“พวกแก....ใช่น้องคนนั้นป้ะ”
“ใช่อะไรวะ”
“คนที่เขาพูดกันว่าบ้านล้มละลายไง พ่อยังไปโกงคนอื่นเยอะแยะ หนี้ท่วมหัวแล้วฆ่าตัวตายไง”
“ใช่ ๆ คนนี้แหละ”
“เบาหน่อยพวกแก เดี๋ยวเขาได้ยินหรอก”
“ได้ยินแล้วจะยังไงอะ ก็แค่ลูกคนขี้โกง ทีทำความเดือดร้อนให้คนอื่นยังไม่เห็นจะอายเลย”
นั่นสิ ทำไมฉันต้องอาย ผู้หญิงอย่างฉัน ที่รัก ศิร์กานต์ ฐิติวัสส์ ไม่ได้เป็นคนทำผิดคิดชั่วกับใคร ทำไมต้องสนใจเสียงนกเสียงกา คนพวกนี้ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบาง สักแต่พูดตามเรื่องซุบซิบนินทา
“แก...จัดสักหน่อยมั้ย”
“ช่างมันเถอะแก พ่อฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น ทำไมฉันต้องอาย”
ฉันดึงแขนเพื่อนที่ทำท่าจะเข้าไปเอาเรื่องพวกนั้น เชิดหน้าเดินผ่านกลุ่มคนเหล่านั้นไปหาโต๊ะนั่งราวกับไม่ได้ยินเรื่องอะไร ซึ่งตลอดสองอาทิตย์มานี้ เรื่องของฉันกลายเป็นเรื่องเมาท์สุดฮิตของคนในมหา’ลัยตั้งแต่มีข่าวเรื่องพ่อของฉันล้มละลายแถมยังโกงใครต่อใครนับไม่ถ้วน
พ่อของฉัน หรือที่ใคร ๆ ต่างรู้จักดีในชื่อนายสรนันท์จากกลุ่มสรนันท์กรุป คือชายที่ประสบความสำเร็จในการบริหารธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย ได้รางวัลมากมาย ที่คฤหาสน์ต้องมีห้องเก็บใบประกาศนียบัตรและถ้วยรางวัลต่าง ๆ โดยเฉพาะ ใครจะคาดคิดล่ะว่า วันหนึ่งกลับต้องเป็นบุคคลล้มละลาย หนี้ท่วมหัว ญาติพี่น้องเมินหน้าหนี สาเหตุแท้จริงมาจากการคดโกงกันเองในบริษัท พ่อซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง พ่อถึงกับช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้หัวใจวายเฉียบพลัน เมื่อไม่มีพ่อ เจ้าหนี้ต่างรุมทึ้งเธอกับแม่ ทรัพย์สินประดามีจึงถูกขายเพื่อใช้หนี้จนแทบหมดตัว
เพราะแบบนั้น ฉันที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกสาวจึงต้องรับข้อครหามาด้วย เพื่อนร่วมห้องต่างพากันตีตัวออกห่าง ไม่อยากคบไม่อยากเสวนา เดินไปทางไหนในมหา’ลัยมีแต่คนนินทา
ในความโชคไม่ดี ฉันยังมี แสนดี หรือ อนุรดี ที่เป็นเพื่อนแท้ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนม.ต้น กระทั่งตอนนี้เรียนมหา’ลัยปี 1 คณะบริหารธุรกิจของมหา’ลัย A เพื่อนคนนี้ก็ยังอยู่เคียงข้าง หลายครั้งที่เพื่อนเสนอความช่วยเหลือให้ ฉันเองที่ปฏิเสธ เพราะเพื่อนเป็นแค่นักศึกษาตัวเล็ก ๆ ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยมากเข้าขั้นมหาเศรษฐีแม้จะมีธุรกิจหลายอย่าง นั่นก็เงินของพ่อแม่ไม่ใช่ของเพื่อน ปัญหาหลายอย่างฉันไม่ได้เล่าให้เพื่อนรู้ด้วย
นอกจากแสนดีแล้ว ยังมีเพื่อนรุ่นพี่อีกสองสามคนที่หยิบยื่นไมตรีและความช่วยเหลือให้
“นั่งตรงนี้แหละแก” ฉันดึงแขนเพื่อนรักให้นั่งตรงที่ว่าง โดยไม่สนใจว่าโต๊ะดังกล่าวอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มองฉันเป็นตาเดียว โรงอาหารแห่งนี้เป็นโรงอาหารกลางของมหา’ลัย ช่วงพักเที่ยงคนเลยเยอะมาก ฉันจึงตกเป็นเป้าสายตาของคนกลุ่มใหญ่ ถ้าไม่เพราะมีเรียนตึกรวม ฉันคงไม่มาเหยียบที่นี่แน่ แค่เป็นตัวประหลาดในคณะก็น่าเบื่อพอแล้ว
“ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา ทำยังกับไม่เคยเห็นคนไปได้” เป็นแสนดีที่บ่นอย่างไม่ชอบใจ
“ช่างเถอะน่า”
“มันน่าหงุดหงิดแทนแกนี่นา”
นึกขำเพื่อนรักที่ตวัดมองไปรอบ ๆ ตาขวาง ๆ
“กินข้าวเถอะ อย่าใส่ใจเลย”
“โอ๊ย! แม่พระจริงเพื่อนฉัน”
“แม่พระเพลิงสิไม่ว่า แค่ตอนนี้ฉันหิวมากเลยไม่อยากเผาใครเล่น”
พวกนั้นทำได้ก็แค่มองแล้วซุบซิบนินทาแค่นั้นเอง ฉันยักไหล่บอกความไม่ยี่หระ ใครอยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เมื่อยปากเมื่อไหร่ก็เลิกไปเองนั่นแหละ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉันแยกไปห้องน้ำ ส่วนแสนดีวิ่งไปซื้อน้ำรอ ด้วยว่าคลาสเช้าอาจารย์ปล่อยช้า เหลือเวลากินข้าวเที่ยงไม่มาก กินอิ่มก็ใกล้ได้เวลาเรียนคลาสบ่าย
“นึกว่าใครที่แท้ก็คุณหนูตกยากนี่เอง”
ขณะกำลังล้างมือ เจ้ากรรมนายเวรที่ฉันไม่อยากเจอโผล่หน้าเข้ามาในห้องน้ำ
“อุ๊ย! นี่รึเปล่าเกดที่เขาพูดกันว่านางฟ้าตกสวรรค์น่ะแก”
คนพูดเสริมหัวเราะคิกคัก พลอยให้เพื่อนในกลุ่มหัวเราะไปด้วย
ฉันไม่ได้สนใจมองหน้า เกด หรือชื่อเต็มก็คือ อัญชเกศ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของลุงฉันเอง มองเพียงมือที่กำลังล้างทำความสะอาดของตนเองเท่านั้น
ฉันกับเกดเราเป็นญาติกัน แม่เธอเป็นพี่สาวของพ่อฉัน แต่เลิกรากับสามีไปหลายปี ตอนเกิดเรื่องป้าก็เป็นคนแรกที่ตัดความสัมพันธ์กับพ่อ
“ทำเป็นนิ่งทำไมล่ะ ลืมเวลาระริกระรี้อยากได้พ่อฉันตัวซีดตัวสั่นทั้งแม่ทั้งลูกไปแล้วเหรอ”
“ใครไปอยากได้พ่อเธอ” ฉันตวัดสายแข็งกร้าวจิกมองคนหาเรื่องที่กำลังยิ้มเยาะ ว่าฉันฉันทนได้ แต่ว่าแม่ฉัน ฉันไม่ทน
“ไม่อยากได้ก็พากันไสหัวออกมาจากบ้านพ่อฉันสิ พูดแล้วก็นะ ถามหน่อย แกหรือแม่แกที่เอาตัวประเคนให้พ่อฉันจนพ่อยกบ้านให้อยู่หลังนึงน่ะ หรือว่าทั้งแม่ทั้งลูก”
คำพูดดูแคลนทำฉันควันออกหู
“แกกำลังดูถูกพ่อแกอยู่นะ หรือที่แหกปากปาว ๆ เนี่ย กลัวพ่อแกจะยกสมบัติให้ฉันแทนแกงั้นเหรอเกด”
“อีนี่” เกดตาลุกวาว ปรี่เข้ามาจะผลักอก ฉันตั้งหลักอยู่แล้วจึงเป็นฝ่ายผลักเธอเต็มแรงจนเซแซด ดีที่เพื่อนของเธอรับตัวไว้ไม่อย่างนั้นคงได้ล้ม
“อี!”
“หุบปาก! การที่ฉันไม่ถือสาหาความกับเธอเป็นเพราะเห็นแก่ลุงสิทธิ์หรอกนะ แต่ไม่ใช่ฉันจะยอมให้เธอมารังแกกันง่าย ๆ จำไว้”