"เรื่องบ้าอะไรกันล่ะเนี่ย"
คนงามตะโกนก้องในใจ ความสับสน มึนงง และไม่อยากจะเชื่อในเรื่องตรงหน้าผุดขึ้นมาในความรู้สึก ทั้งยังบอกกับตัวเองว่าเรื่องแบบนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้แน่
ใช่...ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว
“ขอกระจกให้ฉันหน่อยค่ะ”
คำร้องขอสั้นๆของหญิงสาว ทำเอาบรรยากาศในห้องเงียบกริบราวกับถูกดูดกลืนเสียงไปในชั่วพริบตา สองชายที่ยืนคนละมุมของห้องต่างชะงักมองหน้ากันครู่หนึ่งด้วยความงุนงงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่เข้าใจเหตุผล แต่หมอไรเฟิลก็เลือกจะทำตามคำขอนั้นโดยไม่ซักถาม เขาหยิบกระจกเงาบานเล็กจากโต๊ะข้างเตียง ยื่นให้ด้วยมือที่นิ่งพอจะบ่งบอกถึงความระวัง
ปลายนิ้วค่อยๆพลิกกระจกขึ้น สะท้อนแสงจากหลอดไฟสีขาวนวลเหนือศีรษะ ก่อนที่ภาพในนั้นจะฉายใบหน้าของหญิงสาวผู้หนึ่งกลับมาให้เห็นเต็มตา
วินาทีนั้นเอง...
ร่างของเธอก็เหมือนถูกตัดขาดจากโลก สองขาไร้เรี่ยวแรงลงในพริบตา ปล่อยกายให้ทรุดฮวบลงบนขอบเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง หอบหายใจเบาๆ ราวกับลมหายใจกำลังติดขัด
ไม่ใช่เธอ…
ไม่ใช่ดวงหน้าที่เธอคุ้นเคยมาตลอดชีวิต ไม่ใช่กรอบหน้า รูปคิ้ว หรือแม้แต่ไฝจางๆ ตรงปลายคางที่เคยอยู่กับเธอมานาน
ทุกอย่างในกระจกนั่น...คือผู้หญิงอีกคน หญิงสาวหน้าสวย แต่เธอไม่รู้จักเลยสักนิด ดวงตากลมโตเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงโครมครามเหมือนจะหลุดออกมานอกอก ความรู้สึกช็อกซัดกระแทกจนแทบไม่สามารถหายใจได้อย่างเป็นจังหวะ
‘ไม่จริง…’
‘นี่เราอยู่ในร่างคนอื่นเหรอเนี่ย?’
‘เป็นไปได้ยังไงกัน…’
เสียงกรีดร้องในใจดังลั่นอย่างไร้เสียง เธออยากจะตะโกน อยากจะข่วนผิวหน้าตัวเองออก อยากจะสะบัดร่างนี้ทิ้งเหมือนเสื้อผ้าของคนแปลกหน้า แต่มันก็คือร่างที่เธอกำลังหายใจอยู่ตอนนี้ มันคือมือของเธอ ใบหน้าของเธอ ร่างกายที่คนอื่นเรียกว่า “เรนเดียร์”
“เล่นละครอะไรอีก?” น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดเกินคำว่าห้องพักฟื้น
เวสเปอร์ยักไหล่เล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าไม่ได้มีความอบอุ่นแม้แต่นิด มีเพียงแววตาราบเรียบและเย็นเยียบ ราวกับกำลังมองการแสดงงี่เง่าของใครบางคนบนเวทีราคาถูก
“นี่ ไม่ต้องพยายามหรอกนะ ฉันไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้น” เขาเอ่ยพลางกวาดตามองหญิงสาวที่ยังนั่งอึ้งบนเตียงคนไข้ “ที่มานี่ก็แค่อยากดูว่าเป็นยังไงบ้างเท่านั้น แต่เห็นว่าเธอมีคนดูแลดีก็ชื่นใจหน่อย…จะได้ไม่ต้องมาเรียกร้องความสนใจโง่ๆ อีก”
คำพูดนั้นเหมือนมีดทื่อๆ ที่จงใจกรีดซ้ำลงบนแผลสด ทั้งเหยียบย่ำ ทั้งสบประมาทแบบไม่แคร์ว่าจะมีใครเจ็บ และก่อนที่ถ้อยคำดูแคลนจะได้ซึมลึกไปมากกว่านั้น...
“มึงหยุดพูดจาดูถูกเธอได้แล้วนะ!! ไม่อย่างนั้นกูไม่ปล่อยมึงไว้แน่!!” เสียงตวาดดังกึกก้องฉีกความเย็นเยียบในห้องออกเป็นเสี่ยง หมอไรเฟิลที่เงียบมาตลอดระเบิดอารมณ์ในพริบตา ดวงตาเบื้องหลังแว่นวาวโรจน์ราวกับเปลวไฟพุ่งขึ้นกลางใจ มือหนาคว้าคอเสื้อสูทของเวสเปอร์อย่างไม่รีรอ แรงกระชากหนักแน่นพอจะทำให้ชายผู้เป็น “มาเฟียผู้ทรงอิทธิพล” ผงะไปครึ่งก้าว
แต่อีกฝ่ายไม่ได้สะท้านแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มบางที่แตะมุมปาก เหมือนกำลังยั่วโมโหอีกฝ่ายให้โกรธจนลืมตัว
“พูดความจริงก็ทำเป็นรับไม่ได้” เสียงทุ้มต่ำทอดอย่างไม่ทุกข์ร้อน ริมฝีปากหยักยกยิ้มเหยียดขณะพูด ราวกับทุกถ้อยคำที่เขาเอื้อนเอ่ยนั้นเป็นแค่เรื่องสนุกที่เขาไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
เวสเปอร์เหลือบตามองหมอไรเฟิลที่ยังยืนนิ่งอยู่ด้วยแววตาเย้ยหยัน ก่อนจะเบือนกลับไปทางหญิงสาวที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงราวกับร่างไร้วิญญาณ
“เอาเถอะ ยังไงฉันก็หมดธุระแล้ว ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอก็ได้” เขายักไหล่เบาๆ พลางหันหลังไปทางประตู แต่เสียงเย็นชาก็ยังแทรกกลับมาอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้า
“ส่วนเธอ…” เขาหยุด หันกลับมาสบตากับหญิงสาวตรงๆ น้ำเสียงของเขาเจือแววรื่นรมย์ราวกับการเล่นสนุกในเกมที่เขาเป็นผู้ควบคุม
“ถึงเราจะหย่ากันแล้ว แต่ถ้าเธออยาก..."
"..."
"...เจอฉันเมื่อไหร่ ก็โทรมาได้ตลอดนะ”
ราวกับซ้ำเติม เขาทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนที่มันจะขยายกลายเป็นเสียงหัวเราะเต็มเปี่ยมด้วยความพึงพอใจที่ก้องกังวานไปทั่วห้องพักฟื้นอันเงียบงันของโรงพยาบาล
เวสเปอร์หมุนตัวเดินออกไปโดยไม่เหลียวกลับ แม้แต่นิดเดียว ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันอึดอัด กับความเจ็บใจที่อัดแน่นจนไม่อาจระบายออกเป็นคำพูดของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
หมอไรเฟิลกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาว นัยน์ตาวาวโรจน์ยังจับจ้องไปยังประตูที่ถูกปิดไปแล้ว ขณะที่หญิงสาวบนเตียงนั่งนิ่ง ราวกับยังจมอยู่ในเงาเสียงของคนที่เพิ่งเดินจากไป
‘อะไรมันจะซวยขนาดนี้วะ’ เสียงคิดในใจของหญิงสาวดังลั่นก้องหัว คล้ายจะตะโกนใส่โชคชะตาให้ได้ยิน
‘โดนสวมเขาก็ว่าเจ็บพอแล้วนะ...ยังจะมีหน้ามาตายอีก แล้วฟื้นขึ้นมาในร่างใครก็ไม่รู้เนี่ย!’
เธอขมวดคิ้วแน่น พลิกหน้ากลับไปมองเงาสะท้อนจากกระจกเงาเล็กในมืออีกครั้งราวกับอยากยืนยันซ้ำสามว่านี่มันไม่ใช่ฝันร้าย
ไม่ใช่เธอ…ยังไงก็ไม่ใช่!!!
‘หมอนั้นก็อีกคน’ เธอเบะปากในใจ พลางเหลือบตามองไปทางประตูที่เวสเปอร์เพิ่งเดินจากไป ‘ปากเสียแบบนั้น ใจร้ายแบบนั้น...เจ้าของร่างเดิมนี่ทนมากี่ปีวะ ถึงยังไม่บ้าตายไปซะก่อน’
ความหงุดหงิดแทรกซึมเข้าแทบทุกอณูและแม้จะเต็มไปด้วยคำถามนับพันหมื่น ทั้งเรื่องของร่างนี้ ตัวตนเก่า ชีวิตที่ไม่ใช่ของเธอ และบรรดาผู้ชายประหลาดที่โผล่เข้ามาเหมือนบทละครพิลึกๆ
แต่ถึงอย่างนั้น...สุดท้ายหญิงสาวก็ทำได้แค่ถอนหายใจแรงๆ ออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมเหวี่ยงตัวนอนตะแคงบนเตียงผู้ป่วยราวกับยอมจำนนให้กับทุกความงงงวยที่ไม่มีคำตอบ
‘เอาเถอะ...’
‘ถึงจะอยากออกจากร่างนี้มากแค่ไหน…ก็คงทำไม่ได้อยู่ดี’
เธอหลับตาลงช้าๆ แพขนตาสั่นไหวกับลมหายใจอุ่นๆ ที่พ่นออกมาด้วยความอ่อนล้า
‘อยู่ๆ ไปก่อนก็แล้วกัน…จะได้รู้ว่าสวรรค์จะเล่นตลกอะไรอีก’