“รับรองอย่างไรของเจ้า” ยี่หวาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “หอของเรารับลูกค้าได้ตั้งแต่ยามอุ้ย (13.00) เจ้าหัวกระแทกจนลืมไปแล้วรึ”
“อ่า ข้าหมายถึงไปนั่งดื่มแบบส่วนตัว หาใช่ขึ้นห้องไม่ ไม่เอาแล้ว ข้าไปหาท่านแม่ดีกว่า” เบี่ยงร่างหลบสตรีนางโลมอันดับต้นๆ ไปยังหน้าหอนางโลม สถานที่ที่มีท่านแม่ของนางนั่งยิ้มดื่มชาเอ่ยต้อนรับเหล่าบุรุษ แน่นอนว่าการจับจองตัวสตรีนางโลมย่อมต้องเกิดขึ้นในยามนี้ด้วยเพราะนางเห็นได้ชัดเจนเลยว่าท่านแม่ของนางมีสมุดอยู่ในมือหนึ่งเล่ม!
หนิงเจี่ยเจียก้มลงไปบันทึกเวลาการจองตัวนางโลมตามลำดับที่บ่าวชายจากสกุลหนึ่งมาแจ้งเอาไว้เมื่อครู่พร้อมกับเก็บเบี้ยหวัดการจองไว้ในลิ้นชักด้านข้าง สาเหตุของการออกมานั่งต้อนรับลูกค้าเช่นนี้ด้วยตนเองนั่นเพราะต้องการตรวจสอบความเป็นไปของหอนางโลมว่ายังมีลูกค้าหมุนเวียนมามากกว่าเดิมหรือเท่าเดิม ซึ่งเท่าที่เห็นก็คือมีมาเรื่อยๆ ไม่เคยขาดเลยทั้งบุรุษจากต่างแคว้นและในแคว้นโจวแห่งนี้
“ท่านแม่เจ้าขา”
ผู้ถูกเรียกเผยรอยยิ้มให้บุตรสาวสุดที่รักที่เดินเข้ามานั่งลงด้านข้าง ^^ “ว่าอย่างไร” สายตามารดาลอบสังเกตหนิงชิงหงที่วันนี้แลดูผุดผาดแจ่มใส ไม่เหมือนทุกวันอย่างแปลกใจ แต่เดิมอีกฝ่ายไม่ชอบออกมานั่งด้านหน้ารับลูกค้าเช่นนี้ ที่ทำเป็นประจำก็คือยกน้ำชามาให้นางและกลับเข้าไปด้านหลังในส่วนของเรือนนอนเท่านั้น จะพบกันอีกครั้งคือยามรับสำรับกลางวันซึ่งแน่นอนว่าจะพากันไปรับตรงชั้นลอย ยิ่งพลบค่ำก็ยิ่งไม่ออกมา ยกเว้นครานั้นที่มาแล้วเกิดลื่นล้มจนหัวฟาดพื้น “วันนี้ลูกแม่ทำตัวแปลกๆ”
หนิงชิงหงกอดแขนมารดาผู้งดงามสมวัย ยิ่งในวันนี้ท่านสวมเกาะอกสีม่วงเข้ม มีผ้าสีขาวผืนบางปกคลุมช่วงไหล่ ใบหน้านั้นงดงามไร้ที่ติ ช่างเข้ากันกับทรงผมที่มวยขึ้นสูงแล้วปักปิ่นรูปดอกไม้ห้อยเป็นระย้าลงมา ‘แม่เล้าจริงๆ’ “แปลกอย่างไรเจ้าคะ” ^^ “ที่จริงวันนี้ ลูกบังเอิญคิดได้แล้วว่า หากลูกต้องเปิดร้านอะไรสักอย่าง ลูกต้องหัดเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน อันที่จริงลูกก็ยังมิเคยมาดูท่านแม่ทำงานแบบจริงจัง จะเป็นอะไรไหมเจ้าคะ ถ้าลูกอยากจะเริ่มเรียนรู้มันในวันนี้จนกว่าลูกจะเก่งเหมือนท่านแม่”
“แม่ดีใจที่ลูกคิดได้” แต่หากหนิงเจี่ยเจียมิได้เอ่ยถึงเรื่องที่นางต้องการให้บุตรสาวมาเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับเรื่องหอนางโลมแห่งนี้ต่อ ซึ่งตัวนางละไว้ให้บุตรสาวได้มีทางเลือกเป็นของตนเองเสียก่อน...ปล่อยให้เรื่องการสืบทอดสถานที่แห่งนี้เป็นเรื่องหลัง นั่นหมายถึงถ้าหากบุตรสาวไม่อาย ‘ว่าที่นี่คือหอนางโลม’ “มาเถอะ อยากถามสิ่งใดแม่ยินดีจะสอนเจ้า” ^^
“เจ้าค่ะ”
วันนั้นทั้งวันสตรีสองแม่ลูกนั่งต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้มจวบจนเย็นย่ำ หลากหลายบุรุษที่มิเคยพานพบบุตรสาวเจ้าของหอนางโลมต่างเฝ้าถามว่าหนิงชิงหงคือผู้ใด ไม่เพียงแต่หนิงชิงหงจะไม่อายที่ต้องตอบคำถาม นางยังยิ้มหวานทางการค้าใส่บุรุษทุกคนไม่เว้นทุกช่วงวัยอีกด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีในสายตาของหนิงเจี่ยเจียผู้เป็นมารดา
“รอบสุดท้ายของการรับรองลูกค้าในหอนางโลมคือยามใดเจ้าคะท่านแม่” หนิงชิงหงเดินตามมารดาผ่านเหล่าลูกค้าออกไปยังส่วนของเรือนนอนทางด้านหลังพร้อมกับถามเก็บข้อมูล
“ก่อนยามไฮ่ (22.00) แต่หากเมื่อใดที่แม่ออกไปจากหอก่อนเวลาแล้วจะมีพ่อบ้านของเรามานั่งรักษาการแทน วันนี้แม่เจ้ามีความสุขที่บุตรสาวมานั่งต้อนรับลูกค้าพร้อมแม่ แม่จึงอยากจะพาเจ้าไปส่งที่เรือนแล้วค่อยกลับเข้ามาอีกครั้งก่อนจะปิดหอ” มิใช่ว่าอยากจับผิดผู้ใด เพียงแค่นางมีความสุขที่ได้ทำ บวกกับสตรีในหอนางโลมทุกคนต่างพึงพอใจในอาชีพนี้ แม้บางคนมาเพราะกู้ยืม แต่หากใช้หนี้เสร็จเรียบร้อย เจ้าของหอนางโลมอย่างนางย่อมยินดีมอบอิสระให้ แม้จะเป็นเช่นนั้นก็มีนางโลมเพียงส่วนน้อยอย่างฉินอ้ายที่มีตำแหน่งอนุรออยู่แล้ว
หนิงชิงหงตาโต ‘นั่นคือเวลาเริงราตรีเลยมิใช่รึน่ะ’ “ท่านแม่เจ้าขา ใยเราจึงไม่อยู่รอดูจนหอนางโลมปิดไปเลยเจ้าคะ” เสียงดีดฉินดังแว่วตามหลังเป็นทำนองไพเราะ ชวนให้หัวใจสตรีรักสนุกเช่นนางถึงกับคันยุบยิบ สายตาลอบมองยามรักษาการรอบค่ำที่เริ่มหนาตา จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนกลางคืนเหล่าบุรุษยอดฝีมือมากกว่าสามสิบคนที่มารดาว่าจ้างจะมาเฝ้าเวรยามโดยรอบหอนางโลม สาเหตุที่มีมากเช่นนี้นั่นเพราะป้องกันสตรีจากการถูกทำร้ายร่างกายโดยลูกค้าที่มิรู้ความ บางคนเมาและอาละวาด บางคนหมดรอบแล้วยังมิยอมกลับ ถึงแม้เรื่องที่ว่าจะมีส่วนน้อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีให้ได้จัดการเลย หนักๆ เคยมีมาแล้วในเรื่องการลักลอบเข้ามาถึงในเรือนพักทางด้านหลังเพื่อขโมยสตรีในดวงใจ ผลสรุปสุดท้ายคือการถูกซ้อมและจับกุมเข้าห้องขังจนอับอายกันเลยทีเดียว
“หืม” หนิงเจี่ยเจียทำหน้าแปลกใจให้บุตรสาวที่ดูคล้ายว่าวันนี้อีกฝ่ายช่างขยันทำเรื่องให้นางได้ตกใจอยู่บ่อยครั้ง ‘จากที่ไม่เคยคิดที่จะสนใจเรื่องภายในของหอนางโลม กลับมาเป็นนั่งต้อนรับลูกค้ากับนางในวันนี้’ “แม่คิดว่าเจ้าไม่ชอบเสียอีก”
สตรีต่างภพถึงกับต้องเม้มปาก ‘จะให้บอกว่าที่นางเปลี่ยนใจ นั่นเพราะนางมิใช่ลูกสาวของท่านก็กล่าวไม่ได้’ บทสรุปจึงจบอยู่ที่ข้ออ้างแบบสมเหตุสมผล “ลูกหาใช่มิชอบใจ เพียงแต่ลูกยังมิใช่สตรีที่โตเต็มวัย จึงไม่อยากออกมาวุ่นวายเดินเล่นในหอนางโลมให้เป็นข้อครหา ต่างกับยามนี้ที่ลูกใกล้จะสิบห้าแล้ว ลูกสมควรคิดถึงกาลข้างหน้าและอนาคตของตนเองเจ้าค่ะ”
^^ ใบหน้าของผู้ฟังยิ้มจนเต็มแก้ม คำสารภาพนี้ช่างจับใจเหลือเกิน ไม่ว่ากาลข้างหน้าของบุตรสาวจะเปลี่ยนไปทิศทางใด มารดาเช่นนางพร้อมจะสนับสนุนจนเต็มที่ “แม่ดีใจที่ได้ยินเช่นนี้ เอาไว้ถ้าหากเจ้าอยากอยู่ร่วมกับแม่จนถึงเวลาหอปิด ก็ค่อยเริ่มในวันอื่น ไม่แน่ว่าหลังจากคืนนี้ไปเจ้าอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ผู้ใดจะรู้”
หนิงชิงหงพยักหน้ารับกับคำพูดนั้นของมารดาทั้งที่ในใจนางไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง ในทางกลับกันนางกำลังคิดถึงกิจการใหม่...ในแบบที่ตนถนัด?
&&&&
นับจากวันที่สตรีต่างภพอย่างรัญดาได้เข้ามาอยู่ในร่างของหนิงชิงหงวัยสิบสี่หนาวได้เกือบหนึ่งเดือน นางได้เฝ้าสังเกตผู้คนทุกเพศทุกวัยรวมไปถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีจัดการทุกเรื่องในหอนางโลม ‘ชาติก่อนเป็นเลขาผู้บริหาร เพราะงั้นเรื่องการจัดการภายในหอนางโลมก็แค่เรื่องเล็ก’ “ท่านลุงโม่ ที่ดินด้านข้างของหอนางโลมเป็นของผู้ใดรึเจ้าคะ” หนิงชิงหงสอบถามพ่อบ้านที่อยู่ดูแลหน้าหอนางโลมกับนางในวันนี้ ตากลมมองเหม่อออกไปตรงรั้วไม้กั้นระหว่างพื้นที่ของมารดาและเพื่อนบ้าน บ่อยครั้งที่นางเดินออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบ นางมักจะสงสัยอยู่ตลอดเวลาที่มองเหม่อเข้าไปในบ้านเล็กนั้น จะกล่าวว่าไม่มีคนอยู่ก็คงใช่ ในเมื่อต้นไม้ใบหญ้าดูรกครึ้มไปหมด มองคร่าวๆ แล้วมีอาณาเขตประมาณสองร้อยตารางวา ไม่เล็กไม่ใหญ่และไม่เห็นมีใครอยู่