ยามเซิน (14.30)
หนิงชิงหงนั่งมองตนเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ใบหน้ารูปไข่เนียนใสไร้ฝ้ากระ หน้าผากมนสวยมีไรผมประปรายไร้ที่ติ จมูกโด่งรับกับริมฝีปากบางสีชมพู มองยังไงก็ไม่น่าเบื่อ หนำซ้ำยังมีแววว่าจะสวยขึ้นอีกเมื่อโตเป็นสาวเต็มตัว “อีกสองปี ถ้าไม่งามเป็นอันดับหนึ่ง ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วชิงหงเอ๊ย!” สองขาเรียวลุกขึ้นสำรวจเรือนร่างที่อยู่ภายใต้ผ้าขนหนูผืนเล็กอย่างพึงพอใจ วัยย่างเข้าสิบห้าหนาวของยุคสมัยนี้ ดูคล้ายจะโตกว่ายุคสมัยที่นางจากมา สังเกตได้จากหน้าอกอวบนูนเด่น เอวเล็กเริ่มคอดกิ่วกับสะโพกสวยแอ่นโค้ง ‘เห็นทีนางควรจะเริ่มออกกำลังกายให้เนื้อตัวดูกระชับแน่นกว่านี้เสียแล้ว’ “ได้เวลาออกไปสำรวจชีวิตใหม่ของตัวเองได้แล้วมั้ง” ร่างเล็กเดินไปยังตู้เสื้อผ้าพร้อมกับค้นหาชุดแต่งกาย หนึ่งผ้าผืนเล็กสามเหลี่ยมปกปิดท่อนล่างที่ดูคล้ายกางเกงชั้นในแบบผูกกับเอี๊ยมบังทรงที่ต้องจัดการไปแบบอัตโนมัติ หากถามว่านางไม่ตกใจ แปลกใจหรืออย่างไร คำตอบก็คงเป็น ไม่ได้แปลกใจเลยเพราะร่างกายนี้มันทำทุกอย่างเหมือนมีระบบอัตโนมัติควบคุมอยู่ ส่วนเรื่องยกทรง...ใส่แล้ววูบโหวงรึก็เปล่า เพราะนางเองก็โนบราออกจะบ่อยในยุคสมัยเดิม “สีชมพูก็หวานไป เอาสีฟ้าละกัน” ชุดสตรีจีนถูกสวมใส่บนร่างกาย หัวสมองคิดไปถึงชาติเดิมที่จากมา ถามว่ามันดีรึเปล่าที่ตัวเองย้อนยุค คำตอบในใจคงมีอยู่สองอย่างคือหนึ่ง โชคดีที่ไม่ตาย อย่างที่สองคือ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะไม่รู้เหตุการณ์ในภพเดิม ‘เอาเถอะ ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตานั่นล่ะ’
เมื่อเดินออกมาจากห้องของตนเอง นางก็พบว่าตรงหน้าคือสวนขนาดย่อม ช่างน่าแปลกที่บริเวณนี้มีแค่ห้องของนาง? หรือจะกล่าวว่ามีแค่เรือนพักของนางแค่เรือนเดียว สองขาเล็กเดินลงบันไดหน้าเรือนที่มีเพียงสี่ขั้นก่อนจะหันมองไปทางด้านขวา เห็นเรือนไม้หลังใหญ่กว่าของนาง แน่นอนว่าสตรีต่างภพเข้าใจว่ามันคือเรือนของ ท่านแม่ มากกว่าความอยากรู้อยากเห็น เรื่องเรือนของท่านแม่คงต้องปล่อยไป เพราะสิ่งที่ใคร่รู้ในตอนนี้คงจะเป็น ‘หอนางโลมเจี่ยเจียที่อยู่ในเรือนไม้สามชั้นขนาดใหญ่ตรงหน้านี้มากกว่า’ การสำรวจด้วยสายตาดำเนินไปโดยไม่หยุดพัก ด้านซ้ายมือเป็นเรือนอะไรบางอย่างมองดูคล้ายกับหอพักสองชั้น หากกะจำนวนของประตูห้อง นับได้ประมาณสามสิบห้อง ซึ่งนางรับรู้ได้ว่าหอแห่งนี้คงเป็นหอนอนของสตรีนางโลม ถัดไปอีกเล็กน้อยจะเป็นโรงครัว ภาพจำในสมองผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ว่าทุกอย่างที่เห็นตรงหน้าคือสถานที่ใด ทั้งหมดนี้คงต้องขอบคุณเจ้าของร่างที่ยังคงทิ้งความทรงจำเอาไว้ตั้งแต่วินาทีที่นางฟื้น
“ชิงเอ๋อ”
เสียงเรียกอันแสนคุ้นเคยในความรู้สึก ดังมาทางด้านขวามือ เสียงนั้นที่ตอบโจทย์เอาไว้ว่ามันคือเสียงของ ‘ท่านแม่’ ขวับ! นางหันไปยังทิศนั้นและพบกับสตรีสูงวัยกว่าที่งดงามจนไร้ที่ติ ชุดเกาะอกสีแดงเพลิงขับผิวกายขาวสะอาดให้ดูน่ามอง ใจอดยอมรับไม่ได้เลยว่าท่านแม่ของนางในภพนี้ สวยกว่าตัวจริงของนางในภพเดิมที่จากมาเสียอีก “ท่านแม่” ในน้ำเสียงสั่นเครือที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจดังขึ้นโดยที่เจ้าตัวควบคุมไม่ได้ ยิ่งท่านแม่ของนางอ้าแขนรอ สองขาบอบบางก็ไม่คิดลังเลที่จะวิ่งเข้าไปสวมกอดท่าน อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นคล้ายกับกำลังปลอบโยนนั้น พาลพาให้ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่ลำคอ “ฮึ่กๆ” ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลประดังเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งสับสน อ่อนแอ มึนงงและหวาดกลัว มันปะปนกันไปหมด สตรีหลงยุคเช่นนางหากไม่ร้องไห้ในตอนที่มีโอกาสนี้ จะให้ไปร้องไห้ยามใดได้อีก “ลูกกลัว”
หนิงเจี่ยเจียลูบผมของบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางอย่างเบามือ คิดย้อนไปถึงอุบัติเหตุครั้งแรกในชีวิตของหนิงชิงหง ก็ทำให้มารดาเช่นนางถึงกับสั่นสะท้าน ภาพเลือดสีแดงสดที่ติดบนศีรษะของลูกทำให้นางหวาดกลัวกับการสูญเสียไม่ต่างกัน “เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องกลัวลูกรัก”
ความรู้สึกรักที่นางสัมผัสได้จริง ส่งผลให้หัวใจสตรีผลัดถิ่นพองโต การย้อนยุคมาครานี้ คงมิมีสิ่งใดให้กังวลอีกต่อไปแล้วนอกจากเรื่องที่ว่า...ตัวนางอาศัยอยู่ในหอนางโลม ภายภาคหน้าก็อาจต้องขายเรือนร่าง! ‘อ่า แต่มันก็มิใช่เรื่องที่น่ากังวลหรอก’ “เจ้าค่ะ แล้วนี่ท่านแม่กำลังจะมาหาลูกรึเจ้าคะ” เงยหน้าขึ้นมองท่านแม่ที่สูงกว่านางเพียงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้ ^^
“ใช่ แม่ตรวจงานเสร็จแล้วและกำลังจะไปหาเจ้า แล้วเจ้าเล่า หายดีแล้วรึถึงได้ออกมาเดินเพ่นพ่านได้” จับมือบุตรสาวเดินกลับไปยังหอนางโลมซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าในพื้นที่เดียวกันที่มีนางเป็นเจ้าของ กล่าวว่าสตรีขายเรือนร่างเช่นนางใยจึงมีบุตรได้...นั่นสิ มันเป็นเรื่องในอดีตที่ไม่น่าจดจำนัก
“หายแล้วเจ้าค่ะ” สองตามองไปทั่วบริเวณประตูทางเข้าด้านหลังของหอนางโลมที่มารดาของนางพามา ที่ตรงนี้มีบุรุษใบหน้าคมเข้มน่ากลัวยืนเฝ้าเส้นทางอยู่ สองบุรุษนั้นผงกหัวให้ท่านแม่และนาง ก่อนจะทำหน้านิ่งเฝ้ายามต่อไป เมื่อหนิงชิงหงเดินเข้าไปถึงส่วนของหอนางโลม ดวงตากลมฉายแววพึงพอใจออกมาอย่างปิดไม่มิด เส้นทางเดินตรงกลางขนาบข้างด้วยห้องที่มีฉากกั้นเอาไว้ เดาจากสายตาแล้วมีประมาณสิบสี่ห้อง เสียงสตรีกับบุรุษหยออกล้อกันดังเล็ดลอดออกมา ผ่านจากจุดส่วนตัวนั้นก็เป็นพื้นที่กว้างขวาง มีโต๊ะรับแขกมากกว่าสิบตัว และทุกโต๊ะนั้นมีเหล่าบุรุษนั่งอยู่จนเต็ม มองดูแล้วช่างคล้ายโรงน้ำชาจะต่างกันก็แค่มีเวทีเล็กๆ และสตรีผู้หนึ่งกำลังร่ายรำ? ท่วงท่าอ่อนช้อยยั่วยวนจนอดีตสตรีเจ้าเสน่ห์ถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอ “วันนี้พี่ฉินอ้ายขึ้นรำรึเจ้าคะ” ในคำถามนั้นสร้างความแปลกใจให้กับตัวเองไม่น้อยที่นางพูดถึงสตรีบนเวทีนั้นเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา...ซึ่งมันคงธรรมดาหากเป็นเจ้าของร่างคนเดิม มิใช่นางที่มาจากต่างภพ
“ใช่ ฉินอ้ายขึ้นเวทีเป็นครั้งสุดท้ายเพราะมีบุรุษใจดีมาซื้อตัวนางออกไปแล้ว” หนิงเจี่ยเจียเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะพาบุตรสาวเข้าไปนั่งบนชั้นลอยซึ่งเป็นจุดที่มองเห็นทุกอย่างภายในร้านชั้นล่าง (ชั้นที่สูงกว่าชั้นหนึ่งแต่สูงไม่เท่ากับชั้นสอง) “อายี่ เอาของโปรดของชิงเอ๋อมาให้ด้วย” สั่งคนสนิทที่ตามติดรับใช้นางอยู่เป็นประจำ แต่หากยามใดที่นางไม่อยู่ในหอนางโลม อายี่ก็ยังทำหน้าที่เสี่ยวเอ้อโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
“ขอรับนายหญิง”