EP.02 จีบปะเนี่ย

4332 Words
EP.02 จีบปะเนี่ย NINE TALK ขณะที่ผมกำลังนั่งเรียนวิชาสุดท้ายของวันนี้อยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีข้อความไลน์จากพีชส่งเข้ามา ผมเห็นมันจากแจ้งเตือนที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอ แต่ยังไม่ได้กดเข้าไปอ่าน Peachhhhh : เราเข้ามาในมหาลัยไนน์แล้ว เรียนบริหารใช่ไหม เดี๋ยวรอหน้าตึกนะ เพื่อนใหม่ที่เด็กกว่าผมคนนี้ทักมาครับ เขาจะเอากระเป๋าเก็บบัตรมาคืนผม ในนั้นมีบัตรสำคัญของผมทุกอย่างเลยตั้งแต่บัตรประชาชน บัตรนักศึกษา บัตรสมาชิกร้านอาหาร รวมถึงบัตรสะสมแต้มร้านชาไข่มุกใต้ตึกคณะด้วย ตอนแรกผมนึกว่าผมทำมันหายไปซะแล้ว ดีนะที่พีชเก็บไว้ให้แล้วเขายังพยายามจะนำมาคืนผม แล้วเขาก็คืนได้ทันเวลาด้วยครับ เพราะพรุ่งนี้ผมต้องใช้บัตรนักศึกษาในการเข้าสอบกลางภาค ถ้าหายไปจริง ๆ ผมคงต้องเสียเงินทำบัตรใหม่ เสียเวลาเขียนคำร้องอีก เอ๋... แต่จะว่าไป ทำไมเขามาหาผมเร็วจัง ผมเลิกเรียนหกโมงนะ นี่เพิ่งสี่โมงกว่าเอง No.9 : รีบมาทำไม เรายังเรียนไม่เสร็จเลย Peachhhhh : ส่งรูปภาพ พีชส่งรูปใต้ตึกคณะมาให้ผม พร้อมกับชูกระเป๋าใส่บัตรให้ผมดูด้วยเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ลืมเอามา ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ถ้าวันนี้พีชมาตัวเปล่าผมคงหัวเสียแย่เพราะบัตรนักศึกษามันต้องใช้พรุ่งนี้ Peachhhhh : รอหน้าร้านน้ำนะ ผมยังคงนั่งเรียนต่อไปด้วยสภาวะจิตใจพะว้าพะวัง เกรงใจพีชน่ะครับ เขาต้องรอนานเลยกว่าผมจะเบรกแล้วสามารถลงไปหาเขาได้ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงแน่ะกว่าอาจารย์จะพักเบรก เท่าที่ได้คุยกันเมื่อคืนเหมือนเขาไม่ใช่คนใจเย็นสักเท่าไหร่ด้วยสิ หากต้องรอนาน ๆ เขาคงไม่ชอบใจนัก ผมเกรงใจเขาจัง แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอเวลา เอาไว้ผมจะลงไปซื้อชาไข่มุกเลี้ยงเขาเป็นค่าเสียเวลาสักแก้วก็ได้ อุตส่าห์นั่งรอตั้งครึ่งชั่วโมง “มึงเหม่ออะไรเนี่ยไอ้ไนน์” “ห้ะ กูเปล่านี่” “ก็เห็นมองแต่จอมือถือ จดแลคเชอร์ไม่ทันแล้วมึง” ‘ปืน’ เพื่อนสนิทของผมท้วงมาแบบนี้ผมจึงละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วตั้งใจเรียนต่อ คือไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมดูแต่เวลาว่าเมื่อไหร่จะพักเบรก แล้วก็ดูแจ้งเตือนด้วยเผื่อพีชจะไลน์มา แต่ก็ไม่มีอะไรเลย พีชเงียบมาก เงียบไปจนผมกังวล และแล้วเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง เมื่ออาจารย์สั่งพักเบรกผมก็เป็นคนแรกที่พุ่งตัวออกจากห้องเรียน ไอ้ปืนที่ว่าวิ่งเร็วก็ตามผมไม่ทัน แต่มันก็ไม่ได้ตามผมลงมาใต้ตึกหรอกครับ มันแยกไปเข้าห้องน้ำแทน ตึก ตึก ตึก ผมรีบออกจากลิฟต์ก่อนกวาดสายตามองไปทั่ว เพียงปราดเดียวก็เจอพีชแล้วล่ะ เขาโดดเด่นมาก อาจเพราะเป็นคนเดียวที่ใส่ชุดนักเรียน เมื่อพีชหันมาเจอผมพอดีผมจึงส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรแล้วเดินเข้าไปหาทันที “รอนานเลย โทษทีนะพีช กินน้ำไหมเดี๋ยวเราเลี้ยงเอง กินน้ำเย็น ๆ จะได้ใจเย็น ๆ” ไม่ต้องรอให้เจ้าตัวเขาตอบอะไร ผมรีบเดินไปซื้อชาไข่มุกให้เขาอย่างว่องไวแถมสั่งหวานน้อยให้ด้วย เมื่อคืนที่คุยกันพีชบอกว่าพีชไม่ชอบกินขนมหวาน พวกขนมไทยหรือเบเกอรี่อะไรแบบนี้พีชไม่ค่อยชอบ ฉะนั้นผมเลยสั่งน้ำแบบหวานน้อยให้เขาเสียเลย โดยสั่งให้ตัวผมอีกแก้วหนึ่งด้วย ของผมน่ะต้องหวานร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้น! ของชอบเลยน้ำหวาน ๆ เนี่ย แล้วพี่ส้มเช้งเจ้าของร้านก็ชงชาได้รวดเร็วเหมือนเดิม ไม่กี่อึดใจชานมไข่มุกสองแก้วก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจ่ายเงินแล้วเดินถือมาให้พีชที่โต๊ะโดยท่องไว้ในใจว่ามือซ้ายหวานน้อยของพีช มือขวาหวานปกติของผม แก้วน้ำจากมือซ้ายถูกส่งต่อให้พีช ก่อนที่ผมจะทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามเขาและจัดการดูดชาไข่มุกแก้วของผมทันที เรียนมาทั้งวันสุดแสนจะโหยหาของหวานเลย สำหรับผมการได้ดื่มชานมสักแก้วเหมือนเป็นการได้เติมพลัง “จืด” พีชบอกมาแบบนั้นหลังจากดูดน้ำเข้าปากได้เพียงเล็กน้อย “อ้าว พีชไม่ชอบกินหวานไม่ใช่เหรอ เราเลยสั่งหวานน้อยให้” “ถ้าเป็นน้ำอะกินหวานปกติได้ แต่แค่ไม่ชอบพวกขนมหวานที่มันหวาน ๆ เหนียว ๆ อะ” “ที่บอกเมื่อคืนอะเหรอ ทองหยอด เค้ก อะไรแบบนี้พีชไม่ชอบใช่ไหม อืม...งั้นเปลี่ยนแก้วกันไหมเดี๋ยวเรากินแก้วพีชเอง” “ไนน์” “หืม?” ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ที่ถูกเด็กมัธยมเรียกชื่อผมห้วน ๆ แบบนี้ ตัวผมเองมีน้องสาวนะ น้องสาวผมเรียนอยู่ปีหนึ่งซึ่งโตกว่าพีชอีกยังเรียกผมว่าพี่ทุกคำ แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย พีชดูโตกว่าอายุจริง ๆ ทั้งความคิด คำพูด การวางตัว เขาไม่เห็นจะเหมือนเด็กมัธยมวัยใสเลยสักนิด “ยิ้มให้ดูหน่อย” “ห้ะ?” “ยิ้มหน่อยครับ” ถึงจะไม่เข้าใจว่าพีชให้ผมยิ้มทำไม แต่ผมก็ยิ้มให้เขาอยู่ดี จากนั้นพีชก็คว้าแก้วชาไข่มุกของตัวเองมาดูดต่อด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป ในทีแรกที่บ่นว่าจืดเขาแสดงสีหน้าชัดเจนเลยว่าไม่อร่อย ต่างจากตอนนี้ที่ดูดไปยิ้มไปราวกับมันอร่อยขึ้นอย่างนั้นแหละ “พีชให้เรายิ้มทำไมเหรอ” “น้ำหวานขึ้นแล้ว ยิ้มของไนน์มันเติมความหวานให้” “เพ้อเจ้อ ว่าแต่พีชเอากระเป๋าใส่บัตรมาให้เราเถอะ พีชจะได้รีบกลับบ้าน เดี๋ยวถึงบ้านค่ำแล้วพ่อเป็นห่วงนะ เห็นว่าพ่อชอบดุเวลากลับบ้านค่ำใช่ไหม” “ยังไม่ให้ จะรอ เรียนเสร็จไปกินข้าวกันนะ” “พีชชชชชชช รออีกแล้วเหรอ เราเกรงใจจจจ” “อายเหรอที่มีเด็กม.ปลายมารอ?” “เปล่า ๆ ไม่ใช่แบบนั้น คือเราไม่รู้พีชจะรอเราทำไม มันนานนะพีช แล้วเราไม่อยากให้พีชกลับบ้านดึกด้วย อีกอย่างนั่งรอเฉย ๆ พีชคงเบื่อแย่” “งั้นไนน์เอากุญแจหอมาดิ เดี๋ยวเราไปนอนรอที่หอ” “พีช...” “ไนน์ไปเรียนเถอะ เราจะรอ อยากกินข้าวกับไนน์อะ” เขาเป็นเด็กดื้อ พูดอะไรก็ไม่ฟังเลยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ชอบมารอผมทำนั่นทำนี่ ทั้งชีวิตผมที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมารอผมเพื่อที่จะคุยกันต่อแบบนี้ไง ผมไม่ชินและเกรงใจมากด้วย “พีชดื้อกับเราตลอดเลย” “ก็ไม่มีใครให้ดื้อใส่แล้วอะ ตอนนี้ก็มีแค่ไนน์” “หน้ามึนเหมือนกันนะพีชเนี่ย โอเค ๆ เรียนเสร็จแล้วไปกินข้าวกันก็ได้ แต่พีชต้องคุยกับที่บ้านให้เรียบร้อยนะจะได้ไม่มีปัญหา” พอเขาพยักหน้ารับผมก็ตกลงตามนั้น ไปก็ไป ตอนเย็นก็ต้องหาอะไรกินอยู่แล้วแค่วันนี้เปลี่ยนไปตรงมีเพื่อนกินข้าวเย็นเพิ่มขึ้นอีกคนก็เท่านั้น วันไหนอยู่หอก็จะเหงาหน่อยแหละครับ ใช้ชีวิตคนเดียวแบบนี้ทุกวัน แต่ถ้าอยู่บ้านจะไม่เหงาเลย ผมมีพี่ชายกับน้องสาวอยู่ด้วย ทุกมื้ออาหารแม่จะทำให้พวกเราเสมอ การได้กลับบ้านไปนอนเกลือกกลิ้งด้วยกันสามคนพี่น้องน่ะเป็นอะไรที่สบายใจที่สุดแล้ว แต่เราไม่ค่อยได้เจอกันพร้อมหน้าหรอกครับ พี่ ’นัท’ เรียนปีสี่ เจ้า ’นีน’ เรียนปีหนึ่ง ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง วันหยุดก็ไม่ตรงกัน นี่ผมไม่เจอหน้าน้องมาเกือบเดือนแล้ว ผมเดินขึ้นมาเรียนอีกครั้งด้วยความรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ตอนนี้ทำใจแล้วล่ะว่าถ้าพีชจะรอก็ให้เขารอไป ผมรู้ว่าเขารอได้เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าจะรอผมทำไมเท่านั้นเอง “มึงคุยกับใครวะ ข้างล่าง” ปืนหันมาถามทันทีที่ทิ้งตัวนั่ง มันคงแปลกใจที่ผมรู้จักคนอื่นด้วย ปกติผมก็อยู่แค่กับมันมาตั้งแต่มัธยมต้นไม่เคยมีเพื่อนสนิทคนอื่นเลย “เห็นเหรอ เพื่อนรุ่นน้องน่ะ” “รู้จักกันได้ไงวะ” “เคยเจอกันในหมู่บ้านแหละ” “ไม่ได้จีบมึงใช่ไหม?” จีบเหรอ? คงไม่ใช่หรอกมั้ง ผมกับพีชแค่คุยกันถูกคอเฉย ๆ “เปล่า ไม่ได้จีบ” “ถ้าเด็กมันจีบก็รีบเอาเลยนะมึง อย่าปล่อยให้พลาด มึงแห้งเหี่ยวมาทั้งชีวิตแล้วหัดมีแฟนกับเขาซะบ้างไอ้ไนน์ นี่ถ้าแม่มึงกับพี่นัทรู้นะว่ามึงมีแฟนคงได้ปิดซอยเลี้ยงฉลอง” “เว่อร์แล้ว” ผมไม่เคยมีแฟนจริง ๆ นะ ไม่เคยเลย เวลาเห็นคนรอบตัวมีแฟนผมได้แต่สงสัยว่าทำไมผมถึงไม่มีกับเขาบ้าง ไม่ใช่ว่าผมไม่เปิดโอกาสนะแต่มันไม่มีใครเข้ามาให้พัฒนาความสัมพันธ์ไปต่อถึงขั้นนั้นได้ เคยมีคนคุยตอนมัธยมก็แค่เข้ามาคุยพอแก้เหงาได้ แต่สุดท้ายเขาก็ไปคบกับคนอื่น เขาไม่เลือกผมอะ เป็นแบบนี้มาตลอด อ้อ มีคนหนึ่งครับที่ผมเคยคุยเมื่อช่วงรับน้องปีหนึ่ง เขาอยู่คณะนิเทศฯ เราคุยกันอยู่ประมาณเดือนกว่าแล้วเขาก็ถามผมว่าผมชอบเขาไหม ตอนนี้เขามีตัวเลือกอยู่สองคน ผมคือหนึ่งในนั้น เขากำลังเลือกคนที่ชอบเขามากกว่ามาเป็นแฟน โอ้โห หล่อมากพ่อคุณเอ๊ย ซึ่งผมก็ตอบความจริงไปว่าผมไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า ก็คุยด้วยแล้วสนุกดีแต่จะไม่คุยก็ได้ และก็แน่นอนครับเขาไปเลือกอีกคนหนึ่ง ผมน่ะรู้คำตอบอยู่แล้วล่ะ ในวันที่เขามาบอกลาผมเลยถามเขาว่านอกจากเหตุผลที่ว่าผมไม่ได้ชอบเขาน่ะ มีอะไรอีกที่ทำให้เขาไม่เลือกผมเหรอ ทั้งที่ถ้าเขาชอบผมบ้างเขาก็น่าจะทำอะไรให้ผมชอบเขากลับสิ ถูกไหม นี่เขาไม่พยายามเท่าไหร่เลย แล้วผมก็ได้คำตอบมาครับ เขาบอกว่าผมเฉิ่มกว่าอีกคน คนนั้นมีสีสันมากกว่า เฉิ่ม... ผมเพิ่งเคยโดนใครพูดใส่มาแบบนี้เหมือนกัน ผมมาปรึกษาไอ้ปืนทันทีว่าผมเฉิ่มยังไง ผมจะแก้ความเฉิ่มนี้ยังไง ไอ้ปืนจัดการเปลี่ยนลุคภายนอกผมทุกอย่างเลยครับ ทั้งทรงผม การแต่งตัว แว่นตาหนาเตอะที่มันก็ไม่ให้ผมใส่แต่พาผมไปซื้อคอนแทคเลนส์แทน ลักษณะภายนอกผมเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไอ้ปืนบอกว่าแบบนี้ค่อยน่าเข้าหาหน่อย มันเอาคอลเลคชั่นเสื้อลายสก็อตหลากสีของผมไปบริจาคหมดเลยด้วย แต่คนเรามันก็เปลี่ยนได้แค่ภายนอกเท่านั้นแหละครับ นิสัยส่วนตัวผมมันเปลี่ยนไม่ได้เลย ผมน่ะโลกส่วนตัวสูงเหมือนกันนะ แล้วเป็นคนชอบทำของอะไรไว้ใช้เอง หลายคนมองว่าผมขี้งก ตระหนี่ใช้เงิน แต่เปล่านะครับ ผมแค่ชอบใช้อะไรที่เราทำเองน่ะ มันเป็นชิ้นเดียวในโลก ทำสวยบ้างไม่สวยบ้างแต่มันภูมิใจ อย่างถุงผ้าที่ผมใช้ใส่ชีทมาเรียนทุกวันนี้ผมก็เย็บเอง ออกแบบเอง สกรีนเอง บางใบก็ปักลายเอง หรือกระทั่งเคสโทรศัพท์ผมก็ประดิษฐ์เอง ซื้อเคสยางแบบใสมาแล้วก็ตกแต่งเอง ใส่ทั้งกากเพชรทั้งตัวอักษรเรียงกันเป็นชื่อตัวเอง ใช้อะไรที่ทำเองแล้วมันถูกใจดีน่ะครับ บอกไม่ถูกเหมือนกัน ไอ้ปืนบอกว่าผมชอบทำนั่นทำนี่ เวลาหายไปก็หายไปทั้งวันเพื่อนั่งประดิษฐ์ของใช้ ถ้ามีแฟนจริงผมต้องให้เวลาแฟนบ้างนะจะได้คบกันนาน ๆ พอมันพูดมาแบบนี้ผมกลับคิดไม่ออกเลยว่าใครเขาจะรอผมได้ทั้งวันแบบนั้น จะให้ผมสละงานตรงนี้ก็ยากหน่อยเพราะผมชอบทำและทำมาตลอดชีวิต จะมีใครสักคนไหมนะที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ผมชอบ ถ้ามีใครชอบอะไรเหมือนกันก็คงดี... 18.00 น. ผมดีดตัวลุกคนแรกของห้องอีกแล้วเพราะโดนเด็กที่รอข้างล่างกดดันอย่างหนัก เขาไลน์มาบอกว่าหิวข้าวทุกสิบนาทีเลย “มึงรีบไปไหนเนี่ย” “น้องเขารอกูอยู่ข้างล่างน่ะ จะรีบลงไปหา” “รอมึงทำไมวะ?” “รอกินข้าว” “น้องมันจีบมึงปะเนี่ย มึงถามเขาให้รู้เรื่อง” “ไร้สาระน่ะ กูไปก่อนนะ ดึก ๆ เดี๋ยวโทรหา จะสรุปที่กูอ่านสอบให้ฟัง” ไม่กี่อึดใจผมก็ลงมาหาพีชจนได้ หน้าหล่อ ๆ ของเขายังคงเรียบนิ่งอย่างเคย ผมได้แต่ส่งยิ้มให้เขาแล้วทิ้งตัวนั่งตรงข้าม “ท้องร้องแล้ว” “พีชอยากกินอะไร ร้านแถวนี้ก็จะมีพวกสเต๊ก อาหารตามสั่ง ไก่ทอด อาหารเกาหลี” “แล้วแถวหอไนน์ล่ะมีอะไรเด็ด” “อ๋อ ถ้าแถวหอต้องหมูกระทะเลย หัวละ 249 บาทรวมน้ำแล้ว” “อยากกิน พาไปหน่อย” “แต่ถ้าไปหอต้องนั่งรถตู้เข้าไปอีกนะ น่าจะเกือบยี่สิบนาทีเลย ตอนนี้รถติดด้วยมั้ง พีชจะทนไหวเหรอ?” “ไหว อยากไปหอ...” “ห้ะ?” “อยากไปกินหมูกระทะ ไม่ได้กินนานมากแล้ว” เด็กคนนี้มีพลังวิเศษอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมยินยอมเขาโดยง่าย ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งของเขาผมกลับสัมผัสได้ว่าเขากำลังอ้อน ทั้งที่น้ำเสียง ใบหน้า แววตาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ แต่ผมกลับรู้สึกแบบนั้น ส่วนผมก็ไม่ได้รู้สึกนิสัยใจคอเขาดีขนาดนั้นจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับแบบไม่อยากขัดใจ ตั้งใจจะเลี้ยงข้าวเขาสักมื้ออยู่แล้ว แต่ไม่ได้คิดมาก่อนว่าเขาต้องมานั่งรอผมตั้งนานเพื่อที่จะได้กินข้าวด้วยกัน ที่คิดไว้คือผมจะนัดเจอเขาวันหลังน่ะครับ หลังผมสอบเสร็จก็ได้ แล้วที่จริงช่วงเวลาใกล้สอบแบบนี้ผมจะไม่เสียเวลาไปกับอะไรเลยนอกจากการอ่านหนังสือ วันนี้พิเศษหน่อยที่มีพีชมากินข้าวด้วย อ่า ไม่สิ เขาอยากกินหมูกระทะนี่นา เขานั่งรถตู้หน้ามหาวิทยาลัยกลับหอไปกับผม ทั้งรถมีเขาเป็นเด็กมัธยมอยู่คนเดียว แน่นอนว่าคนรอบข้างก็มองว่าเขาแปลกจากคนอื่น แต่พีชไม่สนใจสายตาใครเลยเพราะเขาเอาแต่มองออกไปนอกกระจกสนอกสนใจกับร้านอาหารข้างทาง จนมาถึงหน้าปากซอยหอที่เป็นจุดหยุดรถตู้พอดี ผมจ่ายเงินให้เขาเรียบร้อยจากนั้นจึงพาเขาลงมา “ร้านอยู่ซอยโน้น เดินไปไม่ไกลก็ถึงแล้ว” “แล้วหอไนน์อยู่ไหน?” “หอเราอยู่ซอยนี้แหละ ตึกสีครีม ๆ ตรงนั้นไง” “ปกติบอกที่อยู่คนอื่นไปทั่วหรือไง?” “อ้าว ก็พีชถาม” “อยู่ปีสองจริงปะเนี่ย ซื่อบื้อ” “โห ว่าเราซื่อบื้อเลยเหรอ เราเป็นพี่พีชตั้งสามปีนะ” พีชชอบปีนเกลียวตลอดแหละ เขาไม่สนใจอายุที่เราห่างกันเลย แต่ช่างเถอะ ผมไม่ค่อยถือเท่าไหร่หรอก ไม่ใช่คนที่เคร่งกับการเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องอะไรทั้งนั้น ตัวผมก็ใช่จะน่าเคารพเสียเมื่อไหร่ วัน ๆ ทำตัวติงต๊องยิ่งกว่าเด็กมัธยมอีกมั้ง ผมสะพายกระเป๋าผ้าขึ้นบ่าพร้อมกับที่พีชเองก็สะพายกระเป๋านักเรียนขึ้นหลัง จากนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นครับ พีชจับมือผมข้ามถนน... ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก มือข้างขวาที่ถูกเขาจูงมันชาวาบขึ้นมาทั้งแขนเลย ผมได้แต่ก้มมองมือของเราที่สัมผัสกันไม่ละสายตา ไม่เข้าใจความรู้สึกตื่นเต้นปนตกใจแบบนี้เท่าไหร่ รู้แค่ว่าหัวใจเต้นแรงเป็นบ้า คนที่เคยจูงมือผมข้ามถนนน่ะมีสองคนคือแม่กับพี่นัทซึ่งนั่นมันก็ตอนผมเด็กมากแล้ว โตมายังไม่เคยมีใครได้จับมือผมนอกจากไอ้ปืนเพื่อนรัก แต่เนี่ย พีชคือคนที่เพิ่งรู้จักกันมาได้ไม่กี่วันเอง เขาไม่เขินหน่อยเหรอที่จู่ ๆ มาจูงมือผู้ชาย ผมที่ว่าโตกว่าเขาสามปียังหน้าร้อนวูบวาบเลย ยอมรับก็ได้ว่าเขิน! “อย่าเดินนำหน้า” เพราะผมไม่กล้าสู้หน้าเขา เมื่อข้ามมาอีกฝั่งของถนนได้สองขาผมก็เดินจ้ำอ้าวไม่มองซ้ายมองขวา ในหัวยังมีภาพมือเรากุมกันฉายวนไปวนมา และใช่ครับ ผมหุบยิ้มไม่ได้! แล้วผมก็ไม่อยากให้เขาเห็นด้วย “ถ้าไม่เดินนำแล้วจะพาพีชไปร้านถูกได้ไง” ผมยังคงก้มหน้าตอบเขา พูดเสร็จก็รีบเม้มปากแน่น จะไม่ยอมเผยยิ้มเขินอายให้พีชเห็นเด็ดขาด! “เดินข้างกันก็ได้ เดินนำไปแบบนี้ถ้าหันมาไม่เจอเราแล้วไนน์จะทำไง” ฟังที่พีชพูดจบผมจึงนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าถ้าพีชไม่เดินตามผมมาแล้วเขาจะไปไหน แต่พอผมเงยหน้ามามองเขาก็พบว่าเด็กคนนี้หน้าแดงครับ หูเขาแดงมาก “พีชร้อนเหรอ?” “อืม ร้อนรุ่มไปหมดแล้วเนี่ย รีบเดินเถอะ” เป็นอีกครั้งที่กายเราสัมผัสกัน ไม่ได้จับมือกันเหมือนเมื่อกี้นะ แต่ระยะห่างในการเดินของเรามันเบียดกันมากเลย ตัวติดกัน ไหล่ชนกัน มีบางจังหวะที่มีคนเดินสวนมาพีชจะโอบเอวผมแล้วดึงเข้าหาตัวเขาเพื่อให้หลบคนและไม่ชนคนอื่น จะบอกว่ายังไงดีล่ะครับ คือผมไม่ชินเลย ไม่ชินกับการที่ใครมาทำแบบนี้ให้ คนรู้จักกันไม่กี่วันมันต้องดูแลกันขนาดนี้เลยเหรอครับ แล้วผมน่ะมันใจไม่กล้าพอจะหันไปปฏิเสธเขา ได้แต่หันไปยิ้มให้ทุกครั้งที่พีชคอยระวังหน้าระวังหลังให้ พอถึงร้านหมูกระทะเราก็จัดการตักของสดมาวางไว้บนโต๊ะ รอเตาร้อนได้ที่จึงนำทุกอย่างลงไปย่าง ผมได้รู้จักตัวตนของเขามากขึ้นอีกหน่อยหนึ่งแล้วล่ะ พีชไม่กินอาหารทะเล พีชชอบกินเนื้อมากกว่าหมู ชอบกินเต้าหู้ไข่แต่ไม่ชอบกินลูกชิ้นกับวุ้นเส้น ส่วนผมน่ะเหรอ หึ กินทุกอย่างครับ ยิ่งเบค่อนนี่ของโปรดเลย ตักมาห้าจานผมก็กินหมด! “พีชอิ่มแล้วเหรอ?” ผมถามขณะที่เรานั่งกินมาได้ชั่วโมงกว่า พีชเอนหลังนั่งไปกับพนักเก้าอี้พลางยกมือขึ้นลูบท้องป้อย ๆ นี่ผมยังไม่อิ่มเลยนะ น่าจะได้สักครึ่งท้องเอง “กินเยอะแบบนี้ทำไมไนน์ไม่อ้วน เบค่อนจานที่เจ็ดแล้วนะ” “เราชอบกิน แต่กินยังไงก็ผอมอะ อาจเป็นที่กรรมพันธุ์ด้วยมั้ง บ้านเราตัวเล็กทั้งบ้านเลย” “พี่นัทกับพี่นีนก็ตัวเล็กเหมือนไนน์เหรอ?” “อืม ใช่ ๆ เอ๊ะ ว่าแต่ทำไมเรียกพี่นัทกับนีนว่าพี่ได้ แต่พีชไม่ยอมเรียกเราว่าพี่” “ไนน์ไม่เหมือนพี่ เวลาไนน์ยิ้มมันเหมือนเด็ก สดใสไปหมด” อ่า ถ้าพูดเรื่องยิ้มมาแบบนี้ผมมีอะไรจะถามเขาเหมือนกัน “ถามหน่อยได้ไหมทำไมพีชชอบมองปากเรา ทำไมชอบบอกให้เรายิ้ม เวลาเรายิ้มแล้วเราเหมือนใครเหรอ?” “เปล่า...” “เราบ้าจี้น่ะ เห็นอะไรก็ยิ้มก็ขำไปหมด ถ้าพีชไม่ชอบรอยยิ้มเรา เราก็ทำอะไรไม่ได้ งั้นก็อย่าทำให้เราขำ” “เคยบอกว่าไม่ชอบตอนไหน” นั่นสินะ พีชไม่เคยบอกว่าไม่ชอบนี่นา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยพูดว่าชอบตอนผมยิ้มเหมือนกัน ช่างเถอะ ผมไม่ได้ติดใจอะไรนักเพียงแต่สงสัยตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรกแล้ว เขาไล่สายตามองผมขึ้นมาจากด้านล่างตั้งแต่เท้า หัวเข่า เอว อก คอ และปาก พีชมองปากผมนานมาก ผมเห็นแววตาเขาเปลี่ยนไป มันวูบไหวประหลาดจนผมประหม่าตั้งแต่ครั้งแรก แต่ก็ยังคงฉีกยิ้มให้เขาเพราะไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไง หลังจากนั้นมาจนกระทั่งไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขาก็ยังสั่งให้ผมยิ้มอีกแล้ว ผมก็บ้าจี้ เขาให้ทำอะไรก็ทำตามหมด ผ่านไปพักหนึ่งผมก็อิ่ม ของที่ตักมาวางบนโต๊ะหมดเกลี้ยงทุกจานเลย กินบุฟเฟต์นี่ผมกินคุ้มราคาอยู่แล้วครับ ผมกินเก่งนะ กินเยอะด้วย แต่มันไม่อ้วนครับ หลังจากออกจากร้านหมูกระทะ ผมกับพีชพากันเดินมาจนถึงหน้าปากซอย ขณะที่ผมกำลังจะควักเงินค่าแท็กซี่ให้เขากลับบ้าน พีชกลับคว้ากระเป๋าตังค์ของผมไปแล้วเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงให้ผม “อ้าว เราจะให้ค่ารถพีชไง” “ไม่เอา” “เห้ย ไม่เป็นไร ที่นี่มันไกลจากบ้านพีชนะ เราไม่อยากให้พีชนั่งรถเมล์ มันช้า นี่สามทุ่มแล้วพีช กลับบ้านดึกไม่ดีนะ ผู้ใหญ่จะเป็นห่วง” พีชไม่เคยฟังผมเลยสักครั้ง เขาทำหูทวนลมแล้วจูงมือผมเดินจากตรงนี้ไปหน้าตาเฉย ถามยังไงก็ไม่ตอบว่าจะพาไปไหน กระทั่งเขาเลี้ยวเข้าซอยที่หอผมอยู่ผมจึงรู้ทันที อ่า ผมมันคนคิดน้อยเอง ใครถามอะไรก็บอกหมด ดันบอกพีชตั้งแต่แรกว่าหออยู่ซอยไหน หอสีอะไร แล้วเขาก็จำแม่นเสียด้วย พาผมมาส่งถึงหอจนได้ “ถึงแล้ว ขึ้นห้องไปอ่านหนังสือเถอะ ว่างก็ทักมา” “ขอบใจนะพีช อ้ะ เอาค่ารถไป พีชต้องนั่งแท็กซี่กลับนะจะได้ถึงบ้านเร็ว ๆ” พอผมจะล้วงหยิบกระเป๋าตังค์พีชก็รั้งข้อมือของผมเอาไว้แน่น “เปลี่ยนเป็นยิ้มได้ไหม ยิ้มหวาน ๆ เลย” “แบบนี้เหรอ?” ผมฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟัน แถมทำตาเหล่ใส่พีชหนึ่งทีจนเขาหัวเราะ “ฮ่า ๆ ๆ ไนน์ติงต๊องจริงด้วย” “ก็บอกแล้วว่าเป็นคนติงต๊อง” “ยิ้มดี ๆ อีกที จะไปแล้ว” คราวนี้ผมไม่แกล้งเขาแล้ว เผยยิ้มปกติอย่างที่ผมยิ้ม มองเขาปกติอย่างที่ผมมอง แต่พีช... มองผมไม่ปกติ สายตาของเขาตอนนี้มองผมด้วยแววตาเป็นประกาย ผมคุ้นเคยกับสายตาแบบนี้ดี มันเหมือนตอนที่ไอ้ปืนตามจีบแฟนมันตอนนั้นเลย! “พีช พีชจีบเราปะเนี่ย?” อะไรทำให้ผมใจกล้าถามออกไปก็ไม่รู้ แต่ผมมั่นใจนะว่าสายตาแบบนี้มันเหมือนเพื่อนผมตอนนั้นจริง ๆ ปกติคนเราไม่มองกันแบบนี้ วันนี้พีชก็ไม่ได้ใช้สายตาแบบนี้มองผมด้วย เขาเพิ่งทำตาหวานใส่ผมเมื่อกี้นี้เอง “ถ้าจีบจะติดไหม?” “ไม่ติดหรอก เราติดสอบ ไม่มีเวลาคุย” ถามตรงผมก็ตอบตรง... “โอเค สอบเสร็จค่อยว่ากัน” “แล้วตกลงจีบเราไหมเนี่ย?” “ไม่บอก” นอกจากผมจะไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาแล้ว ยังได้เห็นพีชมุมทะเล้นอีกด้วย เขาแลบลิ้นใส่ผมทีหนึ่งด้วยท่าทางกวนประสาท จากนั้นก็ล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วผิวปากเดินหันหลังไป ผมได้แต่ยืนมองเจ้าเด็กชุดนักเรียนคนนี้ด้วยอาการหัวใจเต้นแรง มันเต้นแรงกว่าตอนที่พีชจูงมือผมข้ามถนนตอนเย็นเสียอีก ผมไม่รู้หรอกนะว่าพีชน่ะจะมาไม้ไหน แต่สัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้มองผมเป็นแค่พี่หรือเพื่อน สายตาที่เขามองผมมันเปลี่ยนไป ซึ่งผมไม่ได้อ่อนต่อโลกถึงขั้นมองไม่ออก ถึงผมจะไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนมาก่อน แต่ว่าผมมีคนคุยมาตลอดนะครับ แล้วกับพีชนับว่าเป็นคนคุยได้ไหมนะ ถ้าเขาเข้ามาจีบจริง ผมก็พร้อมจะเปิดใจนะ ผมอยากมีแฟนแล้วอะครับ ฮือ END TALK
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD