@กลางดึก
นิ้วเรียวแตะลงบนสวิตช์ไฟ ก่อนที่ทั้งห้องจะเข้าสู่ความมืดสนิท ร่างเล็กยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดแฟลช แสงสว่างสีขาวส่องทางขณะเดินตรงไปยังเตียง ทว่า ยังไม่ทันจะได้โน้มตัวลงนอน เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้น
แชต: ค่าย
ค่าย: อยากขึ้นมาเล่นบนชั้นสามหน่อยไหม
ตอนที่เขาหายไป มันทำให้เธอเศร้า แต่พอกลับมา หัวใจก็ปั่นป่วน
และสิ่งที่ค่ายทำอยู่นี้ หมวยลี่ไม่ชอบเลย เพราะเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างปกติ คงมีแค่เธอที่คิดมากอยู่ฝ่ายเดียว
หมวยลี่: ง่วงแล้วค่ะ
ค่าย: ฉันทำงานแทบไม่มีเวลา
หมวยลี่: ทราบค่ะ
ค่าย: แล้วจะงอนทำไม
คำว่างอนที่ค่ายพิมพ์ส่งมา ทำเอาหัวใจของคนที่ได้อ่านเต้นถี่รัวอย่างห้ามไม่อยู่ หมวยลี่พยายามเตือนตัวเองว่าอย่าใจอ่อนง่ายเกินไป เพราะเขาเมินเฉยเธอไปตั้งอาทิตย์ ทั้งที่ความจริงใจมันอ่อนยวบตั้งแต่ประโยคที่เขาพิมพ์มาก่อนหน้านี้แล้ว
หมวยลี่: ฝันดีนะคะ
เธอตั้งใจปิดจบสนทนาทางแชตเอาไว้เพียงแค่นั้น แต่แล้วมือที่กำลังจะวางโทรศัพท์กลับชะงัก เมื่อเห็นแจ้งเตือนจากค่ายที่ตอบกลับมาแทบจะทันที
ค่าย: เปิดประตู
หัวคิ้วเล็กขมวดชนกันเป็นปม ดวงตาไล่อ่านข้อความนั้นซ้ำถึงสามรอบ ก่อนจะค่อย ๆ พิมพ์ตอบกลับไปอย่างหวาดหวั่น
หมวยลี่: ลี่ไม่เล่น
ค่าย: หรือจะให้เคาะประตู?
หมวยลี่: มาทำไมคะ
ค่าย: ง้อเด็กขี้งอน
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น หัวใจเต้นรัวโครมคราม อย่างที่บอกว่าเธอคาดเดาอะไรกับคนอย่างค่ายไม่ได้เลย เขามักจะทำให้เจ็บปวด แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้ใจสั่น
ค่าย: ถ้าไม่มาเปิด ฉันจะเคาะห้อง
ก๊อก ๆ ๆ
หมวยลี่ที่ไม่ยอมเดินไปเปิดประตูสักทีต้องเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจริง ๆ
ที่เงียบไป เพราะไม่เชื่อว่าค่ายจะอยู่หน้าประตู อีกอย่างตรงนี้มีแต่ห้องของแม่บ้าน มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่เขาโผล่มาในเวลาดึกดื่นป่านนี้ หากใครเห็นเข้าคงเป็นเรื่องใหญ่
นิ้วเรียวรีบลนลานพิมพ์ข้อความ เพื่อห้ามปรามคนที่กำลังเคาะประตูรัว ๆ อยู่หน้าห้อง
หมวยลี่: หยุดเคาะนะคะ
ค่าย: จะเปิดไม่เปิด
หมวยลี่: เฮียทำแบบนี้ไม่ได้ ใครมาเห็นจะเป็นเรื่อง ลี่ไม่เปิดเด็ดขาด
เธอพิมพ์ประโยคยาวเหยียดลงไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นและถี่รัวกว่าเดิม ร่างเล็กกัดริมฝีปากตัวเองจนช้ำ ไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็ต้องเดินไปเปิดประตูอย่างจำใจ
ร่างสูงของลูกชายเจ้าของคฤหาสน์ก้าวเดินเข้ามาภายในห้องที่มีเพียงแสงแฟลชส่องให้ความสว่าง ถึงอย่างนั้นหมวยลี่ก็เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของเขาชัดเจน
เขารู้ว่ามันไม่ควรเลยสักนิด แต่ยังก้าวเข้ามาในพื้นที่ของเธอเพราะอดใจไม่ไหว
“ลี่ไม่ให้ทำ” ร่างเล็กเอ่ยเสียงเบา ทั้งที่คนตรงหน้ายังไม่เริ่มทำอะไร
“หืม? เฮียยังไม่ได้บอกว่าจะทำสักหน่อย”
ตอนนี้เขากำลังทำตัวแพรวพราวใส่เธออีกแล้ว
หมับ! มือหนาคว้าจับแขนเล็กเอาไว้แน่น ก่อนที่เขาจะนั่งลงตรงปลายเตียง แล้วออกแรงดึงเบา ๆ ให้เธอตามลงมานั่งบนตัก ไม่เปิดโอกาสให้ขัดขืน
“เฮีย อื้อ~” เสียงปรามถูกกลืนลงลำคอ เมื่อริมฝีปากหยักกดจูบแบบไม่ให้ตั้งตัว มือเล็กกำคอเสื้อของอีกฝ่ายแน่น พลางทุบรัวบนแผงอกแกร่งหวังจะให้เขาปล่อย
ลิ้นสากควานตวัดเกี่ยวม้วนลิ้นเล็กที่ยังไม่ค่อยเป็นงานเท่าไร ฝ่ามือไล่บีบเคล้นตามแนวสะโพกบาง เขากดซับจูบเร่าร้อนขึ้นจนรู้สึกได้ว่าร่างเล็กกำลังจะขาดอากาศหายใจ จึงยอมถอดถอดริมฝีปากออก
“อึก! ลี่บอกว่าไม่ได้”
“แค่จูบ”
“ออกไปได้แล้วค่ะ” เธอพยายามแกะฝ่ามือที่บีบบนสะโพกออก แต่ค่ายไม่ยอมปล่อย เขาทำเหมือนหูทวนลมไม่ฟังคำไล่ของเธอ จนต้องย้ำอีกรอบ
“ถ้าใครมาเห็นจะเป็นเรื่องใหญ่นะคะ”
“ใหญ่ขนาดไหน?” เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ขณะที่ฝ่ามือยังคงบีบเคล้นสะโพกของเธอ พลางขยับเข้าไปใกล้ “ถ้ามีใครรู้ ฉันกับเธอจะถูกจับให้หมั้นกันเลยหรือเปล่า”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ เฮียจะยอมเหรอคะ” หมวยลี่ไม่คาดหวังคำตอบ แต่พอมาคิดอีกครั้งแล้ว ลึก ๆ ในใจของเธอกลับภาวนา ขอให้ตอนนี้ มีใครสักคนมาเคาะประตูห้อง “ถ้าต้องหมั้นกับลี่ เฮียจะยอมใช่ไหม”
หากการถูกจับได้จะต้องลงเอยด้วยการหมั้นกับเขาจริง ๆ สำหรับเธอมันคือเรื่องดี แต่สำหรับค่ายที่เงียบไป คงต่างกัน