เช้าวันต่อมา….
@สนามบินเชียงใหม่
ผมยืนพิงราวเหล็กกั้นตรงด้านหน้าจุดเช็กอินของสายการบินชื่อดัง สายตาจับจ้องไปที่เพื่อนรักตัวเองอย่างไม่ลดละ ขณะที่มันไม่ได้สนใจผมเลยสักนิด มัวแต่คุยกับพ่อแม่ผม มิเชล มิณและก็ไอ้ยูตะอย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าให้เดา คงไม่พ้นเรื่องฝากมันหิ้วนู่นนี่นั่นกลับมาให้นั่นแหละ แต่เรื่องนั้นไม่อยู่ในสมองผมเลย ณ เวลานี้ ที่ผมเอาแต่จ้องมันก็เพราะเรื่องยัยหนูเฌอตัวร้ายนั่นต่างหาก มันเปลี่ยนรสนิยมตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ปกติไอ้หมอมันคว้าแต่แม่เสือสาวทั้งนั้น แมวเชื่องๆ อย่างยัยหนูเฌอนั่น ทำอีท่าไหนวะ...ถึงได้รับสิทธิพิเศษจากไอ้หมอ
“ไอ้เฮีย!!!”
“อ๊ะ! ไอ้สัส!!! ตกใจหมด ตะโกนหาพ่อง”
ผมสะดุ้งโหยงพร้อมกับหันไปด่าไอ้น้องชายตัวดีเสียงลั่น จนคนละแวกนั้นหันมามองเป็นตาเดียว ก่อนผมจะลด volume เสียงลงให้ได้ยินกันแค่สองคนในประโยคถัดมา แต่ก็ยังไม่วายด่ามันอยู่ดี ไม่รู้แม่งเดินมาตอนไหน เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย ไอ้น้องเวร!!! กูเกือบช็อกตาย
“อะๆๆ พ่อผม พ่อเฮีย คนเดียวกัน นู้นยืนอยู่นู่น อยากเจอเหรอ เรียกให้ป้ะ? พะ…” มันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทะเล้นปนกวนส้นตีน แล้วทำท่าเหมือนจะเรียกพ่อที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเรามากอย่างที่มันว่าจริงๆ ผมเลยรีบขัดขึ้นก่อน
“อย่ากวนตีน! ดูหน้ากูด้วย”
“นั่นแหละ ที่กำลังจะถาม เฮียเป็นส้นตีนอะไรวะ”
ผมตวัดหางตาไปมองมันนิดหนึ่งตรงคำว่า ส้นตีน เพราะมันเน้นซะเหลือเกิน นี่คือมึงยังเคารพกูอยู่ใช่ไหม ไอ้ยู...ไอ้น้องเหี้ย
“ไม่ต้องเรียกกู เฮีย แล้วก็ได้มั้ง” เพราะถ้าจะพูดขนาดนี้ ไม่ต้องนับถือกูเลยก็แล้วกัน แล้วมันก็สวนกลับมาทันควัน เหมือนว่ารอโอกาสนี่มานานแล้วอะไรประมาณนั้น
“อ้าว มึงพูดเองนะ”
ผัวะ!!!
โอ๊ยยย!
ผมเลยจัดให้ฉาดใหญ่ ด้วยความหมั่นไส้ จนหัวมันพุ่งไปข้างหน้าตามแรง ไม่ตบไม่ตีไม่ดีขึ้นเลยจริงๆ ไอ้น้องเวร
“ลามปามๆ”
“สาบานว่ามือ แม่ง!! มึนฉิบ” มันว่าพลางเอามือลูบหัวตัวเองป้อยๆ
“อยากโดนตีนอีกปะล่ะ” ผมพูดขึ้นเสียงเรียบพลางยกเท้าใส่มัน แต่มือมันไวกว่ายกมากันขาผมไว้ได้ทัน แล้วออกแรงดันลงให้กลับมาอยู่ที่เดิม
“ใจเย็นนนน เค้าหยอกกก”
“เหอะ!” น่ารักตายห่าล่ะ ไอ้เวร! ดัดเสียงซะกูขนลุกเลย ผมได้แต่ส่ายหน้าใส่มันแบบเอือมระอาสุดๆ ก่อนจะพาสายตาไปโฟกัสที่ไอ้หมอต่อ ผมมีคำถามในหัวเต็มไปหมด แต่ไม่รู้จะถามออกไปดีไหม...เฮ้ออออ
“เกิดอะไรขึ้นวะ โหลคุกกี้พวกนั้น เฮียหวงจะตาย แล้วทำไมถึง…” แล้วไอ้ตัวข้างๆ ผมก็พูดต่อก่อนจะเว้นระยะไปพักหนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่จบๆ ต่อมเผือกนี่แม่งทำงานดีจริงๆ คุณยูรินะ...คุณยูริ บอกว่าไม่ให้บอกใคร สุดท้ายรู้กันหมดทั้งบ้าน เก็บความลับดีเยี่ยมจริงๆ
“หรือว่า!!!”
“ไม่เสือก!!!”
พอมันนึกออก ผมเลยรีบด่าสกัดประโยคต่อไปของมันไว้ ก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังเพื่อนรักตัวเองทันที เพราะไม่ว่าไอ้ยูมันจะคิดว่าอะไรผมก็ไม่อยากฟัง สมองผมมันไม่ที่เหลือให้คิดเรื่องอื่นเลย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าเกิดอะไรขึ้น...กับผมกันแน่ ผมแค่โมโหที่โดนหลอก…หรือผมโมโหที่ยัยเด็กนั่นไม่เลือกผมกันแน่วะ
“ไอ้หมอ” ผมเรียกมันพร้อมกับคำถามที่ไม่ควรแล่นเข้ามาในหัวผมอย่างไว
“จะฝากกูซื้อตุ๊กตายาง ได้ๆ เดี๋ยวกูจัดเด็ดๆ มาให้” แล้วไอ้เพื่อนเวรก็หันกลับมาสวนขึ้นทันควัน ด้วยประโยคที่โคตรจังไร นี่พวกมึงดูไม่ออกเหรอว่ากูเครียดอยู่ ถามจริง? ทั้งที่หน้ากูเหวี่ยงขนาดนี้ หนีจากตัวโน่นมาเจอตัวนี้อีก กูอยากจะบ้าตายกับพวกแม่งนี่จริงๆ
“ส้นตีน! สาระไหมล่ะ”
“เคๆ ว่ามา นานๆ เพื่อนกูจะมีสาระ” ดูมัน...คำพูดคำจามึงนี่นะ กัดจิกกูได้ตลอด โธ่...ไอ้คนมีสาระ ไอ้ห่า ใจผมก็อยากจะด่ามันนะ แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์วะ ผมสูดหายใจเข้ายาวๆ ก่อนเริ่มต้นประโยคคำถามของผม
“คือ…” และแม่งก็ได้แค่นั้นไง ทำไมมันพูดไม่ออกวะ ผมเว้นระยะไปนานมากอะ ผมจะถามว่ามันจริงจังกับยัยหนูเฌอนั่นแค่ไหน แต่พอมาคิดดูอีกที แล้วผมจะถามไปเพื่ออะไรวะ ไม่เข้าใจ… ถึงมันจะจริงจังหรือไม่จริงจัง ผมก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ดีป้ะ ยังไงเธอก็ได้ชื่อ ว่าเป็นเด็กเพื่อน มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย…ไอ้วา ไอ้ฉิบหาย!!!
“เอ้า! คือ...เหี้ยไรของมึง”
“ดูแลมิเชลให้ดีนะมึง” สุดท้ายผมก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ
“แค่นี้? จะอ้ำอึ้งทำเหี้ยไร ไม่เข้าใจ” มันว่าพลางสั่นศีรษะไปมาแบบเอือมๆ ใส่ผม ก่อนจะหันไปหามิเชล น้องน้อยแสนน่ารักของทุกคนที่ในตอนนี้กำลังถูกระดมหอมจากคุณยูริ ทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาสลับกันซ้ำๆ อยู่แบบนั้น แต่ในหัวผมกลับมีแต่เรื่องของยัยเด็กบ้านั่นเต็มไปหมด และพาสายตากลับมามองที่เพื่อนรักตัวเองอีกครั้ง ทำไมต้องเป็นมันด้วยวะ….
……