เสียงเครื่องยนต์ลดกำลังลงเมื่อเครื่องบินเริ่มแลนดิ้งที่สนามบินแพร่ ทุกคนในกลุ่มดูตื่นเต้น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและแววตาคาดหวังถึงการผจญภัยที่กำลังจะเริ่มขึ้น เสียงพูดคุยเฮฮาในกลุ่มดังขึ้นไม่ขาดสาย แต่มีเพียงน้ำหวานที่นั่งเงียบๆ ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง มองภาพทิวเขาและป่าไม้สีเขียวที่ค่อยๆ ปรากฏให้เห็น
จ๋ายขยับตัวเข้ามาใกล้ หัวเล็กๆ ของเขาซบลงบนไหล่ของน้ำหวาน ก่อนจะยกแขนขึ้นมากอดเอวของเธอไว้หลวมๆ
"เจ่เจ๊ โอเคนะ?" เสียงของจ๋ายเบาแต่เต็มไปด้วยความห่วงใย น้ำหวานหันมามองน้องชายตัวเล็กของเธอ ดวงตาของเธอฉายแววอ่อนโยน
เธอยิ้มบางๆ ขณะมองเขา จ๋าย…น้องชายคนพิเศษที่ไม่ใช่แค่เพื่อน แต่เป็นคนที่ดึงเธอเข้าสู่โลกของการเขียนนิยายในวันที่เธอแทบจะหมดศรัทธาในตัวเอง
"โอเคสิ" น้ำหวานตอบ น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย น้ำตาใสๆ เอ่อขึ้นในดวงตา เธอรีบปาดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว แต่จ๋ายที่ซบอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง
"เจ่เจ๊..." จ๋ายเรียกเบาๆ ดวงตากลมโตของเขาสบกับเธออย่างตั้งใจ เขามองพี่สาววัย 41 ปีที่หน้าตายังกะเด็กสาวอายุ 27-28 ราวกับว่าเธอไม่เคยถูกกาลเวลาทำร้าย
น้ำหวานยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะลูบมือนุ่มๆ ที่โอบรอบเอวเธอเบาๆ "โอเคจริงๆ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า"
จ๋ายยิ้มกว้างออกมา ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นของเครื่องบินที่กำลังจะลงจอด น้ำหวานสัมผัสได้ถึงพลังบวกที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจของเธอ
………………………………………
ที่สนามบินแพร่ รถตู้สีดำจอดรออยู่พร้อมเสียงเพลงลูกทุ่งเปิดคลอเบาๆ เจ้าของรถคือ "พี่มั่น" ผู้ชายวัยสามสิบกลางๆ ใบหน้าคมเข้ม ดูเท่ในแบบหนุ่มบ้านนา แต่รอยยิ้มขี้เล่นนั้นเผยความเจ้าชู้ในตัวเต็มเปี่ยม
"เฮ้ยยย น้องจ๋าย!" มั่นโผล่หัวออกมาจากหน้าต่างรถ ทักทายด้วยเสียงดังลั่น
"พี่มั่น!" จ๋ายโบกมือกลับพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะรีบพาทุกคนขึ้นรถ
ระหว่างทางไปแคมป์ปิ้งเปิดใหม่บนเขา พี่มั่นเป็นคนขับนำทาง ทว่าเส้นทางกลับไม่ง่ายนัก ถนนลูกรังขรุขระทำให้รถโยกไปมาจนทุกคนในรถต้องจับราวแน่น
"โอ๊ย! พี่มั่น นี่พาพวกฉันมาฆ่าหมกป่ารึไง ทำไมนานแบบนี้" จ๋ายโวยวายเสียงแหลมจนทุกคนอดหัวเราะไม่ได้
"โธ่ จ๋าย อย่าขี้วีนหน่อยเลยน่า ใกล้ถึงแล้ว" มั่นหันมายิ้มล้อเลียน ก่อนจะส่งสายตาแพรวพราวให้
“แต่ว่า...วีนยังไงก็ยังน่ารักอยู่ดี" มั่นหยอดเสียงอ้อนๆ ทำให้จ๋ายถึงกับเบ้หน้า
"พี่มั่น...ฉันไม่ตลกนะ” จ๋ายตวาดเบาๆ แต่แก้มกลับแดงนิดๆ
เสียงหวีดแหลมดังขึ้นจากเบาะหลัง ทั้งเกด มีนา และชุนต่างหัวเราะกรี๊ดกร๊าด ทำหน้าราวกับจะอ้วกเพราะความหวานเลี่ยนของมั่นที่เต๊าะจ๋ายแบบไม่มียั้ง
"อุ๊ย พี่มั่น....เลิกจีบจ๋ายสักทีเถอะ มันหลายปีแล้วนะ จะรุกก็ให้มันจริงจังกว่านี้ได้มั้ย หรือจะเต๊าะเล่นแค่คำพูดไปวันๆ" เกดแซวเข้าเต็มแรง
"เฮ้ย...พี่จริงใจนะเว้ย!" มั่นหันมาบอก แต่แววตาขี้เล่นนั้นก็ยังไม่เปลี่ยน
"จริงใจแต่ปากใช่มั้ยพี่...” จ๋ายพูดพลางทำหน้างอน ก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
เสียงหัวเราะในรถดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนในกลุ่มสนุกสนานกับการแซวเล่นกันไปมา แม้ถนนจะขรุขระ แต่บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ
หลังจากรถโยกไปตามถนนลูกรังขรุขระ พี่มั่นก็พารถตู้คู่ใจเลี้ยวเข้าสู่ทางเรียบ เมื่อขับขึ้นมาบนยอดเขา ทุกคนในรถถึงกับเงียบกริบ ดวงตาเบิกกว้างตะลึงกับภาพตรงหน้า
เบื้องหน้าคือ ลานกว้าง ขนาดใหญ่ที่เปิดรับสายลมหนาวและแสงแดดอ่อนในช่วงสาย สนามหญ้าสีเขียวสดชื่นแผ่กระจายทั่วบริเวณ มีโต๊ะเก้าอี้ไม้ตั้งเรียงราย ใกล้กันนั้นเป็นลานดนตรีที่ถูกออกแบบให้เหมือนเวทีเปิดโล่งสำหรับนักร้องและนักดนตรีมาแสดงสด รอบๆ ลานเป็นบ้านพักหลังเล็กเรียงรายที่ออกแบบมาอย่างเรียบง่าย แต่มีเสน่ห์ ทุกหลังมีหน้าต่างและระเบียงเปิดโล่งที่สามารถมองเห็นวิวภูเขาและสายหมอกที่ลอยต่ำเหมือนอยู่ตรงหน้า
"ว้าว!" จ๋ายร้องออกมาเป็นคนแรก ก่อนจะหันไปมองพี่มั่น "พี่มั่น...ที่นี่สวยมาก"
มั่นยิ้มกว้าง ก่อนจะกวักมือเรียกคนงานที่อยู่ใกล้ๆ "ไอ้เปี๊ยก! มาช่วยพี่ขนกระเป๋าหน่อยเร็ว!"
คนงานสองสามคนวิ่งมาที่รถ พวกเขาช่วยขนกระเป๋าลงจากกระบะอย่างคล่องแคล่ว พร้อมทั้งยื่นกุญแจบ้านพักให้กับกลุ่มนักเขียน
"บ้านพักแต่ละหลังมีระเบียงที่เห็นวิวภูเขาเต็มๆ เลยนะครับ หมอกนี่ลอยมาตอนเช้าเหมือนจับต้องได้เลย" คนงานพูดพร้อมรอยยิ้ม
"จริงเหรอ? ฉันต้องถ่ายรูปไปลงโซเชียลให้ได้" มีนารีบคว้ากล้องออกมาจากกระเป๋า พยายามจะเก็บภาพวิวรอบตัว
น้ำหวานก้าวลงจากรถ เธอมองไปรอบๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นอากาศบริสุทธิ์ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด ทิวเขาเรียงรายที่ล้อมรอบลานกว้างราวกับโลกอีกใบ ทำให้เธอลืมความวุ่นวายในชีวิตไปชั่วครู่
"เจ่เจ๊" จ๋ายเรียกน้ำหวาน ก่อนจะชี้ไปที่บ้านพักหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป "บ้านนั้นวิวดีที่สุด พี่มั่นบอกว่าเก็บไว้ให้เจ๊โดยเฉพาะ"
น้ำหวานหัวเราะเบาๆ "จริงเหรอ? หรือแกแค่พูดเอาใจฉันอีกล่ะ"
"เอ้า! พี่มั่น!....ช่วยยืนยันหน่อยสิ" จ๋ายหันไปเรียกพี่มั่นที่กำลังยืนพิงรถ ดูเหมือนพอใจที่เห็นทุกคนประทับใจกับสถานที่
"ใช่ครับ...เจ๊ของจ๋ายต้องได้บ้านวิวดีที่สุดอยู่แล้ว" มั่นพูดพลางหัวเราะ ก่อนจะหยอดอีกประโยค "ไม่งั้นน้องชายพี่คนนี้จะวีนแตกแน่"
จ๋ายยู่หน้า "พี่มั่น ฉันไม่ใช่คนขี้วีนขนาดนั้นนะ"
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนเริ่มกระจายตัวไปสำรวจบ้านพักของตัวเอง และแน่นอน นักเขียนอย่างพวกเขาไม่มีทางทิ้งงาน แม้กระเป๋าเสื้อผ้าจะลงจากรถแล้ว แต่กระเป๋าคอมพิวเตอร์และสมุดบันทึกก็ยังถูกหอบติดตัวไปด้วย
"นี่มันแคมป์ปิ้งหรือแคมป์ทำงานกันแน่?" เกดแซวขณะเดินถือกระเป๋าเข้าบ้านพัก "แต่เอาเถอะ ถ้าหมอกสวยแบบนี้ ฉันเขียนฉากนิยายได้เพียบเลย"
ขณะที่ทุกคนกำลังแยกย้ายไปสำรวจบ้านพัก เกดยืนยิ้มมองรอบๆ ก่อนจะหันไปมองชุนที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่ข้างรถ เธออดไม่ได้ที่จะปล่อยคำแซว
"พี่ชุนคะ~ หวังว่าที่นี่จะไม่ได้เป็นฉากฆาตกรรมในหนังสือพี่นะ ไม่งั้นพวกเราอาจจะต้องกลายเป็นตัวละครในพล็อตพี่ก็ได้" เกดพูดพลางหัวเราะคิกคัก
เสียงหัวเราะดังครืนจากจ๋ายและมีนา พร้อมคำแซวเสริม
"จริง...พี่ชุนอย่าพาเราไปเจออะไรน่ากลัวๆ นะ เรามาเที่ยว ไม่ได้มาเป็นเหยื่อฆาตกรรม” มีนาเสริม ขณะที่พยายามยกกระเป๋าเป้ขึ้นหลัง
ชุนที่กำลังง่วนกับการหยิบสมุดบันทึกเล่มโปรดจากกระเป๋า หันมามองเกดพร้อมขยับแว่นเล็กน้อย ใบหน้าเขาเรียบเฉย แต่แววตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
"แหม ยัยเกด" ชุนเริ่มต้น ก่อนจะยิ้มมุมปาก "ก็หวังว่าที่นี่จะไม่มีนักผจญภัยโบยบินแบบเวอร์ๆ อยู่ในหนังสือเธอนะ ไม่งั้นเราอาจจะได้เห็นมังกรบินผ่านหลังคาบ้านพักกันก็ได้"
ทุกคนหัวเราะหนักขึ้นไปอีก ขณะที่เกดยู่หน้ามองชุน "โอ๊ย! คนเขียนแฟนตาซีผิดตรงไหนยะ! อย่างน้อยก็ไม่น่ากลัวเหมือนพี่ล่ะกัน!"
"พอๆๆ" น้ำหวานพูดขึ้นมาห้ามศึกเล่นๆ นี้ด้วยรอยยิ้ม "รีบเอากระเป๋าเข้าบ้านพักเถอะค่ะทุกคน เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน"
"โอเคๆ แยกกันได้แล้ว....” จ๋ายตะโกนก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินตัวปลิวไปบ้านพักของตัวเอง
เสียงพูดคุยและหัวเราะดังเบาๆ ไปทั่วบริเวณ ขณะที่ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันตามบ้านพัก บรรยากาศของสถานที่เงียบสงบนี้ถูกเติมเต็มด้วยมิตรภาพและความสนุกสนานของกลุ่มนักเขียน ที่ดูเหมือนจะพร้อมสำหรับการผจญภัยทั้งในชีวิตจริงและในจินตนาการ
………………………………
น้ำหวานที่กำลังเดินตามหลังพนักงานไปอีกฝั่งก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อยกับคำพูดที่ว่า "วิวดีที่สุด"
แต่ทันทีที่น้ำหวานผลักประตูไม้เข้าไป ภาพที่เห็นกลับทำให้เธอหยุดนิ่ง
บ้านพักไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเปิดโล่งออกไปสู่ทิวเขาที่เรียงซ้อนกันราวกับระลอกคลื่นที่ไม่มีที่สิ้นสุด แสงแดดอ่อนยามสายสาดลงมากระทบกับหมอกจางๆ ที่ลอยเอื่อยอยู่ตรงหน้า ด้านนอกมีชานระเบียงกว้าง พร้อมแปลที่ผูกไว้อย่างมั่นคง น้ำหวานจินตนาการถึงตัวเองที่นั่งแกว่งขาอยู่ตรงนั้น พร้อมกับอ่านหนังสือเล่มโปรด
ภายในห้องตกแต่งแบบโมเดิร์นที่ตัดกับตัวบ้านไม้ได้อย่างลงตัว เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นดูเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความใส่ใจในการจัดวาง ผนังด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่ที่เปิดรับวิวทิวเขาอย่างเต็มตา
ขณะที่เธอกำลังสำรวจ พนักงานที่ช่วยขนสัมภาระเดินเข้ามาวางกระเป๋าและพูดขึ้น "ฝั่งนี้มีแค่หลังนี้กับอีกหลังที่อยู่ใกล้ๆ กันครับ คุณมั่นไม่ค่อยเปิดสองหลังนี้ให้ใครพักเท่าไหร่ครับ นี่น่าจะเป็นครั้งที่สอง"
น้ำหวานยิ้มบางๆ หันมามองพนักงานก่อนจะตอบเบาๆ "เหรอคะ ขอบคุณนะคะ" พร้อมหยิบเงินทิปส่งให้
พนักงานรับไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินออกไป น้ำหวานหันกลับมามองรอบๆ ห้องอีกครั้ง รู้สึกถึงความสงบที่แทรกซึมเข้ามาในใจ เธอวางกระเป๋าลงอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆ อย่างสบายใจ
"อื้มม...สบายจัง" เธอพึมพำพลางหลับตา ปล่อยให้บรรยากาศเงียบสงบของที่นี่โอบล้อมตัวเธอไว้
เสียงลมพัดแผ่วเบาผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้ หอบเอาความเย็นและกลิ่นธรรมชาติบริสุทธิ์เข้ามาในห้อง