บทที่ 01
เพราะเหล้าเป็นเหตุ [3]
ศิลาไม่เคยเห็นณาลัลน์ในมุมนี้มาก่อน ปกติแล้วณาลัลน์จะมีภาพลักษณ์เป็นผู้หญิงเรียบร้อย สวยหวานเหมือนพวกลูกคุณหนูที่หยิบจับอะไรไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ แพขนตาของเธอทั้งยาว งอนและหนาจนแทบไม่ต้องปัดมาสคาร่า ประกอบกับที่ดวงตาของเธอกลมบล็อกก็ยิ่งทำให้เธอดูเหมือนตุ๊กตา เธอเป็นคนมีแก้มมาตั้งแต่เด็กๆ เวลาที่เธอยิ้มโชว์แผงฟันขาวๆ ด้านหน้าที่เรียงตัวสวย แก้มของเธอก็จะตุ่ยออกมาจนถูกเขาแกล้งหยิกเบาๆ อยู่ตลอด
มาวันนี้เด็กหญิงณาลัลน์แก้มตุ่ยคนนั้นโตเป็นสาวสะพรั่งแล้ว มีทรวดทรงองเอวต่างจากเมื่อสมัยก่อนลิบลับ แต่ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนไป นั่นคือความสดใสร่าเริงที่น่าจะเป็นพรสวรรค์ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าใครที่ได้อยู่ใกล้เธอก็มักจะมีแต่รอยยิ้ม ไม่เว้นแม้แต่พ่อของเขา
“พี่จากัวร์มองอะไรคะ หน้าลัลน์มีอะไรติดอยู่รึเปล่า” ณาลัลน์เห็นเขามองอยู่นานจึงเอ่ยถามพลางยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของตัวเอง
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
“แน่นะคะ พี่จากัวร์อย่าแกล้งลัลน์นะคะ ให้ยัยข้าวต้มมันทำลัลน์ขายขี้หน้าคนเดียวก็พอค่ะ”
“จริงๆ ค่ะ” ศิลาย้ำยิ้มๆ
รู้ตัวว่าคืนนี้เขาจ้องมองใบหน้าของณาลัลน์บ่อยและแต่ละครั้งก็จะจ้องนานเป็นพิเศษ แต่พอเห็นเธอได้เป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่กับเพื่อน ยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับเพื่อนครั้งแล้วครั้งเล่าแบบที่ไม่กลัวว่าใครจะมองไม่ดี จนตอนนี้พวงแก้มที่เคยใสกำลังซับสีระเรื่อ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอมีเสน่ห์
“อีข้าว”
ยิ่งดึก สรรพนามของเพื่อนก็ยิ่งชัด แม้จะกลับไปกลับมาตามอารมณ์คนเรียก บางทีก็เรียกอีหนม บางทีก็เรียกอีข้าว โมโหหน่อยก็อีขนมต้ม
“องค์จะลงแล้วเว้ย”
“เปล่า จะบอกว่าเบามือหน่อย พรุ่งนี้ทำงาน”
“ใครทำ พรุ่งนี้วันหยุด แกทำโอทีเหรอ”
“อ้าว วันหยุดอะไร ทำไมฉันไม่รู้”
“โอ๊ย เขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าพรุ่งนี้วันหยุดประจำภาค”
ณาลัลน์หน้าแหกหมอไม่รับเย็บ เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกว่าทำเรื่องขายหน้าต่อหน้าศิลา แต่ไม่ว่าจะแอบหันไปมองเขาอายๆ กี่ครั้ง ก็มักจะเจอกับสายตาของเขาที่มองเธออยู่ก่อนแล้วเสมอ
“มิน่าล่ะพี่ถึงนั่งมองเฉยๆ ไม่กลัวว่าลัลน์จะตื่นไปทำงานไม่ไหว”
“ตามสบายค่ะ ต่อให้พรุ่งนี้เป็นวันทำงานแต่ถ้าเป็นน้องลัลน์ พ่อพี่ก็ไม่ไล่น้องลัลน์ออกหรอกค่ะ” ศิลาหยอกยิ้มๆ
“รู้สึกเหมือนกำลังถูกพี่ประชดยังไงก็ไม่รู้นะคะ”
“ไม่ไม่ได้ประชดค่ะ แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจพี่นะคะ นานแล้วเหมือนกันที่พี่ไม่ได้มาเห็นบรรยากาศแบบนี้” ศิลายืนยันด้วยน้ำเสียงใจดี
ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ณาลัลน์มองเห็นรอยยิ้มของเขาไม่ชัดนัก เธอกะพริบตาอยู่หลายครั้ง ใบหน้าแดงซ่านโดนเฉพาะโหนกแก้มที่แดงเด่นชัดกว่าบริเวณอื่น
“น้องลัลน์เมาแล้วใช่ไหม” ศิลาถามเสียงเข้มขึ้นนิดหน่อยแต่ไม่ได้มีเจตนาจะดุ แม้จำนวนแก้วจะไม่ได้น่ากลัวแต่สีของแต่ละแก้วนั้นเข้มจนเขาเองก็แอบประเมินเอาไว้ว่าเธอน่าจะนั่งดื่มได้ไม่เกินครึ่งคืน
“รู้สึกมึนหัวนิดหน่อยค่ะ” ณาลัลน์สารภาพเสียงอ่อย อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันไปรับแก้วเหล้าจากแพตตี้อีกรอบ
“ถ้าไม่ไหวบอกพี่นะคะ พี่จะพากลับ”
“ไหวค่ะ ยังไม่ได้ครึ่งทางเลย กลับตอนนี้ลัลน์เป็นหมาเลยนะคะ”
ศิลายิ้มให้คำตอบของเธออีกรอบ
“หมดแก้ว”
อืม ยิ่งดึกยิ่งคึกคักจริงๆ ศิลาจินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าหากเขาไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง แต่มีคนมาบอกว่าณาลัลน์คอแข็งขนาดนี้ เขาจะเชื่อดีหรือเปล่า แต่เชื่อสนิทใจเหลือเกินว่าหากเขาเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อของเขา พ่อของเขาจะต้องไม่มีทางเชื่อแน่นอน
“ขอโทษนะครับ พอดีมีลูกค้าโซนนั้นฝากเหล้ามา ขอชนแก้วกับคุณผู้หญิงน่ะครับ”
พนักงานของร้านมาพร้อมกับแก้ววอดก้าที่ยังคงวางอยู่ในถาด ปลายนิ้วชี้กลับไปที่ผู้ชายวัยทำงานสามสี่คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไปอย่างต้องการจะบอกว่าใครเป็นคนส่งมา
สายตาของศิลามองตามไปในทันที เพราะคุณผู้หญิงที่ว่าดูเหมือนจะเป็นณาลัลน์
“ฉันไม่รับเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้าค่ะ ขอไม่ชนด้วย”
“ได้ครับ”
“เดี๋ยวค่ะ ฉันเอง” แพตตี้รีบบอก ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแก้ววอดก้าในถาดมาดื่มจนหมดแก้วแล้ววางแก้วเปล่าคืนลงในถาด
“บอกเขาว่าคืนนี้คนนี้ไม่ว่าง แต่ฉันว่าง” ทิ้งท้ายด้วยการขยิบตาอย่างต้องการจะฝากสายตายั่วยวนไปให้ใครที่โต๊ะนั้น
“เดี๋ยวพอเขาจะเอาแกก็เล่นตัว”
“อ่อยไปก่อน เดี๋ยวเมาแล้วใจอ่อนเอง” แพตตี้สรุปสั้นๆ ก่อนจะชำเลืองหางตามองไปที่ผู้ชายโต๊ะนั้นอีกครั้ง ทำทีเป็นเล่นหูเล่นตาใส่ จนณาลัลน์ได้แต่ส่ายหัวเพราะรู้ดีว่าคนอย่างแพตตี้น่ะ เป็นเสือสาวที่ชอบหยอกเหยื่อให้อยากเล่นเท่านั้น เธอไม่เคยได้ยินเพื่อนคนนี้เรียกใครว่าคนคุยด้วยซ้ำไป
“อีลัลน์ เพลงโปรดมา” ข้าวต้มตะโกนบอกตั้งแต่ได้ยินอินโทรของเพลง สายตาลุกวาวจนศิลาต้องหันกลับมามองณาลัลน์ แต่กลับเห็นว่าเธอดีดตัวเองขึ้นจากโซฟาแล้ว
“ไปเอามา!” ณาลัลน์บอกอย่างฮึกเหิมพลางสะบัดปลายนิ้วสะเปะสะปะ บ่งบอกถึงระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่น่าจะสูงเกินขีดจำกัดแล้ว
แม้ศิลาจะตกใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ได้แต่นั่งมองเหตุการณ์เงียบๆ ยังทำอะไรไม่ได้และคิดว่าคงไม่มีอะไรอันตราย กระทั่งเห็นณาลัลน์รูดยางมัดผมออกออกจาเส้นผมอย่างตั้งใจจะปล่อยผมยาวๆ ให้สยายเต็มแผ่นหลัง ก่อนจะสะบัดหัวตัวเองสองสามครั้งราวกับกำลังเรียกสติ
แต่ที่น่าตกใจไม่ใช่ท่าทางร้อนแรงของณาลัลน์ที่เขาได้เห็นไปเมื่อครู่ หากแต่เป็นโต๊ะกลมที่ข้าวต้มมัดทิ้งความสาวไปยกมาตั้งตรงกลางฟลอร์นี่ต่างหาก
“น้องลัลน์คะ”
“ไม่ต้องไปห้ามมันหรอกค่ะพี่จากัวร์ เดี๋ยวจบเพลงมันก็ป๊อกไปเอง ถ้าพี่ห้ามมันตอนนี้งานหยาบเลยนะคะ” แพตตี้หันมาเตือน
แม้ศิลาจะยังไม่เข้าใจนักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนเคย สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คือการจ้องมองหญิงสาวที่กำลังดึงชายเสื้อออกมาจากเอวกระโปรง ผูกเป็นปมก่อนจะดึงมันขึ้นไปเหน็บเอาไว้กับขอบบราเซีย เผยให้เห็นหน้าท้องน้อยๆ ที่แม้จะไม่ได้แบนราบเสียทีเดียวเพราะเธอเพิ่งจะกินมาจนอิ่มแต่ก็ทำให้ศิลาถึงกับลอบกลืนน้ำลาย
เผลอแวบเดียวณาลัลน์ก็ก้าวขึ้นไปเหยียบบนเก้าอี้ที่ข้าวต้มมัดคนเดิมเลื่อนมารอแทนบันได จากนั้นเธอก็ก้าวขึ้นไปยืนเฉิดฉายอยู่บนโต๊ะ!
ศิลารู้สึกเหมือนหัวใจจะวาย ภาพที่ณาลัลน์ยืนอยู่บนโต๊ะตัวเล็กๆ นั่นแล้วหมุนตัวพลางส่งจูบไปรอบๆ ทำให้เลือดในร่างกายของเขาสูบฉีดไม่หยุด ยิ่งเห็นว่าสายตาของคนเกือบทั้งร้านพุ่งมาที่เธอ ส่งเสียงหวีดหวิวแซวเธอเขาก็ยิ่งเลิ่กลั่ก แต่การจะลุกขึ้นแล้วดึงเธอลงมา เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองสามารถทำได้หรือเปล่า
“สู้เขาอีลัลน์” ข้าวต้มมัดตะโกนเชียร์
จังหวะของเพลงเริ่มหนักขึ้น ไม่ต่างจากก้อนเนื้อในอกของศิลาที่กำลังเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเห็นว่าสายตาที่ณาลัลน์มองมาที่เขาเมื่อครู่ดูยั่วยวน แม้จะไม่แน่ใจว่าเธอเจาะจงมองเขาหรือเพราะบังเอิญว่าทำสายตาแบบนั้นตอนหมุนตัวมาตรงหน้าเขาพอดีเขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนที่กลางหน้าอกมีลูกไฟเล็กๆ กำลังปะทุขึ้นมา
ฟึ่บ!
“พี่เชื่อรึยังคะว่าไม่มีใครฆ่ามันได้นอกจากมันฆ่าตัวเอง” แพตตี้พูดขำๆ สายตามองตรงไปที่ณาลัลน์ที่เริ่มร่อนสะโพก
ณาลัลน์เป็นผู้หญิงรักสนุก แต่ไม่เคยเกินขอบเขต เวลาดื่มเธอจะดื่มเต็มที่ เต้นเต็มที่ เมาเต็มที่แบบที่ไปตื่นอีกทีบ่ายของอีกวัน แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็รู้ดีว่าลิมิตของเธออยู่แค่ไหน ผู้ชายที่จ้องเธอตาเป็นมันอยู่ตอนนี้ไม่มีทางได้เฉียดเข้าใกล้เธอแน่นอน ซึ่งหนึ่งในเหตุผลนั้นก็เพราะปิติ ผู้ชายที่คอยทำหน้าที่บอดี้การ์ดส่วนตัวให้เธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เขายังคงยืนมองทุกอย่างอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ คอยอำนวยความสะดวกแล้วปล่อยให้เธอสนุกจนหมดแรง จบเพลงค่อยเดินมาหิ้วเธอไปส่งที่รถของเพื่อนคนใดคนหนึ่ง แล้วแต่ว่าคืนนั้นจะนอนที่ห้องใคร
ปิติเป็นอีกคนหนึ่งที่เฝ้ามองณาลัลน์มาตลอด แต่เขาไม่เคยกล้าพอจะบอกความในใจกับเธอ ไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงยังไม่กล้า แล้วก็ยังไม่เคยมีความคิดที่จะทำแบบนั้นเลยสักครั้งเดียว
โดยปกติแล้วหลังจากปล่อยให้ณาลัลน์สนุกจนจบเพลง เขาจะเดินมารับเธอลงจากโต๊ะเพื่อพาเธอออกจากร้านอย่างปลอดภัย แต่เหมือนว่าวันนี้ หน้าที่นั้นจะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว
ศิลาเฝ้ามองสายตาของปิติอยู่ตลอด พอบังเอิญสบตากัน ปิติก็เป็นฝ่ายหลบสายตาของเขา เดินหลบฉากออกไปทางด้านหลัง ทำให้ศิลาต้องหันกลับมามองณาลัลน์อีกครั้ง
เผลอแวบเดียวกระดุมเสื้อก็ถูกปลดจนเหลือติดเอาไว้แค่สองเม็ด เผยให้เห็นเนินอกที่โผล่พ้นขอบบราออกมาวับๆ แวมๆ เวลาที่มันเด้งขึ้นลงตามจังหวะที่เธอเต้นไปตามเพลง
ศิลาลอบกลืนน้ำลายอยู่หลายครั้ง ท่าทางที่เธอส่ายสะโพกร่อนไปมามันทำให้เขากำหมัดแน่น และรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังตื่นตัว นั่งสะกดจิตตัวเองอยู่นานจนมั่นใจว่ามันจะไม่โดดเด่นออกมาเขาจึงลุกขึ้นยืน
“พี่จากัวร์จะไปไหนคะ”
“พี่นึกขึ้นได้ว่ามีธุระน่ะครับ ขอพาน้องลัลน์กลับเลยก็แล้วกัน” ศิลาบอกเสียงเรียบก่อนจะเดินตรงไปหาณาลัลน์ที่กำลังเต้นยั่วยวนสายตาของคนทั้งร้าน สะโพกงามงอนส่ายวนจนศิลานึกอยากจะกระชากเธอลงมาฟาดสักเพียะ
“กลับได้แล้วค่ะน้องลัลน์” เสียงของศิลาดังสู้เสียงเพลงไม่ได้ ณาลัลน์ไม่ได้ยินเขาและไม่แม้แต่จะหันมามอง
“น้องลัลน์คะ”
“วี้ววว ถอดเลยๆ ๆ” เสียงเชียร์ที่ได้ยินทำเอาศิลากัดฟันกรอด กวาดสายตามองไปรอบๆ อีกครั้ง แต่เหมือนว่าจุดสนใจของทุกคนในเวลานี้จะไม่ใช่เขา
“น้องลัลน์คะ”
ลองพยายามดูอีกรอบ แต่ไม่ทันจะได้รอเวลาให้คนเมาหันมามอง เขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นณาลัลน์กำลังปลดกระดุมเสื้อคล้ายกับจะถอดมันออกจริงๆ
คำว่าระบำเปลื้องผ้าที่ได้ยินเมื่อตอนก่อนหน้านี้แวบเข้ามาทำให้ศิลาตัดสินใจขั้นเด็ดขาดในทันที
หมับ!
“น้องลัลน์!” ศิลาก้าวขึ้นไปเหยียบเก้าอี้ก่อนจะกระชากข้อมือของณาลัลน์เอาไว้ จ้องเธอตาขวางแล้วกระชากข้อมือของเธออีกครั้งเมื่อเธอพยายามสะบัดออก
“พี่...”
“กลับเดี๋ยวนี้ค่ะ”
น้ำเสียงของเขาดุดันจนณาลัลน์ตกใจ ทำตาปริบๆ ใส่ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ร่างของเธอก็ถูกศิลาช้อนเข้าสู่อ้อมแขนก่อนจะพาเธอลงจากโต๊ะทันที
“วี้ววว มากับผัวเหรอน้อง”
“พี่จากัวร์คะ”
“ขอตัวก่อนครับ”
“เอ่อ ไม่ได้จะขวางค่ะ แค่จะขอเบิกค่ามิกซ์เซอร์” แพตตี้บอกยิ้มๆ ก่อนที่รอยยิ้มของเธอจะค่อยๆ หายไปเมื่อสายตาของศิลาในเวลานี้ดูไม่ใจดีเหมือนก่อนหน้า
“ถ้าพี่รับปากว่าจะโอนคืน ฉันจะออกไปก่อนก็ได้”
“ไม่ต้องหรอกอีแพต เดี๋ยวพี่ปิติเขาก็เลี้ยงเหมือนเดิม”
“ขอคิวอาร์โค้ด” ศิลาบอกเสียงเข้มก่อนจะล้วงมือข้างหนึ่งหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดเปิดแอปพลิเคชันธนาคารเพื่อโอนเงินให้กับแพตตี้ที่เป็นคนยื่นหน้าคิวอาร์โค้ดรับเงินของเธอมาให้
“ขอบคุณนะคะ”
ศิลาไม่ได้ฟังจนจบ เพราะเขาหมุนตัวเดินออกมาตั้งแต่ที่โอนเงินเสร็จแล้ว ถึงรถก็วางณาลัลน์ลงบนเบาะ อยากจะดุสักคำสองคำแต่เธอดันหลับใส่เขาเสียอย่างนั้น
‘เดี๋ยวจบเพลงมันก็ป๊อกไปเอง”
“ป๊อกเหรอ นี่แน่ป๊อก” ศิลาพูดอย่างมันเขี้ยวก่อนจะยกมือขึ้นดีดหน้าผากณาลัลน์แรงๆ เธอปัดมือของเขาออกพลางถูบริเวณที่เพิ่งจะถูกดีดเมื่อครู่แต่ยังคงไม่ได้สติ
“น้องลัลน์คะ”
“อีข้าว หมดแก้ววว”
ศิลากัดฟันกรอด นึกอยากจะปลุกเธอขึ้นมาเขย่าแรงๆ เสียจริงแต่กลับทำได้แค่ถอนหายใจ
สายตาเจ้ากรรมดันมองไปยังจุดสนใจที่ไม่ควรจะสนใจ แต่จะให้เขาทำอย่างไรในเมื่อมันโดดเด้งออกมาอย่างนั้น
แปลกแต่จริง วันนี้ไม่เพียงเขาจะได้เห็นณาลัลน์ในมุมสดใส ร่าเริงและเป็นตัวของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเห็น แต่เขายังได้เห็นเธอในมุมยั่วยวนเก่งอีกด้วย จากที่เคยคิดว่าเธอคงจะเป็นสาวหวาน แต่กลับกลายเป็นว่าซ่อนความร้อนแรงเอาไว้อย่างที่เขาเองก็คาดไม่ถึง ใครจะไปคิดว่าณาลัลน์คนเรียบร้อยแสนดีของพ่อเขาคนนี้ จะขึ้นไปเต้นบนโต๊ะได้เฉยเลย
ฟุ่บ!
เอื้อมคว้าเสื้อสูทที่ถอดพาดเอาไว้กับเบาะรถมาห่อตัวเธอเอาไว้ ห่อไปแอบมองไป ก่นด่าตัวเองไปตลอดจนเริ่มหงุดหงิด
“นี่พี่ต้องมองน้องลัลน์ใหม่จริงๆ ใช่มั้ยคะ”