[🌞 ลองดูสักตั้งไหม...? ใครจะแพ้ทางใคร ]
-----------------
BAD ENG' : 10
“จะกลับบ้านเลยไหม เดี๋ยวเฮียนั่งไปส่ง”
น้ำเสียงแหบติดหอบเอ่ยถามหลังรถแล่นมาได้เกือบห้านาที เขาเบนสายตาไปสำรวจเรือนร่างสวยที่ตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว เบาะหนังสีเทาอ่อนกลายเป็นสิ่งรองรับน้ำหนักทั้งหมดของเธอไว้
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!
แม่ง!! ใจสั่นสัส!
เขายกมือหนึ่งขึ้นทาบอกซ้ายเมื่ออัตราการเต้นกลับมารุนแรงอีกครั้ง ในตอนที่ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าเริ่มฉายซ้ำ สัมผัสใกล้ชิดบวกกลิ่นหอมเฉพาะตัวยังชัดเจนในความรู้สึก
“ไม่ต้องค่ะ กลับคนเดียวได้”
ตะวันถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ด้วยคำพูดห้วนๆ คิ้วเข้มกระตุกขึ้นเล็กน้อย ขณะจ้องมองใบหน้าครึ่งซีกที่ตามไรผมเปียกชื้นไปด้วยคราบเหงื่อเป็นทางยาวลงมายันต้นคอขาวเนียน และนั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่
สาบานได้เลยว่าไม่เคยหวั่นไหวกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน...
โชคดีที่เจ้าตัวกำลังให้ความสนใจทัศนียภาพนอกรถเลยไม่ทันได้สังเกตเห็นรีแอคชั่นอีกด้านของเสือร้ายที่เก็บกดเผื่อรอเวลาสมควรในการออกล่าเหยื่อ
“ให้ลุงไปส่งที่ไหนครับ”
คราวนี้เป็นเสียงจากเจ้าของรถที่ดึงความสนใจเขาไปได้ ตะวันหันไปยืนยันพิกัดอย่างไม่ลังเลผ่านกระจกกลาง
“ไปหมู่บ้านพิงค์ดอยครับ”
“พี่รู้จักบ้านฉันได้ไง!” คนพักอาศัย ณ ที่แห่งนั้น ตวัดมองด้วยความตกใจ มิหนำซ้ำเธอยังพานนึกย้อนไปถึงข้อสันนิษฐานซึ่งเกือบจะเลือนรางไปแล้วอีกครั้ง
“รู้แล้วกันละ” พูดแค่นั้นแล้วเอนกายไปพิงเบาะตามเดิม ก่อนจะใช้มือปัดรอยบาทาบนเสื้อยืดสีขาวตัวโปรดท่าทางฟึดฟัดไม่วายก่นด่าไอ้คนทำไปด้วย “ไอ้เวรเอ๊ย...”
สีหน้าเขาบ่งบอกชัดเจนว่าต้องเอาคืนแน่…ไม่มีคำว่าอภัยอยู่ในแววตาคู่คมแม้แต่เศษเสี้ยว
“ฉันถามว่าพี่รู้ได้ยังไง ไม่ได้ถามว่ารู้ไหม ฟังภาษาไทยไม่แตกฉานเหรอ” เมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการจึงเกิดการถามย้ำ ร่างเล็กตะแคงเข้าหาคู่สนทนาจริงจัง ในขณะที่อีกฝ่ายก็หันมาโต้กลับเช่นกัน
“แล้วบอกให้เรียกเฮีย ทำไมไม่จำ สมองเท่าปลาทองเหรอ หรือเรียกแล้วมันจะตายห่า...”
ประโยคถูกหยุดกะทันหัน ริมฝีปากหยักปิดสนิทหลังยั้งคำพูดหยาบคายไว้ไม่ทัน ทำเอาคนฟังฉุนกึก
“ก็ไม่แปลกใจหรอกที่จะโดนดักตี ปากหมาซะขนาดนี้”
สาวน้อยไม่เคยมีความคิดจะทำตัวปีนเกลียวกับรุ่นพี่ แต่กับนายภูตะวันคงเป็นข้อยกเว้น ซึ่งเขาเองก็ทำเหมือนเป็นคำพูดปกติที่ได้ยินบ่อยจนชินชา ไม่รู้สึกขุ่นเคือง แถมยังเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก
ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าใกล้ขึ้นอีกคืบ ส่งผลให้ฝ่ายหญิงหงายไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ
“ไม่หมาอย่างเดียวนะ หวานด้วย ลองไหม” สุ้มเสียงทุ้มปรับให้อยู่ในระดับที่ได้ยินกันแค่สองคน ฉับพลันใบหน้าสวยก็เปลี่ยนเป็นเหยเกแล้วส่งฝ่ามือไปดันแผงอกแกร่งไว้ กำลังจะอ้าปากด่า แต่คนหลังพวงมาลัยดันหลุดแซวขึ้นมาซะก่อน
“ฮึ่ม เบาหน่อยไอ้หนุ่ม เกรงใจลุงบ้าง”
“โทษทีครับลุง พอดีเครื่องมันร้อน”
“พี่ตะวัน!” สาวน้อยกดเสียงต่ำเป็นเชิงปรามคนที่ติดพูดเล่นไปเรื่อย และเขาแสร้งเม้มปากเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง
“หึ หล่อแค่ไหนก็ไม่พ้นกลัวแฟนละเนอะ”
“ดุขนาดนี้ ใครจะไม่กลัวละ…อุ๊บ” เขาสนทนาโต้ตอบราวกับรู้จักกันมาแรมปี ไม่แม้จะเว้นช่องไฟให้คนถูกกล่าวหาได้แก้ต่าง สุดท้ายใบชาต้องเลื่อนมือไปอุดปากที่ขยับปาวๆ นั่นไว้
“หยุดพูดดิ๊” ดุทางนี้เสร็จก็หันไปปฏิเสธ “ไม่ใช่นะคะ หนูไม่ใช่แฟนเขาค่ะ”
“หื้อ ไม่ต้องเขินหรอก สมัยนี้หนุ่มสาวรักกันเป็นเรื่องปกติ ลุงเจอบ่อยแล้ว ไม่ได้อะไร แค่อยากแซวเล่นเฉยๆ”
ใบชาในตอนนี้ก็เหมือนจะอยากบอกอะไรสักอย่าง แต่อ้าปากงับไม่ทันหนุ่มหล่อข้างๆ เลย
“ใช่ไหมล่ะครับ” ตะวันขยับปากเสริมทันทีหลังดึงมือเล็กออกมากุมไว้แบบเนียนๆ “ลุงว่าแฟนผมสวยไหม”
“นี่!...” เธอดึงมือออกแล้วฟาดไปบนต้นแขนแกร่งเต็มแรง คล้ายกับเธอกำลังขัดใจที่เขาฉวยโอกาสแอบอ้างแบบนั้น แต่คนมึนหาได้รู้สึกรู้สา เขายิ้มร่า ขณะเลื่อนมือขึ้นลูบบริเวณนั้นป้อยๆ
“ฮ่าๆๆ ลุงมีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ” คนถูกถามกลั้วหัวเราะชอบใจเรียกให้สายตาถมึงทึงใส่รุ่นพี่วิศวะในตอนแรก เบนไปหาเจ้าของประโยคที่แฝงความนัยทันควัน
“อ้าว แบบนั้นหมายความว่าหนูไม่สวยเหรอคะ”
“ลุงเปล่าพูดแบบนั้นนะ”
ระหว่างที่คนเพิ่งรู้จักกำลังโต้เถียงกันเหมือนเด็กน้อยแง่งอนใส่พ่ออยู่นั้น ตะวันเผลอจ้องสาวรุ่นน้องด้วยแววตาหลากหลายความรู้สึกจนยากอธิบาย แต่มีอย่างหนึ่งที่แน่ชัด เขาอยากให้เรื่องที่คุยกันอยู่ตอนนี้เป็นความจริง
“ไหนดู...” พูดพร้อมกับจับปลายคางมนหันซ้ายทีขวาที “แต่เฮียว่าเธอก็…ไม่สวยจริงนั่นแหละ”
“ไอ้คนบ้า!” ใบชาปัดมือเข้าออก “ตัวเองหล่อตายแหละ หน้ายังกับปลาจวด”
“เดี๋ยวๆ เฮียเป็นถึงอันดับหนึ่งเลยนะ”
“พวกเขาตาบอดละสิ”
“เธอสิตาบอด!”
“ลูกดกแน่ๆ”
“…!” ใบชาค้อนขวับ จนชายสูงวัยที่เหลือบมองกระจกอยู่ถึงกับสะดุ้ง
“อุ๊ย!”
“หนูไม่มีวันลงเอยกับคนปากเสียแบบนี้แน่” เธอยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพลางกอดอกจ้องเขม็งอย่างไม่ยอมกัน จังหวะนั้นตะวันก็ยกยิ้มมุมปากยียวน ก่อนจะหันไปหาบุคคลที่สาม
“ผมขอเบอร์ไว้หน่อยครับลุง เดี๋ยวจะโทรเชิญมาร่วมงานมงคล”
“มันต้องยังงี้สิวะ! เรามันเลือดนักสู้อยู่แล้ว ตื๊อไป เดี๋ยวก็ใจอ่อน” เป็นหน่วยเสริมที่ดีจนตะวันอยากดิลไปเป็นสะพานในการจีบสาวใจแข็งคนนี้
“จอดตรงนี้เลยค่ะ” ใบชาออกคำสั่งทั้งที่จุดโฟกัสยังไม่เปลี่ยนแปลง
“อะไรแค่นี้ถึงกับจะลงเลยเหรอ”
“ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นพี่ต่างหาก”
“อะ…อ้าว” ตะวันทำหน้าเหลอหลา อยู่ดีๆ ก็โดนไล่ซะงั้น
“ลงไปเดี๋ยวนี้!”
วันต่อมา…
ห้องอาหารใต้ตึกบริหาร
“อือหือ…”
พายุหลุดครางในคอเมื่อละสายตาจากห่อขนมขบเคี้ยวแล้วเห็นใบหน้าหล่อเหลาของไอ้หนุ่มวิศวะเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ ทำให้ม่านหมอกและจันทร์เจ้าที่จดจ่ออยู่กับการแข่งขันในโลกออนไลน์ต้องเหลือบมองแวบหนึ่งหลังตะวันหยุดยืนแถวๆ มุมโต๊ะ ก่อนพากันกลับมาโฟกัสหน้าจอมือถือของตัวเองดังเดิม
สีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่พบสิ่งปกติใดๆ เรียกได้ว่าเป็นภาพที่เห็นจนชินจะดีกว่า
“ถึงว่า เมื่อคืนไม่กลับบ้าน” จันทร์เจ้าพึมพำออกมาหนึ่งประโยค ขณะผู้มาใหม่หอบสังขารยับเยินไปหย่อนก้นลงนั่งข้างม่านหมอกด้วยความทุลักทุเล
แต่ก็ไม่มีใครคิดจะช่วย!
นี่สินะ…ที่มาของว่ามิตรแท้
“นายหญิงว่าไงบ้างอะ” ตะวันสานต่อในเรื่องที่แฝดน้องกล่าวถึง และได้รับการสวนกลับมาเป็นความหงุดหงิดขั้นสุด
“ก็บ่นดิ ถามได้ หูชาหมดแล้วเนี่ย!”
วินาทีเดียวกันนั้นพายุก็แอบซู้ดปากเบาๆ ตอนที่ไล่พินิจบาดแผลของคนฝั่งตรงข้ามอย่างถี่ถ้วน ไม่ได้เจ็บแทนเพื่อน แต่เขากำลังจินตนาการถึงอีกฝ่าย
“มึงยังขนาดนี้ ไอ้พวกเวรนั่น ไม่จองศาลาแล้วเหรอ แต่มึงก็เก่งเนอะ ยังมาได้”
“ถ้าไม่ติดว่ามีเทส กูไม่มาหรอก แม่ง! ปวดตัวฉิบหาย” บ่นไปพลาง เบ้หน้าไปพลาง ปลายนิ้วยังแตะเบาๆ ตามมุมปาก
“พวกไหนวะ แล้วซ่าห่าอะไรขนาดนั้น ถึงไม่เรียกพวกกู” สุ้มเสียงทุ้มติดตึงเครียดของม่านหมอกเรียกให้คนถูกถามปรายตามองเล็กน้อย แล้วก็ค้นพบว่าทั้งเพื่อนทั้งน้องยังไม่หลุดออกจากโลกออนไลน์
และที่ดูเหมือนซีเรียสกันอยู่ตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องกูสินะ…เยี่ยม!
โคลงศีรษะแล้วตอบ “ก็ไอ้เหี้ยเจไง”
“มึงไปเจอมันตอนไหน เมื่อเย็นมึงบอกว่าจะไปหาน้องใบชาคนสวยไม่ใช่ไง๊”
“อย่าบอกนะ…” จันทร์เจ้าโพล่งขึ้นด้วยความตกใจหลังพายุทิ้งประโยคไว้ให้คิด ตอนนี้เกมหมดความสำคัญไปในทันที มือถือถูกวางลงบนโต๊ะเพื่อจับจ้องคู่สนทนาจริงจัง แววตาเธอดูมีความกังวลและเป็นห่วงคละเคล้ากัน เพราะมันจะมีปัญหาใหญ่ตามมาอีกเป็นพรวน หากพวกบรรดาคู่อริรู้ว่าใครคือผู้หญิงของนายภูตะวัน
“เออ แล้วน้องมึงนะ อย่างแสบ พกสเปย์พริกไทยติดตัวด้วย กูนี่ผวาเลย” พูดแล้วก็อดทำท่าทางขยาดไม่ได้ ขนาดผ่านไปหลายชั่วโมงในตอนที่เขาย้อนกลับไป แต่ละคนยังตาแดงก่ำกันอยู่เลย
“จริงดิ เจ๋งวะ” พายุดูเป็นคนเดียวที่ตื่นเต้นกับเรื่องนี้
“เจ๋งพ่อง! จะโดนดักเล่นเอาดิ”
“มึงก็เลยต้องไปจัดการก่อนสินะ หึ!” ม่านหมอกกระตุกมุมปากอย่างรู้ทัน พร้อมกับกดล็อกหน้าจอมือถือหลังเกมจบลง
“ใช่ โอย…เชี่ยเอ๊ย” เสียงอวดครวญแทรกขึ้นเมื่อเจ้าตัวเผลอเอี้ยวตัวเกินความจำเป็น ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บหนักสุดอย่างหน้าท้องข้างซ้ายถูกประคบด้วยฝ่ามือโดยอัตโนมัติ
“อะ...อ้าว น้องใบ วันนี้มากินข้าวที่นี่อ๋อ”