สองวันผ่านไป หมวยลี่ยุ่งกับการช่วยตัดเตรียมงานหมั้นลูกชายคนกลางของไกรวิชญ์ แม้จะมีทีมที่จ้างมาคอยเตรียมงาน แต่เธอก็ต้องช่วยจัดแจงอีกแรง ทำให้สองวันที่ผ่านมาพักผ่อนไม่ค่อยเพียงพอ
วันนี้ทุกคนต้องย้ายมานอนกันที่โรงแรม เตรียมตัวสำหรับพิธีหมั้นที่จะจัดขึ้นในช่วงเช้า หมวยลี่ตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อลงไปตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งตามคำขอของคุณท่าน ที่ไว้ใจให้เธอคอยช่วยคุมงาน
ระหว่างเดินดูตามมุมอาหารอยู่ เสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น ขาเล็กหยุดนิ่ง ก่อนที่เธอจะล้วงมือหยิบมันขึ้นมาเช็กหน้าจอ
แชต: ค่าย
ค่าย: ขึ้นมาบนดาดฟ้า
ร่างเล็กถอนหายใจออกมาเบา ๆ หลังอ่านข้อความที่ไม่ต่างจากคำสั่งของค่าย นิ้วเรียวแตะบนแป้นพิมพ์ตอบกลับ
หมวยลี่: ไม่ได้ค่ะ ลี่กำลังตรวจงาน
ค่าย: บรรยากาศดี
หมวยลี่: เฮียฟังลี่หน่อยได้ไหม
ค่าย: ฉันรอ
เหมือนเจ้าของช่องแชตไม่ได้อ่านข้อความที่หมวยลี่พิมพ์ตอบไปเลย เขาเลือกเมินและบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่สนใจคำปฏิเสธ
โทรศัพท์ในมือถูกเก็บลงในกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ขายาว ก่อนใบหน้าหวานจะหันไปบอกกับลูกสาวของแม่บ้านอีกคน
“พี่จูน ลี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
“ได้สิ เดี๋ยวพี่ช่วยดูต่อให้”
จูนเองก็มาคอยช่วยงานอีกแรงเช่นเดียวกัน หลังพูดจบหมวยลี่ก็เดินแยกออกมา ร่างเล็กเป็นแบบนี้บ่อยครั้ง ปฏิเสธเขาทีไรสุดท้ายก็มักจะทำตาม และค่ายเองก็คงรู้ดีว่าเธอจะต้องไปหาเขาอย่างแน่นอน
เรียวขาก้าวเดินไปพร้อมความคิด ว่าทำไมค่ายถึงต้องเรียกขึ้นไปบนดาดฟ้าในเวลานี้ บางทีก็ทำอะไรโดยไม่กลัวใครจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขา เหมือนไม่ได้จงใจปิดบัง แต่ก็ไม่ได้เปิดเผย
เมื่อเดินพ้นผ่านประตูของชั้นดาดฟ้าก็เจอกับแผ่นหลังกว้างของร่างสูงที่ยืนรออยู่ ค่ายกำลังสูบบุหรี่ กลุ่มควันสีขาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณตรงเขายืน หมวยลี่ที่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เอาซะเลยกำลังเดินเข้าไปหากลุ่มควันนั้น
ดวงตากลมทอดมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้า ขณะก้าวขาเข้าไปใกล้ทีละน้อย ทว่าเท้ากลับต้องหยุดชะงัก เมื่อเสียงทุ้มของเขาดังแว่วมา ดูเหมือนค่ายกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคน
“ตามต่อไป อย่าให้รู้ตัว”
“อืม”
ร่างเล็กไม่รู้ว่าเขากำลังคุยอยู่กับใคร แม้จะได้ยินเพียงประโยคสั้น ๆ กลับสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงเข้มขรึม บ่งบอกถึงอารมณ์ที่คลุกรุ่น มีรังสีบางอย่างแผ่คลุมอยู่รอบตัว จนเธอรู้สึกกังวลใจที่จะก้าวเดินไปใกล้
แต่ในจังหวะนั้น จู่ ๆ ใบหน้าคมคายก็หันมา หลังจากวางสายแล้ว
“มาตั้งแต่เมื่อไร?”
“เมื่อกี้ค่ะ”
“เดินมานี่สิ” ค่ายสูบอัดสารนิโคตินเข้าหนัก ๆ ก่อนจะพ่นควันคลุ้งออกมา แล้วดีดมวนบุหรี่ลงพื้น
ดวงตาคู่คมจับจ้องปลายไฟสีแดงบนพื้นครู่หนึ่ง คล้ายมีความคิดแล่นเข้ามาในหัว แต่แล้วเขาก็ดับอารมณ์ที่วูบมากลางใจนั้นด้วยการใช้เท้าบดขยี้จนประกายไฟมอดดับ
“ให้ลี่ขึ้นมาทำไมคะ”
“เอ้าท์ดอร์หน่อยไหม”
“…” คำพูดพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจนั้นมีผลต่อการสั่นไหวของหัวใจดวงน้อย เธอไม่ได้ตอบกลับ เพียงแค่นิ่งเพราะทำตัวไม่ถูก
หมับ! แขนแกร่งคว้าโอบเอวบาง ดึงรั้งร่างเล็กมาแนบชิดกับแผงอกของตัวเอง พลางโน้มใบหน้าลงไปใกล้ ๆ จนปลายจมูกแตะพวงแก้มเนียน กลิ่นเย็น ๆ ของบุหรี่ที่ผสานกับลมหายใจอุ่นยามเป่ากระทบลงมา ทำให้หมวยลี่เริ่มมวนท้อง
“อย่าค่ะ ลี่ต้องรีบไปช่วยพี่จูนตรวจงาน”
“เอากับฉันไปแล้วแท้ ๆ อย่าเล่นตัวให้มากนัก”
ร่างกายชาวาบ หูอื้อไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินถ้อยคำที่ไม่แม้แต่จะคิดถึงใจคนฟังหลุดออกมาจากปากของค่าย มันตรงเกินไปจนเธอตั้งรับไม่ทัน
“… ทำไมเฮียพูดแบบนี้”
“หรือไม่จริง อย่าทำเหมือนไม่เคยเอากันไปหน่อยเลย”
ร่างเล็กผลักตัวออก พอจะรับรู้ได้ว่าตอนนี้ค่ายกำลังหงุดหงิด แต่เธอไม่ใช่ต้นเหตุนั้นอย่างแน่นอน และไม่ชอบที่เขานำมันมาลงกับเธอที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสักนิด
“ถ้าอารมณ์ไม่ดีอยู่ก็อย่าเอามาลงกับลี่” แขนเล็กดันแผงอกของเขาเบา ๆ พลางขยับถอยห่าง ดวงตาสั่นไหว แต่ยังยืนยันหนักแน่น “ลี่ไม่ชอบ”
ค่ายพ่นลมหายใจอย่างหัวเสีย อารมณ์เดือดพล่านยิ่งกว่าเดิมหลังได้ฟังคำพูดจากร่างเล็ก ไม่ต่างจากที่เธอคาดไว้ เขากำลังระบายความขุ่นเคืองใส่เธออย่างไม่มีเหตุผล
และสิ่งที่ต้องการจากเธอคือทำให้อารมณ์เย็นลงแต่กลับกลายเป็นยิ่งเติมเชื้อให้ไฟในใจเขาลุกโชนขึ้น
“ไปซะ” เสียงทุ้มสบถคำไล่อย่างไม่ไยดี
ร่างเล็กกำมือแน่น มองคนตรงหน้าที่แสดงความไม่สบอารมณ์ออกมาอย่างเปิดเผย พอไม่ได้ดั่งใจก็เอ่ยปากไล่
“ใครเหรอคะที่มีอิทธิพลกับเฮียขนาดนี้ อยากให้ลี่ลองเดาเล่น ๆ ดูไหม”
“เงียบ!! จะไปไหนก็ไป ก่อนที่ฉันจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้” เสียงตวาดดังลั่นขึ้น บอกชัดว่าเวลานี้เขาไม่ต้องการเห็นหน้าเธออีกต่อไป
ความรู้สึกเย็นวาบลามไปทั่วทั้งร่างกาย ดวงตาแดงก่ำปริ่มหยดน้ำที่ตีตื้นขึ้นมา แต่พยายามกลั้นเอาไว้ ค่ายในตอนนี้ ดูไม่เหมือนผู้ชายที่ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวเลย
“เพิ่งเริ่มเอง อย่าใจร้ายใส่กันขนาดนี้สิคะ ลี่เจ็บ” เธอเอ่ยถ้อยคำนั้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แทนที่จะได้รับความสนใจแต่ไม่ใช่เลย อีกฝ่ายกลับเมินเฉย
ร่างเล็กก้มหน้าปาดน้ำตาเดินกลับจากชั้นดาดฟ้า เธอเอาแต่ก้มมองพื้นสะอื้นไห้จนไม่ได้สังเกตว่าเพิ่งเดินสวนกลับใคร ล่าที่กำลังจะทักทายต้องเงียบปากเมื่อเห็นเธอเดินผ่านไปโดยไม่เงยขึ้นมามอง
หมวยลี่เดินมาหลบมุมบันไดหนีไฟที่ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมา ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความน้อยอกน้อยใจ เสียงสะอื้นเล็ดลอดเบา ๆ ความเจ็บปวดแผ่กระจายไปทั่วอก นานเกือบยี่สิบนาทีที่เธออยู่ตรงนี้ จมกับความเสียใจ