หมอหลวงกู้ถูกตามตัวมาอย่างเร่งรีบ หลังจากตรวจอาการหลี่อวี้หลันอย่างละเอียดแล้ว เขาเพียงขมวดคิ้วนิ่วหน้าเดินออกมาตรงห้องโถงของเรือนหลันเซียง ประสานมือกล่าว “อาการป่วยของคุณหนูรองนับว่าประหลาดยิ่ง การไหลเวียนของโลหิตแม้จะสมดุลดีแต่ก็มีบางอย่างที่น่าประหลาด”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ยามนี้ภายในเรือนหลันเซียงนอกจากนายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าและคุณชายรองที่อยู่สำนักศึกษาแล้ว เจ้านายทุกคนล้วนอยู่กันครบ และคนที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมก็คือซื่อจื่อ
“ไม่ปิดบังพวกท่าน แม้แต่ข้าที่ศึกษาวิชาแพทย์มาเกือบสามสิบปีก็ยังไม่เคยพบเจอชีพจรเช่นนี้มาก่อน” หมอหลวงกู้เป็นหมอหลวงในสำนักหมอหลวงที่มีชื่อเสียงด้านการรักษามากที่สุดในเมืองหลวง ปกติแล้วเขารักษาให้เพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้น แต่เพราะในอดีตเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับหย่งผิงโหวจึงยอมตกปากรับคำมาตรวจอาการให้ คาดไม่ถึงว่าอาการของคุณหนูรองหลี่กลับทำให้หมอหลวงผู้มีวิชาแพทย์สูงส่งเช่นเขาถึงกับงงงัน
“ท่านจะบอกว่าอาการของยายหนูรองรักษาไม่ได้งั้นรึ?” ตอนที่ได้ยินสามีถามเช่นนี้ หรูซื่อถึงกับร้องไห้โฮออกมา จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องของบุตรสาวอย่างไม่รั้งรออีกต่อไป
สีหน้าของทุกคนเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม หมอหลวงกู้ตรึกตรองชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าตอบ “ยามนี้ร่างกายคุณหนูรองอ่อนเพลียเพราะกระอักโลหิตติดต่อกันมาหลายวัน ข้าจะเขียนเทียบยาบำรุงโลหิตให้ ลองกินยาสักสามเทียบแล้วข้าจะมาตรวจให้ใหม่ หากยังไม่ดีขึ้นข้าจะลองค้นหาวิธีรักษาจากตำราแพทย์เกี่ยวกับโรคประหลาดอื่น ๆ ดู”
นายท่านโหวยังคงไม่คลายสีหน้ากังวลลง เขายกมือประสานคำนับ “รบกวนท่านหมอหลวงกู้ช่วยรักษาบุตรสาวข้าด้วย นางเป็นลูกของข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องรักษานางให้ได้”
หลังจากส่งหมอหลวงกู้กลับไป ภายในเรือนหลันเซียงตกอยู่ในความเงียบสงบ นายท่านโหวสั่งให้คนไปเรียกตัวไป๋เยามา เวลานี้นางกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องหน้าเขา ท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่น
“พูดมา คุณหนูของเจ้าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“ระ เรียนท่านโหว ตั้งแต่คุณหนูรองล้มป่วยเมื่อครั้งก่อนก็เริ่ม… เริ่มกระอักเลือดทุกวันเลยเจ้าค่ะ” ไป๋เยาเป็นคนขี้กลัว นางจึงก้มหน้าเล่าไปตามความจริง
“กระอักเลือดทุกวัน?” เสียงนี้เป็นเสียงของหลี่ซวนหยวน เขานั่งถัดจากบิดาโดยมีหลี่ฝูหรงนั่งอยู่ด้านข้าง นางเพิ่งกลับมาถึงจวนจึงยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมาก แม้จะไม่เข้าใจอยู่บ้างแต่ก็ยังติดตามทุกคนมาที่จวนหลันเซียงเพื่อเฝ้าดูอาการของน้องสาวต่างมารดาเช่นกัน
“เจ้าค่ะ หลังจากคุณหนูรองฟื้นขึ้นมาได้เจ็ดวันก็กระอักเลือดออกมา ตอนนั้นฮูหยินตามท่านหมอหลวงจางมาตรวจอาการแต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ทว่าคุณหนูก็ยังกระอักเลือดอยู่ทุกวัน วันละหนึ่งครั้ง เป็นเช่นนั้นได้สามวันจนถึงวันที่สี่คุณหนูก็ไม่ได้กระอักเลือดอีกเจ้าค่ะ ตอนแรกบ่าวคิดว่าคุณหนูคงหายดีแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นอีกเจ็ดวันคุณหนูก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง” ไป๋เยาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมาอย่างละเอียดโดยไม่มีขาดตกบกพร่อง ทุกคนนั่งฟังคำบอกเล่าด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน
หลี่ซวนหยวนขมวดคิ้ว พยายามเรียบเรียงคำบอกเล่าของไป๋เยาในหัว แววตาเคร่งขรึมกว่าเดิม “เจ้าจะบอกว่าน้องรองกระอักเลือดติดต่อกันสามวัน จากนั้นก็หายดีไม่มีอาการกำเริบอีก ทว่าเจ็ดวันต่อมากลับกระอักเลือดอีกครั้ง ข้าพูดถูกหรือไม่?”
ไป๋เยาพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นน้องรองกระอักโลหิตมากี่วันแล้วหรือ” หลี่ฝูหรงพอจะเข้าใจเรื่องราวบ้างแล้ว จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“วะ วันที่สามแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่ซวนหยวนสบตากับบิดา นายท่านโหวยังไม่คลายสีหน้ากังวล สายตามองไปทางประตูห้องของบุตรสาวคนรอง เสียงร่ำไห้ของหรูซื่อเงียบไปแล้ว ไม่รู้ว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขารู้สึกไม่วางใจจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในห้อง
“พี่หญิงรองจะตายหรือไม่?” เสียงราบเรียบดังขึ้นหลังจากนายท่านโหวเดินเข้าห้องไปแล้ว หลี่ซวนหยวนหันมองน้องชายคนเล็ก สีหน้าของหลี่ซุนยวนเรียบเฉย ทว่าแววตาแฝงความกังวลเล็กน้อยก่อนมันจะกลับมาเรียบนิ่งไร้อารมณ์ไม่สมกับเป็นเด็กวัยแปดขวบเลยสักนิด
“พูดอะไรน่ะยวนเอ๋อร์ พี่หญิงรองร่างกายแข็งแรง จะเป็นอะไรไปได้อย่างไร” หลี่อิงเหยาเอ่ยปรามไม่เต็มเสียงนัก ปกตินางเป็นคนพูดน้อย มีนิสัยขี้ขลาดไม่สู้คนจึงมักถูกหลี่อวี้หลันรังแกอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้เคียดแค้นชิงชังอะไร เพียงแค่ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตอยู่ในเรือนของตนอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว และรอแต่งออกไปก็พอแล้ว
“หากพี่หญิงรองแข็งแรงจริงก็คงไม่กระอักเลือดออกมามากเพียงนั้นหรอก” หลี่ซุนยวนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากเรือนหลันเซียงไป หลี่อิงเหยาไม่ค่อยสนิทกับพี่น้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าหลี่ซุนยวนกลับ นางจึงลุกขึ้นยืนและขอตัวกลับเรือนเช่นกัน
หลี่ฝูหรงมองตามคนทั้งสอง แววตาหมองหม่นลง เมื่อรู้สึกถึงสายตาจากคนข้างกายจึงหันกลับมาฝืนยิ้มให้เขา
“น้องยังไม่ได้คารวะท่านพี่เลยเจ้าค่ะ” กล่าวจบนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วยอบกายคำนับหลี่ซวนหยวนด้วยท่วงท่านอบน้อมยิ่ง “หรงเอ๋อร์คารวะท่านพี่”
หลี่ซวนหยวนมองน้องสาวร่วมมารดาด้วยแววตาอ่อนโยน นับตั้งแต่มารดาจากไป เขากับน้องสาวที่เพิ่งเกิดก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่ารับไปเลี้ยงดูที่เรือนฮุ่ยเซียง สองพี่น้องเติบโตมาด้วยกัน เขาจึงรักและผูกพันกับน้องสาวคนนี้มาก เพราะช่วยท่านย่าเลี้ยงดูมากับมือ
เมื่อหนึ่งปีก่อนตอนเกิดเรื่องกับหลี่ฝูหรง ยามนั้นเขาไม่ได้อยู่เมืองหลวงจึงไม่ได้ปกป้องนางให้ดี กว่าจะกลับมาก็พบว่านางถูกส่งตัวไปอารามชีได้สามเดือนกว่าแล้ว
แม้จะแค้นใจที่รู้ว่าความผิดของหลี่ฝูหรงในตอนนั้นโดนใส่ร้ายป้ายสี แต่กลับไม่มีหลักฐานใดมาเอาผิดคนทำได้ เขาจึงทำได้เพียงเก็บกดความขุ่นเคืองเอาไว้ในใจ และส่งคนไปคอยคุ้มครองน้องสาวที่อารามชีตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาแทน
ยามนี้เมื่อได้พบหน้ากับน้องสาวอีกครั้ง ความรู้สึกรักและห่วงใยในอดีตหวนคืนมา ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมพลันอ่อนโยน “อืม เจ้ากลับมาแล้ว”
หลี่ฝูหรงแย้มยิ้ม “เจ้าค่ะ น้องกลับมาแล้ว”