเก็บกลับมาด้วยสายตาพึงพอใจ ยามไรขนสีเขียวมรกตประกายเหลือบฟ้าครามเปียกชุ่มกลับทอแสงเปล่งประกายดูเย้ายวนเปี่ยมเสน่ห์น่าหลงใหล
นิ้วสากกร้านหนังด้านลูบแผงลำคอนางแผ่วเบาสร้างความสัมพันธ์ฉันคนเลี้ยงและสัตว์เลี้ยงให้คุ้นเคยกันและกัน เมื่อเห็นร่างเล็กเปี่ยมสีสันไม่ได้ขยับเบี่ยงกายหนีจึงค่อยๆ ใช้นิ้วมือทั้งห้าประโลมลูบอย่างอ่อนโยน
กลับกันพลับพลึงกลับรู้สึกผ่อนคลายเสมือนมีแรงบีบนวดคลายจุดแก้อาการปวดเมื่อย จึงยินยอมให้เขาลูบสัมผัสเนื้อตัวเหมือนแม่หญิงใจง่าย ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไรขนอ่อนนุ่มทำให้จิตใจลอยละล่องไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนอย่างหาได้ยาก
นี่เขาเป็นอะไรไป? เขามีความรู้สึกปรารถนาฉันชายหญิงกับสัตว์เลี้ยงของตนอย่างนั้นหรือ ผิดธรรมชาติ! เขาคงห่างเรื่องอย่างว่ามานานกระมัง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรมีความรู้สึกแปลกประหลาดพิลึกกับนกยูง!
‘ข้าคงฟั่นเฟือนเข้าแล้ว! ใต้หล้าเอ็งคงอดอยากปากแห้งเข้าขั้นหิวโหยแล้วกระมัง’
กว่าจะดึงสติพร่าเลือนกลับมาได้ครบเทียนไขในเชิงเทียนก็เกือบจะดับแสงรอมร่อ เทียนไขเล่มใหม่ถูกนำมาลนไฟใต้แท่งก่อนจะนำมาวางใหม่ทดแทนเล่มเดิมส่งผลให้ความสว่างไสวภายในกระท่อมกระจ่างแจ้ง...
“ข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อให้เอ็งเลย” รอยยิ้มอบอุ่นดั่งแสงตะวันคลี่รอยยิ้มกว้างโอ่ล้อมพูดคุยกับนกยูงตัวน้อย เสียงทุ้มนุ่มลึกนั้นทำให้นางตกอยู่ในภวังค์
มือไม้ก็เคลื่อนไปตามลำตัวปกคลุมด้วยไรขนอ่อนนุ่มเงางามเสมือนมีประกายไฟวูบวาบบริเวณปลายนิ้วจนหญิงสาวลอบกลืนน้ำลายเอื้อกลงคอ
นางไม่ใช่แม่หญิงที่ไม่ประสาในเรื่องหญิงชายใกล้ชิดเสียหน่อย เรื่องพวกนี้แม้ตนจะไม่มีประสบการณ์แต่ก็เห็นมานักต่อนัก บุรุษหนุ่มใกล้ชิดแม่หญิงจะรอดพ้นเรื่องอย่างว่าไปได้อย่างไร
เรื่องอย่างว่า!
“......” พลับพลึงหนังตากระตุก เอียงศรีษระเล็กทำหน้าตาใสซื่อไร้เดียงสามองใบหน้าหล่อเหลาใต้แสงเทียนในค่ำคืนที่ผืนนภามืดมิดอับแสง
โอ้! ความหล่อเหลาองอาจกระแทกตา
“ภูคลาดมีละอองน้ำค้างโปรยปรายตลอดทั้งปี ข้าตั้งชื่อเอ็งว่าละอองก็แล้วกัน ละอองน้อยของข้า ข้าจะเลี้ยงดูปูเสื่อให้เอ็งสบายใจไร้กังวลเอง” ดูเหมือนน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกที่พยายามจะให้คำมั่นสัญญาไม่ได้ทำให้หญิงสาวผู้มีความคิดดำมืดลึกซึ้งรู้สึกตัว นางเอียงเอนแอบสำรวจมองเครื่องหน้าของชายหนุ่ม ก่อนจะบังเกิดความรู้สึกอยากลวนลามเขาเหลือเกิน
“จะไม่มีผู้ใดกล้ำกลายทำร้ายเอ็งได้อีก”
พลับพลึงชะงัก...
‘คนที่ทำร้ายข้าก็เอ็งมิใช่รึจะมีใครหน้าไหนกล้าลงไม้ลงมือกับข้าเยี่ยงนี้อีก’ นางบ่นพึมพำ หันไปสนอกสนใจองคาพยพแข็งกระด้างของเขาต่อ
ใบหน้าหล่อเหล่าคมคาย กรามสันขับให้เครื่องหน้าดูองอาจแข็งกร้าวหยาบกระด้าง ดวงตาคมเข้มหางตาหยิบยกเชิ่ดสูง คิ้วหนาดกดำเรียงเป็นแพ จมูกโด่งสัน ริมฝีปากเฉียบสีนวล เรือนกายกำยำทุกสัดส่วนน่าซุกไซร้คลอเคลีย
หล่อ หล่อเหล่าเอาการ ริมฝีปากก็น่าจุมพิต!
คิดไม่ถึงว่าคนหยาบกระด้างในพงไพรจะเข้าตาคนเรื่องมากอย่างนาง...
ความคิดวิปริตหยาบช้าขัดกิริยามารยาทอันดีที่ถูกขัดเกลาบ่มเพาะตั้งแต่เยาว์วัยกลับถูกความอ่อนโยนเอาใจใส่พังทลายในชั่วพริบตา ความคิดเหล่านี้โลดแล่นพาดผ่านสมองเจ้าแผนการของนางได้อย่างไร นี่ข้าจะใจง่ายเกินไปแล้ว! ไม่ได้! ข้าต้องรักนวลสงวนตัว!
ใบหน้าเล็กร้อนผ่าวพยายามกลบเกลื่อนอาการขวยเขินอันหาได้ยากยิ่ง หญิงสาวพยายามหาเหตุผลที่ทำให้ตนมีปฏิกิริยาแปลกประหลาด อย่างเช่น ตอนร่วงหล่นจากท้องฟ้าศรีษระของนางอาจจะได้รับการกระทบกระเทือนจนไม่ปกติ เป็นต้น แต่ยังไม่ทันหาข้ออ้างมากลบเกลื่อนก็ถูกหนุ่มกระด้างหล่อเหลากล่าวเย้าให้ใจสั่นขึ้นมาอีกประโยค
“ขนของเอ็งงามนัก งามไปทั้งตัว...”
‘เจ้าก็รูปงามจนข้าอยากจะลวนลามทั้งบนล่าง’
หากนำขนมาทำไส้ในหมอนหนุนจะนุ่มชวนนอนหลับสบายเพียงใด ประโยคหลังเป็นเพียงความคิดที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย นกยูงตัวน้อยของเขารู้ความนักขืนเอ่ยออกไปคงได้เห็นนกยูงกระพือปีกเอะอะโวยวายจนหาวันคืนสงบไม่ได้
แต่สำหรับพลับพลึงที่ไม่ได้ล่วงรู้ความคิดที่ว่าเขาอยากจะจับนางถอนขนมาทำไส้ในหมอนหนุนก็อารมณ์ดีหลงคิดว่าเขาชื่นชมความงามล้นเสน่ห์ของตนเข้าให้แล้ว
‘พูดเข้าหูเป็นคราแรก แน่นอนข้าย่อมงาม มิใช่ว่าพอเห็นกายเนื้อแท้ของข้าแล้วจะลุ่มหลงมัวเมาหรอกรึ’ พลับพลึงเชิ่ดใบหน้าเย่อหยิ่งขึ้น นางมั่นอกมั่นใจในรูปโฉมราวหยกสลักเกลี้ยงเกลาของตนเอง มิเช่นนั้นฝูงอีกาฆาตจะจับเป็นหวังนำนางกลับไปเป็นนางบำเรอหรือหากมิใช่เพราะรูปโฉมโดดเด่นต้องตา
เจ้าหมอนี่ไม่นับว่าเกินเยียวยา...
“สะอาดแล้วนอนเถิดละออง” ชายหนุ่มวางผ้าผืนเล็กลงในถังน้ำดันร่างเล็กให้ขยับเข้าไปทางด้านในส่วนตนเองนอนขวางกั้นด้านนอก
ก่อนจะเตรียมสะบัดมือดับไฟเทียนไข เสียงเคลื่อนไหวรวดเร็วพรวดพราดประดุจสายลมหนึ่งวูบ ก่อนจะปรากฎร่างเล็กที่ใจกล้าขยับขึ้นมาเหยียบย่ำบนแผงอกกำยำ
‘แต่ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยนะ หิวจนไส้กิ่วหมดแล้ว’ พลับพลึงหน้ามู่
ปีกเงางามหยิบยกชี้ไปทางเนื้อรมควันห้อยระโยงระยางบนฝาผนัง สายตาอ้อนวอนน่าสงสารที่สอดส่องสาดแสงจนทำให้เขายากจะปฏิเสธเขาทอดสายตามองตามสายตาแห่งความหวังความปรารถนาของนาง จึงพบต้นตอสาเหตุที่ทำให้แม่นกยูงตัวน้อยมองตาละห้อย ร่างแกร่งกำยำสั่นสะท้านจนไม่อาจสะกดกลั้นเสียงหัวเราะขบขันจึงเผยเสียงหัวเราะร่าราวกับคนเสียสติออกมา
“เอ็งหิวรึ...ฮะ ฮ่า ฮ่าา” ใต้หล้ากลั้วหัวเราะดังลั่น
พลับพลึงไม่ลดละความพยายามใช้ปีกสยายกรีดกรายชี้ไปทางเนื้อรมควันไม่ลดละ พลางพยักศรีษระพัลวันคลอเคลียออดอ้อนแผงอกกำยำบอกเป็นความนัยว่าข้าหิวมากและข้าอยากจะกินมัน
หากนางพลาดโอกาศอันดีแบบนี้ไปมีหวังนางคงจะต้องยอมจิกกินข้าวสารประทังความหิวเป็นไก่ฟ้าพญาลออย่างที่เขาเข้าใจตอนแรกแน่นอน
“หากอยากกินมาจูบข้างแก้มข้าเสียก่อนแล้วข้าจะไปเอามาให้” ชายหนุ่มเลิกคิ้วอมยิ้มหวานเอ่ยเย้าไม่มีท่าทีจะขยับเรือนกายไปคว้าเนื้อรมควันที่นางหมายปอง
“!!?!!” พลับพลึงเบิกตาโต อากัปกิริยาลังเลเล็กน้อย แค่จะกินเนื้อรมควันของอ้ายผู้นี้ข้าจำเป็นต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ หากวันใดนางอยากกินเนื้อชิ้นใหญ่คงไม่ต้องปลดเปลื้องอาภรณ์มอบกายให้เขาเชยชิมก่อนหรอกหรือ และหากพลับพลายรู้เข้าคงต้องล่อข้าไม่หยุดเป็นแน่
‘เอ็งมันวิปลาสแท้หาเศษหาเลยกระทั่งร่างนกยูงของข้า’
“ว่าอย่างไร หากเปลี่ยนใจไม่อยากกินแล้วข้าจะได้ดับเทียนเข้านอน” น้ำเสียงถือชั้นเชิงเหนือกว่าเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง สายตาล้ำลึกหรี่หางตามองนกยูงตัวน้อยที่ค้างแข็งไม่ยอมขยับ
‘แต่ตอนนี้ข้าหิวไม่มีอะไรตกถึงท้องตลอดทั้งวัน ข้าไม่เล่าซะอย่างแล้วใครจะรู้ ไม่มีทางที่คนอื่นจะรู้หรอก’
ถือเสียว่าเลียหน้าสุนัขเอาใจมันก็แล้วกัน...
แต่นางคงจะลืมไปว่าเล่นกับสุนัขระวังสุนัขเลียหน้า สุนัขตัวนี้ยากคาดเดาอารมณ์เสียด้วยสิ!
‘เพื่อปากท้องข้าหรอกนะถึงยอม’
เมื่อปลอบประโลมหัวใจดวงน้อยที่เต้นตึกตักสั่นไหวให้สงบนิ่งปราศจากอาการลนลานได้แล้ว ร่างเล็กก้าวเท้าขยับร่างเข้าไปใกล้จรดจะงอยแหลมสัมผัสแก้มสากแผ่วเบาใช้ศรีษระเล็กคลอเคลียออดอ้อนแสร้งเชื่อฟังรู้ความเป็นดิบดี
ประหนึ่งสัตว์เลี้ยงรู้ความที่คอยเอาอกเอาใจผู้เป็นนาย มิหนำซ้ำยังพรมจุมพิตแถมให้อีกสองสามครั้งไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะต้องการเอาอกเอาใจหรือตอบสนองความต้องการอันดำมืดไม่บริสุทธิ์ของตนกันแน่
“ฉลาดนักละอองของข้า ไม่กินข้าวสารแต่เลือกกินเนื้อรมควันหัวสูงไม่เบา” ร่างหนาสั่นสะท้านไปกับท่าทีออดอ้อนแสร้งไร้เดียงสาจนไหล่สั่นระริก เขาเอ็นดูที่มันรู้สึกปรับตัวในระยะเวลากระชั้นชิดเพียงนี้แม้จะเป็นเพราะความหิวโหยก็ตาม อ้อมแขนแข็งแกร่งโอบประคองนกยูงน้อยไว้ในอ้อมแขนให้ความรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงจนใจบางของใครบางคนอ่อนยวบเหลวเป็นแป้ง
“แต่ไม่เป็นไรข้าเลี้ยงไหว”
“......”
‘อย่ามาโอดครวญว่าข้าล้างผลาญก็แล้วกัน!’
ไม่นานนักเนื้อรมควันหั่นชิ้นเล็กถูกนำมาวางในถ้วยกะลาใบเล็ก ดวงตาดำขลับดุจหมึกน้ำดำเข้มเปล่งประกายแพรวพราวระยิบระยับไม่อาจซ่อนเร้นความปิติในแววตานกยูงน้อยได้มิด นางจัดการเนื้อรมควันลงท้องจนอิ่มแปล้พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน เปลือกดวงตากระจ่างใสเริ่มหนักอึ้งสะลืมสะลือก่อนภาพเบื้องหน้าจะค่อยๆ พล่าเลือนแล้วถูกทดแทนด้วยความมืดมิดจวบจนรุ่งฟ้าสาง