เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น
พิไล หญิงสาววัยยี่สิบหก เดินทางกลับมายังแผ่นดินบ้านเกิดหลังจากห่างหายไปนานหลายปี พร้อมกับความบอบช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจ กระเป๋าเดินทางเพียงใบเดียวในมือ และท้องที่ใกล้คลอดเป็นสิ่งเดียวที่เธอมีติดตัว
ลมหายใจของเธอหนักอึ้งทุกครั้งที่ก้าวเดิน แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทั้งจากร่างกายที่อ่อนแรง และหัวใจที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
เมื่อหลายเดือนก่อน ชีวิตของพิไลเต็มไปด้วยความหวัง เธอมีชีวิตคู่ที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ชายผู้เคยสัญญาว่าจะรักและดูแลเธอตลอดไป กลับทิ้งเธอไปพร้อมกับคนอื่น ทิ้งไว้เพียงหัวใจที่แตกสลาย และเด็กในท้องที่กำลังจะเกิด
เธอไม่มีทางเลือก นอกจากหอบตัวเองและลูกในครรภ์กลับมายังบ้านเกิดที่เธอเคยหนีจากไป
พิไลที่ก้าวลงจากรถแท็กซี่พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเดียว และของใช้จำเป็นเพียงไม่กี่ชิ้น ลมเย็นยามเย็นพัดมาแผ่วเบา แต่กลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจเลยแม้แต่น้อย ทุกก้าวที่เดินบนทางดินขรุขระตรงไปยังบ้านไม้หลังเก่า ร่างกายของเธอสั่นไหว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเหนื่อยล้าหรือความหวาดหวั่นในใจ ท้องใกล้คลอดที่ดูหนักอึ้งเหมือนเป็นเครื่องเตือนใจถึงสิ่งที่เธอไม่สามารถหนีพ้นได้ ชีวิตที่เธอเคยคิดว่าจะสวยงามเหมือนในฝันกลับพังทลายลงเหมือนปราสาททรายที่ถูกคลื่นซัด พิไลมองไปยังบ้านที่เธอเคยจากมาเมื่อหลายปีก่อน บ้านหลังนี้เคยเป็นทั้งที่พักพิงและกรงขังในเวลาเดียวกัน เธอจำได้ว่าตอนเด็กเคยแอบร้องไห้ในมุมหนึ่งของบ้านทุกครั้งที่คิดถึงแม่ที่จากไป แต่วันนี้เธอกลับมา พร้อมกับชีวิตใหม่ในท้องที่ยังไม่ลืมตาดูโลก และหัวใจที่แตกสลายจากการถูกทอดทิ้งโดยคนที่เธอเคยรักหมดหัวใจ
เสียงล้อรถแท็กซี่เคลื่อนตัวออกไปทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้น หายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า ทุกก้าวที่เดินเข้าไปใกล้บ้านเหมือนมีแรงดึงดูดที่บีบหัวใจจนเจ็บ สายตาของเธอจดจ้องไปยังบันไดไม้ที่มีรอยแตกเล็กๆ ซึ่งเธอจำได้ดีว่าตอนเด็กเคยสะดุดล้มตรงนั้น นั่นเป็นหนึ่งในบาดแผลแรกๆ ในชีวิตของเธอ แต่ไม่มีบาดแผลไหนลึกเท่ากับที่เธอเพิ่งได้รับเมื่อไม่นานนี้ คนที่เคยสัญญาว่าจะรักและดูแลเธอตลอดไปกลับหักหลังเธอไปกับคนอื่น ทิ้งไว้เพียงเธอและลูกในครรภ์ที่กำลังจะเกิด
“กลับมาแล้วเหรอ พี่พิไล”
เสียงของน้องสาวของเธอ พิม ดังขึ้นอย่างอ่อนโยน เธอเดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมรอยยิ้มบางเบา พิไลเงยหน้าขึ้นมองน้องสาว น้ำตาเริ่มคลอเบ้าโดยไม่รู้ตัว เธออยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับพูดได้เพียงคำสั้นๆ
“จ๊ะ พิม...” เสียงของเธอสั่นจนแทบจะไม่ได้ยิน
พิมมองพี่สาวที่อยู่ในสภาพเหนื่อยล้าและท้องที่เห็นได้ชัด เธอไม่ถามอะไร ไม่ใช่เพราะไม่อยากรู้ แต่เพราะรู้ว่าพิไลคงยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไรทั้งนั้น
“เข้ามาข้างในก่อนเถอะพี่ พักให้หายเหนื่อยก่อน” พิมเอ่ยพร้อมกับยื่นมือไปช่วยถือกระเป๋า
ภายในบ้านที่คุ้นเคย พิไลมองไปรอบๆ และสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้เก่าที่ชวนให้คิดถึงอดีต ห้องที่เธอเคยวิ่งเล่นตอนเด็กยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้เธอรู้สึกว่ามันแตกต่างไป เธอหันไปมองพิมที่กำลังจัดที่นอนให้ เธออยากจะเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่คำพูดกลับติดอยู่ในลำคอ เธอกลัวการตัดสิน เธอกลัวว่าแม้แต่พิมก็อาจจะไม่เข้าใจ
พิไลลูบท้องของตัวเองเบาๆ ขณะนั่งลงบนเตียงเก่าๆ เสียงลมหายใจของเธอหนักอึ้ง แต่เธอก็พยายามบอกตัวเองว่า
“ฉันต้องสู้…เพื่อลูก” เด็กในท้องเป็นสิ่งเดียวที่เธอเหลืออยู่ในตอนนี้ เป็นความหวังเดียวที่ทำให้เธอยังมีแรงเดินต่อไป
แต่ลึกๆ ในใจ เธอรู้ว่าการกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่แค่การหนีจากอดีต แต่ยังเป็นการเผชิญหน้ากับอนาคตที่ไม่แน่นอน เธอไม่เคยรู้เลยว่า การกลับมาครั้งนี้จะนำพาเธอไปพบกับความจริงที่ไม่เคยรู้ และเรื่องราวที่เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
……………………………….
“อ๊ากกกก!! เจ็บ! ไม่ไหวแล้วววว!”
เสียงกรีดร้องของพิไลดังสะท้อนก้องไปทั่วห้อง ความเจ็บปวดราวกับร่างกายถูกฉีกออกเป็นสองส่วน เธอกัดฟันแน่นจนรู้สึกได้ถึงเลือดที่ซึมออกมาในโพรงปาก มือทั้งสองข้างจิกลงบนเตียงอย่างแรง ขณะที่ร่างกายเธอเกร็งไปทั้งตัว น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างควบคุมไม่ได้ หยดเหงื่อซึมออกจากหน้าผากและไหลลงมารวมกับน้ำตาที่ชุ่มแก้ม
“ได้โปรด… ช่วยฉันด้วย ฮือออ…”
พิไลหอบหายใจหนัก เสียงอ้อนวอนของเธอสั่นไหวจนพยาบาลที่ยืนข้างเตียงต้องจับมือเธอไว้แน่น “คุณแม่คะ สูดหายใจลึกๆ นะคะ อีกนิดเดียวเองค่ะ” คำพูดปลอบโยนฟังดูเหมือนห่างไกลสำหรับเธอ มันไม่ได้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
“โอ๊ยยยย!!”
เสียงร้องดังก้องอีกครั้งเมื่อมดลูกบีบรัดจนเหมือนจะดึงลมหายใจของเธอออกไป ความเจ็บนั้นท่วมท้นจนเธอคิดว่าตัวเองอาจจะตายตรงนี้ ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว ลูก… ฉันต้องทำให้ได้ เธอกัดฟันอีกครั้งและพยายามเบ่งตามที่หมอบอก แม้จะรู้สึกเหมือนกำลังต่อสู้กับร่างกายที่แทบไม่เหลือพลังใดๆ
“เบ่งอีกค่ะ! อีกนิดเดียว!” เสียงของหมอดังขึ้นพร้อมกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ พิไลรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ เธอร้องลั่นพร้อมกับพยายามเบ่งอีกครั้ง
“อ๊ากกกก!!” เสียงของเธอแหลมสูง สั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดที่เกินจะบรรยาย
แล้วทันใดนั้น เสียงเล็กๆ ที่แหลมใสก็ดังขึ้น “อุแว้… อุแว้…” เสียงร้องของทารกแรกเกิดสะท้อนก้องไปทั่วห้องคลอด พิไลที่แทบหมดสติอยู่ในความเหนื่อยล้ารู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่หายไป และในขณะเดียวกัน หัวใจของเธอก็เหมือนถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกใหม่
“ลูก… ลูกของฉัน”
เธอพึมพำเบาๆ ด้วยเสียงที่สั่นสะท้าน ขณะที่พยาบาลนำเด็กทารกตัวน้อยที่ยังเปื้อนเลือดและน้ำคร่ำมาวางบนอกของเธอ เด็กน้อยร้องไห้เสียงดังขณะที่ร่างกายเล็กๆ สัมผัสถึงความอบอุ่นของแม่
พิไลน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่หยุด เธอลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกอย่างแผ่วเบา “แม่ทำได้… แม่พาลูกออกมาได้” เธอพูดกับลูก แต่คำพูดนั้นเหมือนปลอบใจตัวเองไปด้วย ความเหนื่อยล้าหายไปในทันทีเมื่อเธอมองใบหน้าของลูกน้อย หัวใจที่บอบช้ำจากอดีตของเธอเริ่มรู้สึกถึงความหวังอีกครั้ง
ในวินาทีนั้น พิไลรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว ลูกคนนี้คือเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอต้องสู้ แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่เธอจะผ่านมันไปให้ได้… เพราะเขาคือชีวิตใหม่ของเธอ
ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของพิไลที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวราวกับไร้เลือดหล่อเลี้ยง ร่างกายอ่อนแรงจนแทบขยับไม่ได้ พิมนั่งอยู่ข้างเตียงพร้อมกับอุ้มหลานสาวตัวน้อยในอ้อมแขน หลานที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่ชั่วโมง เด็กน้อยส่งเสียงร้องเบาๆ ในอ้อมแขนของเธอ
พิไลพยายามยกเปลือกตาขึ้นมองน้องสาว น้ำตาที่ไหลอาบแก้มดูเหมือนจะไม่หยุด เธอสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ราวกับรวบรวมพลังครั้งสุดท้าย “พิม… กล่องข้างเตียง… หยิบมาให้พี่หน่อย…” เสียงของเธอเบาราวกระซิบ แต่แฝงไปด้วยความเร่งร้อน พิมรีบวางเด็กน้อยไว้ในเปลข้างเตียงก่อนจะก้มลงหยิบกล่องไม้ใบเล็กที่วางอยู่
“นี่ค่ะพี่ไล แต่พี่อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะ พักก่อนเถอะ” พิมพูดทั้งน้ำตาขณะยื่นกล่องให้ พิไลยกมือสั่นระริกวางบนกล่อง ใบหน้าที่อ่อนล้าหันมองน้องสาวด้วยสายตาเว้าวอน
“ในนี้…เป็นของสำคัญของลูกพี่… ถ้าพี่ไม่ไหว…” เธอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก น้ำตาไหลอีกครั้งขณะที่เสียงเริ่มขาดห้วง “พิม…พาหลานไปหาพ่อเขา…นะ…”
“พี่พูดอะไรแบบนี้! พี่จะไม่เป็นไร พี่ต้องอยู่สิ พี่ต้องอยู่กับหลาน!” พิมพูดอย่างตระหนก น้ำเสียงเธอสั่นเครือเมื่อเห็นพี่สาวที่เหมือนจะหมดแรงลงเรื่อยๆ
ทันใดนั้น พิไลเริ่มหายใจติดขัด ดวงตาของเธอค่อยๆ ปิดลง ร่างกายเริ่มกระตุกเล็กน้อย “พี่ไล! หมอ! ช่วยด้วย!!” พิมตะโกนสุดเสียง เธอจับมือพี่สาวเขย่าแรงๆ แต่พิไลไม่ตอบสนอง
“พี่ไล! ตื่นสิ!” เสียงกรีดร้องของพิมดังสะท้อนก้องทั่วห้องพักฟื้น น้ำตาอาบแก้มของเธอราวกับสายน้ำที่ไม่มีวันหยุดไหล มือทั้งสองข้างจับไหล่ของพิไลเขย่าอย่างแรง ความหวังริบหรี่ที่เหลืออยู่ในหัวใจทำให้เธอยังไม่ยอมรับความจริง “พี่! ได้โปรด! อย่าทิ้งพิมไป! อย่าทิ้งหลานไป!”
พิไลนอนนิ่ง ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ดวงตาที่เคยเปล่งประกายความเข้มแข็งกลับปิดสนิท ร่างของเธอเหมือนหุ่นไร้วิญญาณ หายใจเฮือกสุดท้ายที่หลุดลอยไปนั้นทำให้หัวใจของพิมเหมือนถูกฉีกขาดออกเป็นเสี่ยงๆ
“หมอ! ช่วยพี่ฉันที! ได้โปรด!!” พิมร้องตะโกนสุดเสียง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด พยาบาลรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับหมอที่ถืออุปกรณ์ช่วยชีวิต พิมถูกดึงให้ถอยออกไปข้างๆ เธอถอยไปอย่างไม่เต็มใจ ร่างทั้งร่างสั่นเทาด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้างมองหมอและพยาบาลที่พยายามช่วยชีวิตพิไลอย่างเร่งด่วน
เสียงตะโกนของพิมทำให้พยาบาลและหมอวิ่งกรูกันเข้ามาในห้องอย่างเร่งด่วน “คนไข้หัวใจหยุดเต้น!” พยาบาลคนหนึ่งตะโกนบอก หมอรีบสั่งการทันที “เตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจ! เริ่ม CPR!”
พิมถูกพยาบาลดึงออกไปยืนข้างๆ พร้อมกับกอดหลานสาวแน่น เธอมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยหัวใจที่แตกสลาย น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด “พี่ไล… ได้โปรด… อยู่กับพิม… อยู่กับหลาน…”
หมอและพยาบาลเริ่มทำการปั๊มหัวใจ เสียงเครื่องมือทางการแพทย์ดังเป็นจังหวะ ผสมกับเสียงสั่งการของหมอ “ชาร์จไฟ! เคลียร์!” เสียงเครื่องกระตุ้นหัวใจทำงานพร้อมกับแรงกระตุกของร่างพิไล แต่ตัวเลขบนหน้าจอหัวใจยังคงเป็นเส้นตรง
“คนไข้หยุดหายใจ! เตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจ!” เสียงหมอออกคำสั่งดังก้องในห้อง เครื่องมือช่วยชีวิตถูกนำมาวางไว้บนหน้าอกของพิไล ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกดดัน
“ชาร์จ 200! เคลียร์!” เสียงเครื่องกระตุ้นหัวใจดังขึ้นพร้อมกับแรงกระตุกของร่างพิไล แต่ตัวเลขบนหน้าจอยังคงเป็นเส้นตรง พิมเบิกตากว้างและสะอื้นจนตัวโยน “ไม่! พี่ไลต้องกลับมา! พี่ต้องกลับมา!!” เธอตะโกนอย่างสิ้นหวัง
“อีกครั้ง! ชาร์จ 300! เคลียร์!” หมอสั่งอีกครั้ง เครื่องกระตุ้นทำงานพร้อมกับแรงกระตุกอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม หมอและพยาบาลเริ่มชะงัก ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหนักใจ
“ไม่! พี่ไลยังไม่ตาย! ช่วยอีกสิ! ช่วยพี่ฉันอีก!!” พิมพยายามจะพุ่งเข้าไปหาพี่สาว แต่พยาบาลดึงเธอไว้ “ได้โปรด… ได้โปรด…” เธอสะอื้นอย่างน่าสงสาร ดวงตาแดงก่ำมองหมอที่ยืนเงียบอยู่ข้างเตียง
หมอถอนหายใจหนักก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ผมเสียใจครับ… เราทำดีที่สุดแล้ว” คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของพิม เธอทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาไหลพรากพร้อมกับเสียงร้องไห้สะอื้นที่ไม่อาจหยุดได้
“ไม่… ไม่จริง… พี่ไล! ตื่นสิ! ได้โปรดอย่าทิ้งพิมไปแบบนี้!” เธอกรีดร้องสุดเสียง มือทั้งสองข้างจับมือของพี่สาวที่เย็นเฉียบ พิมเงยหน้าขึ้นมองร่างที่ไร้ชีวิตของพิไลก่อนจะร้องไห้หนักจนตัวสั่น
เด็กน้อยในเปลข้างเตียงส่งเสียงร้องจ้าราวกับรับรู้ถึงการสูญเสีย พิมหันไปมองหลานสาวทั้งน้ำตา เธออุ้มเด็กขึ้นมาแนบอก ขณะที่น้ำตายังคงไหลไม่หยุด “หลาน…หลานไม่มีแม่แล้ว… แต่พิมสัญญานะ…พิมจะไม่ทิ้งหลาน… พิมจะดูแลหลานแทนพี่เอง”
เสียงสะอื้นของพิมดังต่อเนื่อง เธอวางหน้าผากลงบนมือของพี่สาวเป็นครั้งสุดท้าย “พี่ไล… พิมรักพี่นะ… ทำไมพี่ต้องไป… หลานของพี่ยังต้องการแม่… พิมก็ยังต้องการพี่…” คำพูดของเธอขาดห้วง น้ำตาที่อาบแก้มสะท้อนความเศร้าที่เกินจะบรรยาย
ห้องที่เคยมีเสียงหัวเราะของครอบครัว กลับเหลือเพียงความเงียบและเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยกับน้องสาวที่ต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต…