“ทำไมต้องมาเสียตอนนี้ด้วยวะ กูบอกให้มึงเอารถไปเช็กก่อนเอามาคืนกูไง”
“ขอโทษกูลืม”
“แม่ง! แล้วรถเมล์คนเยอะจัดซะด้วยวันนี้” เสียงบ่นไม่หยุดของชายหนุ่มที่กำลังหัวเสีย ดังไปทั่วบริเวณ บิ๊กไบค์คันโปรดดันมาเสียเอาตอนที่เขากำลังจะไปเรียนพอดิบพอดี จึงทำให้ต้องระเห็จระเหินเดินมาขึ้นรถเมล์ที่แออัดในตอนเช้าแบบนี้
“มึงเสียค่าซ่อมเลยครั้งนี้”
“รู้แล้วเดี๋ยวกูจ่ายให้เองบ่นไรเยอะแยะวะไอ้เก่ง” เพื่อนสนิทของคนเก่งบ่นกลับ ตั้งแต่รถเสียจนถึงตอนนี้ที่มายืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์มันก็ยังไม่หยุดบ่น ไม่รู้ว่าปากมันจะว่างอะไรขนาดนั้นหรือเพราะอัดอั้นตันใจที่โดนพี่สาวบ่นมาแต่เช้ากันแน่
“มึงไม่รู้หรอกถ้าพี่สาวกูรู้เข้ามีหวังกูโดนบ่นจนหูชาอีกแน่”
“พี่คนดีไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อย”
“ลองมาอยู่บ้านกูสักวันไหม”
“หึ! ไม่เอา!! กูยอมไปนอนในป่าช้าฟังเสียงหมาหอนดีกว่าต้องมาฟังพี่มึงบ่น”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แล้วทำมาพูดนะมึง”
“คันนี้แหละไอ้เก่งขึ้นเลย”
นั่นแหละคือการขึ้นรถเมล์ครั้งแรกของเขา คนเก่ง หรือที่เพื่อนเรียกกันว่าไอ้เก่ง แต่สมองดันไม่เก่งสมชื่อ เขาเรียนอยู่ในระดับปานกลางเรียกว่าแค่ผ่านทุกวิชาได้ก็ถือว่าบุญหัวแล้ว จะได้ไม่โดนพี่สาวด่าเช้าเย็นตอนเห็นใบเกรด
เขามีพี่ชายหนึ่งคน ชื่อคนโปรดและพี่สาวหนึ่งคนชื่อคนดี ครอบครัวของเขาเปิดโรงเรียนสอนเทควันโด ทำให้เขามีวิชาติดตัวมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็นั่นแหละเขามันไม่เอาอะไรสักอย่างเรียกว่าเก่งแบบครึ่งๆ กลางๆ ซะมากกว่า
ตอนนี้เรียนวิศวะปีสอง รูปร่างหน้าตาไม่ต้องพูดถึง แค่ก้าวเท้าเข้ามหาลัยสาวๆ ก็กรี๊ดกันเป็นแถว เพราะความหล่อเหลาทรงแบดเกินห้ามใจ ส่วนเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไม่ต้องพูดถึงเพราะเขานะตัวพ่อในกันสับราง
“ขึ้นมาดิไอ้เก่ง” เสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้น ก่อนที่กวักมือเรียกคนที่ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับให้รีบขึ้นรถเมล์เพราะมีคนต่อแถวอยู่ด้านหลังอีกหลายคน
“แม่ง! ทำไมไปแท็กซี่วะ”
“ก็มึงลืมหยิบกระเป๋าตังมาเองช่วยไม่ได้”
“มึงก็จ่ายก่อนดิ”
“นี่พ่อหนุ่มจะขึ้นรึเปล่า ไม่ขึ้นก็หลบไป” เสียงของหญิงวัยกลางคนด้านหลังดังขึ้น คนเก่งหันกลับไปมองบนใส่ ทำให้ป้าไม่พอใจเดินชนเขาขึ้นรถเมล์แทบกระเด็น
“นี่ป้า! ชนคนอื่นไม่คิดจะขอโทษรึไง”
“ไอ้เก่งใจเย็นดิว่ะ”
“มึงก็ดูป้าดิ”
ข้อมือของคนเก่งถูกลากขึ้นไปบนรถเมล์ด้วยควาหงุดหงิด หนำซ้ำคนที่กำลังโมโหก็ถูกใครบางคนเดินชนเข้าที่แผ่นหลังอย่างจัง ก่อนที่เขาจะหันกลับไปจ้องด้วยสายตาเขม็ง เสียงขอโทษที่สั่นเครือเหมือนกำลังกลัวเขาเอามากๆ ไม่รู้จะกลัวอะไรทั้งที่ผู้หญิงคนอื่นคงดีใจแล้วที่ได้ใกล้เขาแบบแนบชิดขนาดนี้
เอี๊ยด!
รถเมล์เบรกอย่างแรงเพราะมีรถมอเตอร์ไซค์ขับตัดหน้า ทำให้คนบนรถเซตามๆ กันไป มือหนาของคนเก่งคว้าเอวคอดที่กำลังจะล้มเอาไว้ ทำให้สายตาของทั้งคู่สบประสานเข้าหากันอีกครั้ง
คนเก่งได้เห็นหน้าของหญิงสาวชัดๆ ก็คราวนี้ ทำให้เขาเผลอตกอยู่ในภวังค์โดยไม่ได้ตั้งใจ จ้องมองเธออยู่แบบนั้น จนรถเมล์เริ่มขยับอีกครั้ง ทำให้ทั้งคู่ได้สติขยับตัวออกห่างจากกันเหมือนเดิม
“ขับรถยังไงไม่ระวังเอาซะเลย” คนเก่งเอ่ยบ่นพึมพำ
“ตอนเช้าก็แบบนี้แหละค่ะ” เสียงหวานเอ่ยตอบเขาพร้อมส่งยิ้มให้ เธอกำลังขอบคุณเขาทางอ้อมโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ได้รึเปล่า
“ไม่ได้ถามแค่บ่น”
“คะ?”
“หันกลับไป เดี๋ยวรถเกิดเบรกอีกเธอจะล้มหัวทิ่ม”
“ขอบคุณที่ช่วยนะคะ”
“ไม่ได้อยากช่วยมือมันไปเอง แล้วทำไมไม่หาที่จับ”
“…” เธอไม่ได้เอ่ยตอบเขาแต่ส่งสายตาประมาณว่าจะให้เธอจับตรงไหน ทุกที่ล้วนมีมือคนอื่นจับจองหมดแล้ว
“งั้นก็ยืนดีๆ มาเดี๋ยวฉันจะช่วยจับไว้ ถือว่าทำบุญ”
“มะ...ไม่” กรุณากำลังจะปฏิเสธแต่ดูเหมือนจะช้ากว่าคนที่ใช้มือคว้าเอวของเธอให้ขยับเขามาแนบชิดแล้วจับไว้หลวมๆ อีกที
คนเก่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องแสดงท่าทีเห็นใจหญิงสาวตรงหน้าด้วย ทั้งที่คนบนรถก็ตั้งมากมาย เธอเซล้มได้คนอื่นก็เซล้มได้แต่เขากลับอยากปกป้องเธอซะงั้น
ทั้งสองยืนแนบชิดกันอยู่แบบนั้นร่วมครึ่งชั่วโมง จนในที่สุดรถเมล์ก็จอดป้ายหน้ามหาวิทยาลัย คนก็เริ่มทยอยลงกันเพราะส่วนใหญ่บนรถก็เป็นนักศึกษา
“ขอบคุณนะคะที่ช่วย” กรุณาโค้งศีรษะให้เขาเล็กน้อย แม้จะไม่ได้ขอให้เขาช่วย แต่ในเมื่อเขาช่วยเธอไปแล้วเธอก็ย่อมต้องขอบคุณตามมารยาท
“ไม่เป็นไร คราวหลังก็ระวังหน่อย”