“ผู้น้อยมิกล้า”
หลังจบบทสนทนาของคนทั้งคู่ ชายชุดน้ำเงินเดินย้อนกลับไปขึ้นหลังม้า ก่อนออกตัวเดินนำหน้ารถม้าหรูหราคันนั้น ช่วงจังหวะที่รถม้ากำลังเคลื่อนผ่านจุดที่หลี่อวี้หลันยืนอยู่ สายลมหอบหนึ่งพัดม่านเนื้อดีข้างหน้าต่างรถม้าพลิ้วไหวขึ้นพร้อมกับผ้าแพรโปร่งของหมวกคลุมหน้าของนาง
ใบหน้างดงามสะคราญโฉมล่มบ้านล่มเมืองปรากฏสู่สายตาของผู้สูงศักดิ์บนรถม้าภายในพริบตา ก่อนม่านจะปิดลงพร้อมกับผ้าแพรโปร่งที่ตกลงปิดบังความงดงามเช่นกัน
ชั่วขณะนั้นร่างสูงซึ่งกำลังเอนกายอย่างเกียจคร้านอยู่ภายในรถม้าถึงกับตะลึงงัน สองตาจับจ้องผ้าม่านนิ่งค้างไปแล้ว
หลี่อวี้หลันเก็บสายตาจากหน้าต่างรถม้ากลับมา เมื่อครู่นางเห็นม่านหน้าต่างเปิดขึ้นแต่ไม่ทันได้มองคนด้านในให้ชัดก็ถูกม่านปิดทับลงมาเสียแล้ว นางทันได้สบดวงตาหงส์งดงามคู่หนึ่งเพียงแวบเดียวเท่านั้น แม้จะเพียงครู่เดียวแต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจชวนให้คนรู้สึกหวาดเกรงเปล่งประกายออกมาจากนัยน์ตาคู่งามนั้น
นึกแล้วก็แอบเสียดายจริง อุตส่าห์บังเอิญได้พบผู้สูงศักดิ์มากอำนาจบารมีล้นฟ้าในต้นฉบับทั้งที
จริงสิ กล่าวถึงต้นฉบับก็ทำให้นางนึกขึ้นมาได้ เนื้อหาเรื่อง ‘ร้อยบุปผาพันจันทรา’ ก็มีตัวละครที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงกั๋วกงผู้มีอำนาจล้นฟ้าด้วยนี่นา
ประเดี๋ยวก่อนนะ… เมื่อครู่ตัวอักษรบนรถม้านั่นอ่านว่ากระไรนะ…
จ้าวใช่หรือไม่?
หลี่อวี้หลันสูดลมหายใจเข้าลึก ผินหน้ามองรถม้าหรูหราคันนั้นที่เคลื่อนตัวไปไกลหลายจั้งแล้วทว่าจู่ ๆ กลับจอดนิ่งกะทันหัน นางหรี่ตามองดูม่านหน้าต่างรถม้าค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ ด้วยปลายกล้องยาสูบ หัวใจดวงน้อยพลันเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก
แซ่จ้าว บรรดาศักดิ์กั๋วกง และยังถือกล้องยาสูบ…
ใต้หล้านี้มีเพียงคนผู้นั้นเพียงคนเดียวเท่านั้น… เจิ้นกั๋วกงจ้าวหลิง!
ตัวร้ายอันดับหนึ่งของมังฮวาเรื่องนี้!
ไม่ต้องตรึกตรองให้เสียเวลา หลี่อวี้หลันพลันหมุนกายเดินหนีออกจากบริเวณนั้นทันที นางรีบเดินหลบเข้ามาในตรอกเล็ก ๆ ข้างร้านแผงขายตำรา ทว่าเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกเสียงทุ้มต่ำเรียกรั้งจากด้านหลัง
“แม่นางโปรดรอสักครู่”
หญิงสาวรู้สึกเย็นวาบไปทั่วหนังศีรษะ นางรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง คิดว่าถูกตัวร้ายอันดับหนึ่งเจอตัวเข้าให้แล้ว ทว่าเมื่อหมุนกายกลับมาพบว่าผู้ที่เรียกรั้งนางไว้นั้นหาใช่ใครอื่นแต่เป็นหลี่ซวนหยวน พี่ชายใหญ่ของนางนั่นเอง
นางถอนหายใจออกมาหนึ่งคำรบ ยกมือลูบอกตัวเองสองสามที ชำเลืองมองชายหนุ่มตรงหน้าผ่านผ้าแพรโปร่ง หลี่ซวนหยวนยืนอย่างสง่างามอยู่ในชุดรองแม่ทัพรักษาการณ์เมืองหลวง
ใช่แล้ว… เขาก็คือรองแม่ทัพหลี่ผู้ที่ควบม้าสีน้ำตาลเข้มเข้ามาผู้นั้น นางจำเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้ว แต่นางไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนต่อหน้าเขาจึงไม่ได้เข้าไปทักทาย คาดไม่ถึงว่ากลับกลายเป็นเขาที่เข้ามาทักนางเสียเอง
“เจ้า… น้องหญิงรองงั้นหรือ?” พี่ชายใหญ่ของนางผู้นี้มีรูปโฉมหล่อเหลาองอาจ คิ้วดาบ ดวงตาคมปลาบเด็ดขาด ริมฝีปากแฝงความเย็นชา สีหน้าห้าวหาญสมเป็นชายชาติทหาร ทว่าท่าทางกลับสุภาพงามสง่าแผ่กลิ่นอายของปัญญาชน นับว่าเป็นความลงตัวของบู๊บุ๋นอย่างพอดิบพอดี และเขายังเป็นคุณชายเนื้อหอมที่คุณหนูวัยบุปผาผลิบานทั่วเมืองหลวงต่างคะนึงหาครองคู่ ทว่าเขากลับไม่ได้สนใจเรื่องแต่งงานเลยสักนิด
ไป๋เยาเล่าให้ฟังว่าหลังจากเขาเข้าพิธีสวมกวานก็เอาแต่บอกปัดฮูหยินผู้เฒ่าเรื่องหาคู่หมายอยู่หลายครั้งหลายคราโดยให้เหตุผลว่าช่วงนี้กำลังยุ่งอยู่กับงานรักษาการณ์เมืองหลวง เกรงว่าจะยังไม่มีเวลาให้กับว่าที่ภรรยาในอนาคต ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รักใคร่เอ็นดูหลานชายคนโตซึ่งเลี้ยงดูมากับมือผู้นี้อยู่แล้ว จึงไม่ได้บังคับฝืนใจเรื่องแต่งงานกับเขาอีก
เนื้อเรื่องต้นฉบับพี่ชายใหญ่ผู้นี้ชิงชังน้องหญิงรองของเขาอย่างยิ่ง คิดจะสังหารนางหลายครั้ง แต่ถูกหลี่ฝูหรงขัดขวางห้ามปรามทุกครั้งไป
หลี่อวี้หลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมาฉับพลัน เมื่อนึกถึงเรื่องชายตรงหน้าคิดจะสังหารตนในอนาคต คำว่า ‘เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร’ ผุดเข้ามาในสมอง จึงตัดสินใจเปิดผ้าแพรโปร่งออก ช้อนดวงตาเมล็ดซิ่งคู่งามขึ้นมอง ริมฝีปากประดับรอยยิ้มน้อย ๆ ยอบกายคำนับอย่างนุ่มนวล น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยแผ่วเบา “น้องรองคารวะพี่ชายใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านพี่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรหรือเจ้าคะ?”
หลี่ซวนหยวนรู้สึกประหลาดใจกับท่าทางนุ่มนวลอ่อนหวานรู้มารยาทของน้องสาวคนรองตรงหน้าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสรรพนามที่นางใช้เรียกแทนตัวกับเขา ปกติแค่จะพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงดี ๆ สักครึ่งประโยคยังหาได้ยาก นับประสาอะไรกับการเรียกตนเองว่าน้องรองด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานน่าฟังเช่นนี้กัน
“ข้าต่างหากต้องถามเจ้า เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ไม่ใช่ว่าเมื่อเช้าเจ้าเพิ่งจะกระอักเลือดจนนอนป่วยอยู่บนเตียงหรอกหรือ?” เขาค้นพบว่าน้ำเสียงตัวเองอ่อนลงอย่างน่าประหลาด ถึงจะเรียบนิ่งแต่ก็ไม่ได้เย็นชาแข็งกระด้างอย่างที่ควรเป็น
หลี่อวี้หลันรู้สึกได้เช่นกัน รอยยิ้มบนริมฝีปากกดลึกน่ามองยิ่งขึ้น ใบหน้างามพิสุทธิ์นุ่มนวลแฝงความซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด นางทาบมือลงบนหน้าอกพลางไอเบา ๆ สองที “น้องดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่หลายวันก่อนตอนล้มป่วยน้องไม่มีอะไรทำจึงวาดแบบชุดขึ้นมาสองสามชุด วันนี้เกิดใจร้อนอยากรีบตัดชุดเร็ว ๆ จึงขออนุญาตท่านแม่ออกมาหอรุ่ยอี้ หลังจากสั่งงานเสร็จก็ตั้งใจว่าจะกลับแต่เดินหลงเข้ามาในนี้เสียก่อนเจ้าค่ะ”
คำบอกเล่าของนางชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าจริงจังไร้แววเสแสร้ง หลี่ซวนหยวนผู้เป็นถึงรองแม่ทัพรักษาการณ์เมืองหลวงย่อมมีฝีมือล้ำเลิศในด้านสังเกตสีหน้าผู้คน หลังจากกวาดสายตามองดวงหน้างามล้ำสะคราญโฉมหนึ่งทีจึงเก็บสายตากลับ มองไปทางหน้าตรอกพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้าจวนโหวจอดอยู่หน้าหอรุ่ยอี้แล้ว” ชายหนุ่มหมุนตัวหันหลังเดินออกจากตรอก เมื่อรู้สึกว่านางไม่ได้ก้าวเท้าตามมาเขาจึงหยุดฝีเท้าหันกลับไปมอง “ตามมาสิ ข้าจะพาเจ้าไปส่ง”
ผ้าแพรโปร่งถูกดึงลงพร้อมกับรอยยิ้มเต็มแก้มบนใบหน้างาม นางรีบก้าวตามหลังผู้เป็นพี่ชายไปติด ๆ จะกล่าวหาว่านางคิดเข้าข้างตนเองก็ได้ แต่นางค่อนข้างมั่นใจว่าความเย็นชาของพี่ชายใหญ่ของนางผู้นี้เริ่มละลายลงบ้างแล้วกระมัง