หลังจากเสร็จงานในครัว และยกกับข้าวออกมาวางนอกระเบียงเรียบร้อยแล้วนั้น สิ่งแรกที่เธอชำเลืองมองคือเขา ชายหนุ่มต่างชาติซึ่งนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่ ที่เดิมตั้งแต่เมื่อตอนเย็น พร้อมสายตาทอดมองออกไป ใครก็เดาไม่ได้เขาคิดอะไรอยู่
มุมนี้ของเขา ทำให้เธอถึงกับชะงักค้างกลางคัน เพราะบุคลิกที่เห็น เธอเคยเห็นแต่ในทีวี ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอตรงหน้า ที่มีในตัวเขา
มาดนิ่งสุขุม ราวกับเจ้าพ่อมาเฟีย ไม่ก็นักรบหลุดออกมาจากอดีต น่าเกรงขามดุจดั่งฟาโรห์สมัยยุคอียิปต์โบราณ หรือไม่ก็ดาวดวงอื่นเถือกนั้น ก่อนจะชะงักเป็นครั้งที่สอง เมื่อได้ยินเสียงเรียกของบัวผัน มารดาของเธอ
" ปะกา ไปตามพี่เขามาสิลูก "
" เขาจะกินได้เหรอแม่ " เธอหันไปถามกลับ นั้นทำให้บันลือซึ่งร่วมวงและลงมือกินล่วงหน้าไปก่อน เพราะความหิวโหยที่สะสมมานานแล้ว แทรกขึ้น
"กินไม่ได้ก็ไม่รู้แล้วโว้ย ข้ากินก่อนล่ะ"
แน่นอนมันทำให้ปะกา หันขวับไปมอง พร้อมแสร้งมองต่ำให้เหลือแต่ตาขาว
" เดี๋ยวองค์ย่าก็มาลงอีกหรอก "
" เอ๊~ นางนี่ "
ก่อนจะยิ้มตาหยี และหัวเราะเสียงดังภายหลัง เมื่อเห็นการแหย่เล่นของเธอ สามารถทำผู้เป็นพ่อโกรธได้ จากนั้นจึงจะอธิบายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง
" ที่บอกว่าเขากินไม่ได้น่ะ เพราะมันเผ็ดมาก~ ฉันได้ยินมาว่าอาหารบ้านเขาไม่ค่อยเน้นรสจัด "
"เอาน่าไม่ลองก็ไม่รู้ เผื่อเขาชอบ ที่ไม่เผ็ดก็มี ปะกาไปตามพี่เขามาลองกินก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ แม่จะไปหาอย่างอื่นให้ "
" ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกแม่บัวผัน ปลาสลิดก็มี นั่นไข่ทอด ไหนจะน้ำพริกผักลวก โอ๊ย! เยอะแยะอลังการงานสร้าง กินๆ ไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้ก็จะส่งมันกลับอยู่แล้ว "
ประโยคหลังของบันลือ ทำร่างบางที่กำลังขยับตัว ทำท่าจะคลานเข่าไปอย่างคนเป็นแม่ว่าถึงกับชะงัก เธออ้าปากเตรียมจะเถียงอีกรอบ ทว่าคราวนี้กลับถูกแม่ของเธอปรามไว้ โดยการจับต้นแขนและส่ายหน้าเบาๆ
"ไปเถอะลูก ไปชวนพี่เขามา" เธอพยักหน้า
แต่ไม่ได้ไปตัวเปล่า กลับเอื้อมหยิบจานสองจาน ช้อนสองคัน ตักข้าวตักกับหยิบปลาใส่ไปด้วย จัดเป็นสองชุด และถือไปด้วยซะงั้น ทำบัวผัน บันลือ ที่นั่งมองอยู่ถึงกับมองหน้ากันเอง ก่อนบันลือจะเป็นคนเอ่ยเพราะรู้นิสัยของลูกดี
" มันพูดไม่เป็นอ่ะดิ ถึงได้ตักไปกินด้วย หึ ฉลาด "
แน่นอน นั่นจึงทำคนเป็นแม่ยิ้มตาม พลางส่ายหน้าเอือมระอา บ่งบอกถึงความภูมิใจเล็กๆ น้อยๆ ในตัวลูก ที่มีนิสัยเป็นคนเข้ากับคนง่ายตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
หล่อนมองถามจนกระทั่งเธอเดินไปถึง และชำเลืองมองการกระทำนั้นไม่ขาด
" กินข้าว "
น่าแปลก คำบอกเล่าแค่สั้นๆ ที่ออกมาเป็นภาษาไทย คราวนี้กลับทำเขาเข้าใจกว่าคำอื่นๆ
คูดัสหันกลับมาก้มลงมองจานในมือ ที่ถูกยัดเข้ามาด้วยมือของเธอ ด้วยสีหน้าที่เรียบ
" กิน "
กับท่าทางบอกใบ้สีหน้าบึ้งตึง ที่ดูยังไงก็ยังน่ารัก เพราะเธอไม่ได้ต้องการให้เขาเข้าใจในสิ่งที่สื่อก่อน แต่กลับกินโดยไม่รีรอ นั่นจึงทำให้มาเฟียในคราบคนป่วยอย่างเขาเผลอยิ้ม ทว่าเพียงแค่มุมปาก ก่อนจะเลือกกินตามเธอ แต่เหมือนจะติดปัญหาอยู่อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน นั้นก็คือเขา...กินปลาสลิดไม่เป็น
มันตัวเล็กเกินจนเขาคิดจะกินมันทั้งตัว คำเดียวรวด
" เฮ้ยยย เดี๋ยวๆ เอามานี่ "
แต่แล้ว...
กลับถูกร่างบางร้องห้ามไว้ พร้อมแย่งไปจากมือเสียก่อน
" หักก่อนสิ มันกรอบเห็นไหม เดี๋ยวก็ทิ่มคอตายหรอก"
และอาสาเอาไปฉีกให้ ก่อนจะยื่นกลับด้วยการยัดมันเข้าไปในปากเขา
" -0-"
ในขณะคูดัสเหมือนจะยอมกินแต่โดยดี ทั้งที่ยังงุนงง
ท่ามกลางความเงียบ ที่มีเพียงเสียงคลื่นทะเลซัดเข้าฝั่ง กระทบกับโขดหินและเรือจนเกิดเสียงตามมา บวกกับสัตว์เล็กแมลงน้อยร้องผสานเสียงระงมเพราะข้างกันเป็นเขตของป่าและภูเขา
ทว่า ณ ตอนนั้น คนทั้งสี่จะไม่รู้เลย ว่าได้มีใครบางคนที่พวกเขารู้จักดีซุ่มมองอยู่ นั่นคืออินทรลูกน้องของภูผา ชายหนุ่มที่อุตส่าห์ทิ้งสิ่งที่ทำอยู่ เพื่อเดินเข้ามาถามเธอ แต่กลับถูกเมินและตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า เมื่อช่วงเย็นนั้น
เขาแอบซุ่มดูอยู่นาน จนกระทั่งหมุนตัวกลับ เพราะคิดว่าข้อมูลที่ได้มามากพอที่จะรายงานนายได้แล้ว
แต่แล้ว..
ในขณะที่วิ่งไปยังไม่ทันจะได้ถึงครึ่งทาง กลับชนกับอะไรบางอย่างเสียก่อน และต้องรอจนกว่าเขานั้นจะเงยหน้าขึ้นไปมองเอง รอให้สายตาสามารถปรับเข้ากับแสงได้จึงจะรู้ว่า สิ่งที่เขาชนไม่ใช่ต้นไม้หรือเสาไฟแต่อย่างใด ทว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีลักษณะไม่ต่างกับคนที่เขาไปแอบสอดรู้สอดเห็นมาเมื่อสักครู่นี้
ความสูงที่มีมากกว่า บวกกับความถึกและบึกบึน เรียกได้กว่ากระดูกคนละเบอร์ ทำให้เขาถอยล้มลงบนพื้นทรายไม่เป็นท่า และที่สำคัญพวกเขามากันสี่คน พร้อมการแต่งที่แตกต่างจากคนที่นี่ ด้วยเสื้อหนังสีดำอย่างดีและรองเท้าคอมแบตหนาเตอะ เหมือนกันหมดราวกับผู้ดีในละคร
" พะ พวกแกเป็นใคร "
อินทรเอ่ยถาม น้ำเสียงตะกุกตะกักบ่งบอกถึงความกลัวออกมาอย่างชัดเจน และเพราะเป็นภาษาที่พวกเขาไม่เข้าใจ จึงเลือกที่จะไม่พูดตอบ แต่กลับใช้มือหนาขยุ้มคอเสื้อเขาขึ้นมาแทน ทำอินทรถึงกับเบิกตาโพลง ทว่าไม่คิดที่จะต่อสู้ ดูจากกำลังการดึงตัวเขาขึ้นไปจนแทบลอยจากพื้น แบบยังไม่ทันออกแรง แค่นี้ก็พอจะรู้แล้ว
" พวกนายต้องการอะไร "
" Shut up! "
ยิ่งถูกสั่งให้หุบปากก็ยิ่งแล้วใหญ่ คราวนี้อินทรถึงกับทำตามอย่างว่าง่าย เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ขู่เพียงปากเปล่า แต่กลับดึงปืนออกมาจ่อปลายคางเขาด้วย ก่อนหนึ่งในนั้นจะดึงสมาร์ทโฟนออกมาติดต่อหาใครบางคน
เมื่อปลายสายรับ อินทรที่ว่างง ยิ่งช็อกหนักเข้าไปอีก เพราะภาษาที่พวกเขาใช้พูดกันเอง ไม่ใช่ภาษาสากล แต่เป็นภาษาที่เขาไม่คุ้นเคย
" นายครับ เจอเด็กคนนึงแถวชายหาด ท่าทางน่าจะรู้เรื่องดี เอาไงดีครับ "
(ให้มันพาไปหาผู้นำของหมู่บ้าน)
" แต่ดูเหมือนมันจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นะครับ "
(งั้นรอกูแปป)
การกระทำของพวกเขาอยู่ในสายตาของอินทรทุกเสี้ยววินาที แม้จะหวาดระแวง ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาจะทำยังไงกับเขาต่อ หลังจบบทสนทนาทางโทรศัพท์นั้นแล้ว แต่ใครจะคิดว่าปลายสายต้องการจะสื่อสารกับเขา
กว่าอินทรจะหายงง ก็ต้องรอให้โทรศัพท์เครื่องร้อนนั้นถูกยื่นเข้ามาแนบกกหู พร้อมเสียงปลายสายแทรกขึ้นมาเสียก่อน จึงจะหลุดจากภวังค์
แน่นอน เขาอึ้งหนักกว่าเก่า เมื่อรู้ว่าปลายสายนั้นพูดภาษาไทย
(เธอชื่ออะไรจ๊ะ)
" ห๊ะ..."
(บอกชื่อมาเถอะจ้ะ เพราะฉันเป็นคนเดียวที่สามารถคุยกับเธอได้)
" อะ อินทร "
(โอเคอินทร รบกวนช่วยนำทางพวกเขาไปหาผู้นำของเธอที)
" หาผู้นำ? "
(ใช่ ที่นั่นเขาเชื่อฟังใครกันล่ะ)
" ผะ ผู้ใหญ่ "
(นั่นล่ะจ๊ะ ที่พวกเขาต้องการเจอ เธอก็แค่นำทางพวกเขาไป แล้วจะไม่เจ็บตัว)
" คุณเป็นใคร ทำไมพูดไทยได้ "
(ไม่ต้องรู้หรอก รู้ไปเดี๋ยวก็ลืม เอาเป็นว่าเธอทำตามนั้น แล้วเธอจะรอด ขอเตือนนะ ทำตามเถอะจ้ะ แล้วจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ)