ตกเย็นฉันเริ่มทำอาหารตามสิ่งที่ร่ำเรียนมา แม่รินจดรายการอาหารที่พี่ไรม์ชอบและเกลียดมาให้ฉันเมื่อหลายวันก่อน ฉันอยากทำหน้าที่ของภรรยาให้เต็มที่แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการมันเลยก็ตาม
ไม่นานร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนเดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าเรียบตึง เขาเหลือบมองฉันเล็กน้อยก่อนเดินออกประตูบ้านไป ฉันรีบวิ่งตามหลังเขาด้วยความลืมตัว
“เดี๋ยวค่ะพี่ไรม์!” ปากมันพลั้งเรียกเขาไว้ ร่างสูงชะงักเท้าและมือที่กำลังกดปลดล็อกรถสปอร์ตคันหรูที่เพิ่งได้รับเป็นของขวัญแต่งงานของเราซึ่งฉันยังไม่เคยนั่งเลยสักครั้ง เขาหันมองฉันด้วยสายตาเย็นชา
“มีอะไร? บอกแล้วไงว่าอย่าพูดกับฉันถ้าไม่จำเป็น” เขาย้ำข้อตกลงที่ตัวเองสร้างขึ้นโดยที่ฉันไม่ได้ยินยอมเลยสักนิด ฉันเม้มปากพลางหลบสายตา
“คือว่า… ฟองจะถามว่าคืนนี้พี่กลับดึกไหมคะ”
“ทำไม? มีสิทธิ์อะไรมายุ่ง?”
“ฟองแค่… แค่จะบอกว่า… เอ่อ…”
“น่ารำคาญ” เพราะฉันมัวแต่อ้ำอึ้งเขาจึงตัดรำคาญด้วยการหันหลังเดินไปเปิดประตูรถ ฉันรีบถลาเข้าไปรั้งบานประตูเอาไว้แล้วพูดรัวเร็ว
“ฟองจะรอทานข้าวนะคะ!!”
“ไร้สาระ!” มือหนาปลดมือฉันออกจากประตูรถแล้วปิดดังปึง เขาหยิบแว่นตามาสวมแล้วกดรีโมตเปิดประตูรั้ว เพียงครู่เดียวรถคันหรูก็พุ่งทะยานออกไป ทิ้งฉันไว้ในบ้านหลังใหญ่แสนวังเวงนี้เพียงคนเดียวอีกแล้ว…
“ฟองไม่ชอบทานข้าวคนเดียวนะคะ… ฮึก” ฉันยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างพยายามกลั้นเสียงสะอื้น จู่ ๆ นึกถึงความทรงจำวัยเด็กตอนย้ายไปนิวยอร์คแรก ๆ ขึ้นมา ตอนนั้นคุณพ่องานยุ่งมากแทบไม่มีเวลากลับบ้าน ฉันต้องนั่งทานข้าวคนเดียวทุกมื้อ ยังจำได้ว่าตอนนั้นฉันทานไปร้องไห้ไปเพราะทนคิดถึงบรรยากาศอบอุ่นในบ้านกิตติโสภณไม่ไหว สุดท้ายแม่นมต้องมานั่งทานด้วย หลังจากนั้นมาเวลาคุณพ่อไม่ว่างทานข้าวกับฉัน แม่นมก็มักจะนั่งทานเป็นเพื่อนฉันเสมอ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอฟอง? ร้องไห้ทำไม?!” เสียงทักจากหน้าประตูบ้านเรียกสายตาฉันเงยขึ้นจากฝ่ามือ พี่โชกำลังจูงสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ตัวใหญ่มองมาทางฉันด้วยสีหน้าตื่น ๆ ข้างกายเขามีร่างบางของผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เธอกำลังอุ้มลูกสุนัขตัวเล็ก ๆ เอาไว้ในอ้อมกอด ฉันลืมความเศร้าเป็นปลิดทิ้ง รีบเช็ดน้ำตาแล้ววิ่งเข้าหาเจ้าตัวเล็กด้วยความตื่นเต้น
“นะ… น่ารักจัง!” ฉันชอบสัตว์มากโดยเฉพาะสุนัข ยิ่งตัวเล็ก ๆ น่ารักน่ากอดแบบนี้ยิ่งเป็นเหมือนแบตเตอรี่ชาร์จพลังบวกในตัวฉันอย่างมาก
“ชอบลูกหมาเหรอ ลองอุ้มไหม?” ฉันเงยหน้ามองเจ้าของคำถามพลางพยักหน้ารับ เธอส่งเจ้าตัวเล็กเข้าสู่วงแขนฉัน ความนุ่มนิ่มจากปุยขนของมันช่วยทำให้จิตใจว้าวุ่นของฉันสงบลงมาก “ชอบมากจริงแฮะ ยิ้มไม่หยุดเลยนะ แหม เธอน่ารักเหมือนที่พี่บอกจริง ๆ ด้วยพี่โช”
“ใช่ไหมล่ะ บอกแล้วว่าถ้าหวานเจอฟอง หวานต้องถูกชะตาแน่ ๆ”
ฉันลืมตาขึ้นมองทั้งสองด้วยแววตางุนงง ลืมไปเลยว่าเมื่อครู่ฉันยืนร้องไห้อยู่ พอคิดอย่างนั้นก็ขยับยิ้มเจื่อน มองไปทางพี่โชสลับกับร่างบางเจ้าของใบหน้าหวานภายใต้กรอบแว่นสายตาเลนส์ใหญ่ เธอยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร มันเป็นรอยยิ้มพิมพ์เดียวกับพี่โชเลย
“หวัดดี เราหวานนะ เป็นน้องสาวพี่โช” อ้อ… คนนี้นี่เอง น้องสาวที่พี่โชพูดถึง
“เอ่อ… สะ สวัสดีค่ะ”
“แหม ไม่ต้องสุภาพกับหวานหรอก เราอายุเท่ากันนะฟอง แถมยังเรียนคณะเดียวกันด้วยนี่” เชื่อแล้วว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ ความเป็นกันเองและพูดคุยอย่างสนิทสนมกับฉันง่าย ๆ เหมือนกันไม่มีผิด “ว่าแต่ฟองเรียนเอกอะไรเหรอ หวานเรียนทัศนศิลป์”
“อ๊ะ… ฟองก็เหมือนกัน” ฉันเบิกตากว้างนิด ๆ ไม่คิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้
“ว้าวจริงเหรอ! งั้นเราก็เรียนเอกเดียวกันด้วยสิ! ดีใจจังที่มีเพื่อนเรียนด้วยกันแถมยังอยู่บ้านข้างกันอีก” หวานยิ้มตาประกาย ยิ่งมองก็ยิ่งคิดว่าเธอสวยแฮะ สวยแบบสาวติสท์ ๆ อาร์ต ๆ ดูมีเอกลักษณ์น่ามองมาก ๆ
“เอาล่ะสาว ๆ พี่ว่าเราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่าไหม ฟองว่างอยู่หรือเปล่า สะดวกไปนั่งเล่นที่สวนบ้านพี่ไหม จะได้คุยกับหวานได้เต็มที่เลย” พี่โชหันมาถามฉัน ฉันชะงักเล็กน้อยพลางเหลือบตามองในบ้าน
“ตอนนี้เย็นมากแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ได้ไหมคะ หวานว่างใช่ไหม?” ประโยคหลังฉันหันไปถามหวาน เธอมองพี่โชเล็กน้อยก่อนขยับยิ้ม
“อื้ม ได้สิ งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะฟอง”
ฉันคืนเจ้าตัวเล็กให้หวานแล้วโบกมือลาเธอที่เดินเข้าบ้านตัวเองไป พี่โชยังคงยืนมองฉันไม่ขยับไปไหนจนฉันเลื่อนสายตามองเขา ดวงตาคมวูบไหวเล็กน้อยก่อนขยับยิ้มบาง
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ”
“ค่ะ ขอบคุณที่ชวนนะคะ” ฉันโบกมือลาพี่โชที่เดินจูงเจ้าตัวโตเข้าบ้านไปก่อนปิดประตูรั้วแล้วเดินกลับเข้ามาในบ้าน สายตามองวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ยังทำค้างไว้ ฉันตั้งใจว่าจะทำอาหารรอทานพร้อมพี่ไรม์ ฉันก็ต้องทำมันให้เสร็จและรอเขากลับมาทานพร้อมกัน
หวังว่าเขาจะกลับมานะ…