๙
ชิดใกล้
เป็นเวลาสองอาทิตย์แล้วที่กอหญ้าทำหน้าที่ดูแลภพธรอย่างใกล้ชิด แม้กระทั่งเวลาเข้าห้องน้ำ แรกๆ เขาอาจจะยังไม่ยอมให้หล่อนเข้าไปวุ่นวายด้วยนัก แต่พอนานไปสุดท้ายก็ต้องเป็นหน้าที่ของหล่อนอยู่ดี จะอยากเห็นหรือไม่อยากเห็นก็ต้องเห็นเข้าสักวันหนึ่ง เช่นเดียวกับเวลานี้...
ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้อยู่ที่ใต้ฝักบัว เขายอมให้ กอหญ้าถอดเสื้อผ้าออกอย่างว่าง่าย สีหน้าเรียบเฉยราวกับปลงตกแล้วกับชีวิตที่เป็นอยู่อย่างนี้ จึงทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็แค่อาบน้ำ เขาทำให้หล่อนรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านมาและผ่านไป เป็นสิ่งมีชีวิตที่เขามองไม่เห็น แต่รู้ว่ามีอยู่จริง...
แต่เขาไม่รู้สักนิด ว่าหล่อนเองก็ต้องข่มกลั้นความอับอายแค่ไหน แม้จะเรียนจบด้านนี้มา แต่ใช่ว่าหล่อนจะชินชากับเพศตรงข้ามเสียเมื่อไร เพราะคัมภีร์ของหล่อนยังไม่แก่กล้า กับคนอื่นพอทำเนา เห็นแล้วคิดเสียว่าสังขารไม่เที่ยง ตอนนี้เป็นแบบนี้ ตอนหน้าเป็นอีกแบบ สุดท้ายต้องเน่าเปื่อยแม้แต่กระดูกก็ผุกร่อนย่อยสลายลง แต่ไฉนคำสอนเหล่านั้นดันใช้ไม่ได้กับภพธร
หญิงสาวเผลอถอนหายใจยาว ผู้ชายตรงหน้ามีส่วนสูงมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรแน่ๆ จากที่เคยคิดว่าเขาดูซูบลงนั้นแท้จริงคือภาพลวงตา เพราะจากที่เห็นตอนนี้นอกจากจะไม่ผอมแล้ว ยังมีสัดส่วนแกร่งกำยำ รูปร่างของเขาดีมากพอๆ กับหน้าตาของเขานั่นแหละ หญิงสาวพยายามมองสูงเข้าไว้ แล้วเปิดน้ำเริ่มจากเบา ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มระดับขึ้นทีละนิด
“น้ำร้อนไปไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามคนตัวโต พลางหันไปกดสบู่เหลวใส่ฝ่ามือเรียว
“พอดี” เขาตอบสั้นๆ แล้วนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นชั่วอึดใจ หล่อนบอกให้ทำอะไรเขาก็ทำตาม ปฏิกิริยาเฉยชาจนเกือบจะเหมือนหุ่นยนต์เข้าไปทุกวันแล้ว
ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเริ่มอาบน้ำให้ จู่ๆ เขาก็เอ่ยออกมาราวกับเพิ่งคิดได้
“ฉันอาบเองดีกว่า”
หญิงสาวนิ่วหน้า ขณะมองเขาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยวางใจนัก
“แน่ใจนะคะ”
“อืม...ไปรอหน้าห้อง เสร็จแล้วจะเรียก” พูดจบก็นั่งนิ่ง แต่หูผึ่งรอฟังเสียงฝีเท้าก้าวออกจากห้อง
“ถ้าต้องการอะไรเรียกหญ้าได้เลยนะคะ”
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังห่างออกไป ชายหนุ่มก็ถอนลมหายใจยาวเหยียด
เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงถอนหายใจของกอหญ้า แม้ เพียงแค่แผ่วๆ กลับทำให้ความรู้สึกของเขาปั่นป่วน เพราะไม่อยากตื่นตัวขึ้นมาต่อหน้าต่อตาแม่สาวน้อย จึงไล่หล่อนออกจากห้องน้ำก่อนที่จะได้เห็นอะไรๆ ของเขาแข็งกล้าจนตกใจช็อกไปเสียก่อน
สิบห้านาทีต่อมา ชายหนุ่มก็ส่งเสียงเรียกหญิงสาว จากนั้นหล่อนก็พาเขาไปแต่งตัว ทำทุกอย่างเหมือนทุกวันที่ผ่านมา พอมีเวลาว่างหล่อนก็อ่านหนังสือให้เขาฟัง สลับกับเปิดเพลง กระทั่งวันหนึ่งที่เขากำลังพักผ่อนและนอนฟังหล่อนอ่านหนังสืออยู่นั้น คุณนายงามตาก็เข้ามาในห้องพร้อมกับสาวสวยคนหนึ่ง
“ตาหนึ่ง มีคนมาเยี่ยมลูกแน่ะ” ใบหน้าของคุณนายงามตาดูสดใสชื่นมื่น ต่างจากใบหน้าของสาวสวยที่ทำหน้าตาเหมือนถูกบังคับให้มา
“เธอออกไปก่อนกอหญ้า” คุณนายหันไปเอ่ยกับหญิงสาวเสียงเรียบ คนตัวเล็กวางหนังสือในมือลงแล้วผุดลุกจากเก้าอี้ แต่ยังไม่ทันก้าวออกจากห้องชายหนุ่มก็เรียกเอาไว้
“หญ้าไม่ต้องไปไหน คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าครับ ถ้ามีก็รีบพูดเถอะ ผมอยากพักผ่อน กำลังฟังหญ้าอ่านหนังสือเพลินๆ”
คำตอบของลูกชายทำเอาคุณนายได้แต่ยิ้มเจื่อนกับวิกานดา ส่วนอีกฝ่ายกลอกตาขึ้นลงสองทีแล้วยิ้มตอบไปแกนๆ ในใจนึกหงุดหงิดรำคาญ ยิ่งมาเห็นสภาพชายหนุ่มในตอนนี้ ยิ่งรู้สึกโล่งใจที่ตอนนั้นหล่อนกับภพธรไม่ได้คบหากันจริงๆ จังๆ อันที่จริงเป็นเขาเสียมากกว่าที่พยายามหนีหน้า ไม่สนใจ จึงเป็นโชคดีของหล่อนที่ไม่ต้องมานั่งดูแลคนพิการ แม้เขาจะมีใบหน้าหล่อเหลาและฐานะดียิ่ง แต่ถ้าให้ต้องมาทนอุดอู้อยู่แบบนี้ก็ขอลา แต่ที่ต้องมาในวันนี้เพราะขัดมารดาไม่ได้
ก็ไปให้เขาเห็นหน้าเสียหน่อย จากนั้นก็ค่อยๆ ห่างออกมา
มารดาของหล่อนกล่าวเช่นนั้น ทำให้วิกานดาจำต้องตามคุณนายงามตามาเยี่ยมบุตรชายพิการ เดินไม่ได้แถมตายังบอด ถือเป็นความโชคร้ายครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของภพธรเลยก็ว่าได้ คิดไปก็น่าเห็นใจไม่น้อย แต่มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของหล่อน ที่สำคัญ เวลานี้หญิงสาวกำลังมีที่หมายใหม่...
“หนูวิมาเยี่ยมแน่ะ”
หญิงสาวยิ้มกับคุณนาย พลางขยับเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนที่กอหญ้าเพิ่งลุกขึ้น
“วิเองค่ะคุณหนึ่ง เป็นอย่างไรบ้างคะ”
“ผมสบายดี” เขาตอบเสียงเรียบ ในใจนึกรำคาญ เขาอยากฟังเสียงกอหญ้าอ่านหนังสือมากกว่า จนอุปาทานว่าเสียงของวิกานดาแหลมบาดแก้วหูเกินไป
“วิต้องขอโทษด้วยนะคะที่เพิ่งจะมาหา ช่วงนี้งานยุ้งยุ่ง นี่กว่าจะหาเวลาปลีกตัวมาได้ก็เล่นเอาหัวหมุน ต้องเคลียร์งานหลายอย่าง คุณหนึ่งไม่โกรธวินะคะ”
แม้ว่าภพธรจะไม่เห็นสีหน้าของหญิงสาวว่าที่คู่หมั้น แต่ก็พอจะนึกออกว่าเป็นเช่นไร หล่อนไม่ได้อยากมาแต่ก็ยังมาและอุตส่าห์ปั้นเรื่องให้ตัวเองดูดี ว่าที่คู่หมายคงกลายเป็นคู่ร้างกันคราวนี้ ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเขา แต่คงไม่น่ายินดีสำหรับแม่ เพราะแม้เขาจะเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านก็ยังคงมีความหวังว่าวิกานดาจะมาสนใจไยดี ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
“ขอบคุณคุณวิที่อุตส่าห์สละเวลางานมาเยี่ยม แต่ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
เขาตอบเสียงเรียบ ไม่ได้ยินดียินร้ายกับการจะมาหรือไปของอีกฝ่าย วิกานดาหันไปทางคุณนายงามตา รอยยิ้มเมื่อครู่จางลง ภายในใจนึกหงุดหงิดไม่พอใจ พิการแบบนี้ แทนที่จะพยายามเอาใจหล่อน เขากลับทำตัวเย็นชาเสียยิ่งกว่าเดิม เฮอะ คิดว่าจะง้อเหรอ ใครจะอยากแต่งงานกับผู้ชายพิกลพิการแบบนี้กันเล่า!
“ตาหนึ่งแค่เกรงใจหนู กับคนที่บ้านก็เป็นแบบนี้ เขาไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากเพราะเขา ใช่ไหมตาหนึ่ง”
คุณนายงามตาแก้ต่างให้บุตรชาย แต่ดูเหมือนคนเป็นลูกจะไม่ยินดียินร้ายอะไรนอกจากตอบรับกลับมาสั้นๆ
“ครับ”
เพียงเท่านั้นวิกานดาก็บอกตัวเองว่าพอกันที หล่อนจะไม่เกรงใจใครอีกต่อไปแล้ว เพราะนอกจากจะน่าเบื่อน่ารำคาญ ยังต้องมาหงุดหงิดอารมณ์เสียกับคนพิการอีก!
คำว่า ‘พิการ’ ดังสะท้านในความคิดของวิกานดา
“ไม่เป็นไรค่ะ วิเข้าใจคุณหนึ่งดี ด้วยสภาพแบบนี้ ต้องมาติดแหง็กอยู่แต่ในห้อง จะไปไหนก็ไปไม่ได้ มองอะไรก็ไม่เห็น ก็คงจะหงุดหงิดเป็นธรรมดา” คำตอบของหญิงสาวทำเอาทุกคนนิ่งอึ้ง โดยเฉพาะคุณนายงามตาที่หน้าเผือดซีดเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้ ตรงกันข้ามกับชายหนุ่ม เขายิ้มออกมาจางๆ พลางบอกกับท่านในใจ นี่ไง คนโปรดของคุณแม่...
“เอ่อ หนูวิ...” คนไม่เคยยอมลงให้ใครง่ายๆ ถึงกับอึกอักทำตัวไม่ถูก มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างผิดหวัง นางชักชวนอีกฝ่ายมาที่นี่ก็เพราะอยากจะให้อะไรๆ ดีขึ้น แต่ทุกอย่างกลับเป็นตรงกันข้ามไปเสียได้
วิกานดาถอนหายใจพรู แล้วหันไปยิ้มกับคุณนาย
“ในเมื่อคุณหนึ่งไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าที่เห็น งั้นวิขอตัวลาเลยแล้วกันนะคะ อย่างที่บอก ช่วงนี้งานวิยุ่งมากๆ ก็คงจะไม่ได้มีเวลามาเยี่ยมอีก หวังว่าคุณป้ากับคุณหนึ่งคงจะเข้าใจ วิกลับก่อนนะคะคุณหนึ่ง ลาค่ะคุณป้า”
หญิงสาวลุกจากเก้าอี้ ยกมือไหว้ลามารดาของอดีตคู่หมาย ไม่ลืมปรายตามองร่างสูงใหญ่ที่นอนเหยียดยาวบนเตียงด้วยสายตาที่ทุกคนเห็นว่าแสดงออกถึงความสมเพช!