“ชมพูยังไม่กลับอีกเหรอ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งถามมาจากด้านหลังในช่วงเวลาห้าโมงเย็นที่ปกติฉันควรกลับจากโรงเรียนแล้ว ฉันหันกลับไปมองถึงเห็นว่าเป็นคริส เขาเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน แต่เราเคยรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่จำความได้ เพราะพ่อของคริสเป็นเพื่อนสนิทกับคุณตาฉัน แต่เราสองคนเพิ่งจะได้เรียนโรงเรียนเดียวกันตอนเข้ามอหนึ่งนี่แหละ
“รอแม่มารับน่ะ” เห็นว่าเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ฉันเมินไปทางอื่น แม้ว่าความจริงคริสอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ฉันเองที่คิดว่าเขาน่าจะจำได้ว่าฉันเป็นเด็กที่ถูกแม่ทิ้งไว้ให้ตากับยายเลี้ยงตั้งแต่แบเบาะ จำความได้ฉันก็อยู่บ้านตากับยายที่โคราช พ่อกับแม่เข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ แม้ว่าตากับยายจะเป็นคนมีอันจะกิน แต่แม่ก็อยากออกมาทำงานข้างนอก ฉันเลยไม่สนิทกับพ่อแม่นัก ไม่ได้ผูกพัน ยิ่งตอนหลังที่ทั้งคู่แยกทางกันตอนฉันหกขวบ และก็มีครอบครัวใหม่ ความสัมพันธ์ของฉันกับพ่อแม่ก็ยิ่งเหมือนคนอื่นเข้าไปทุกที สำหรับฉัน ตากับยายต่างหากคือพ่อแม่
ตอนเด็กๆ แม่กับพ่อจะกลับโคราชสักเดือนละครั้งสองครั้ง หรือนานกว่านั้น ช่วงปิดเทอมฉันก็ลงกรุงเทพฯ ไปอยู่กับพวกเขาสักสัปดาห์ แต่พอขึ้นประถมฉันก็บอกตาว่าไม่อยากไปแล้ว ยิ่งพอพวกเขามีครอบครัวใหม่ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของฉัน ก็ไม่ได้อยากยอมรับหรอกว่าการเป็นเด็กที่ครอบครัวแตกแยกและถูกทิ้งไว้ให้คนอื่นเลี้ยงจะทำให้รู้สึกเป็นปม เพราะตากับยายรักฉันมาก
“แล้วแม่มารับกี่โมง”
“สี่โมงครึ่ง” นั่นคือเวลานัดที่ล่วงเลยมาครึ่งชั่วโมงแล้ว
“ไม่ลองโทรหา” คริสถาม ก่อนจะนั่งลงที่ม้าหินอ่อนอีกตัว
“อืม” ฉันกดโทรศัพท์หาแม่
“ชมพูเหรอลูก ตายจริง แม่ยังไม่ออกจากกรุงเทพฯ เลย พอดีตอนไปรับชาร์ลที่โรงเรียนเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย แม่เลยพาน้องมาโรงพยาบาลก่อน” สิ่งที่ได้ยินทำให้ทั้งมึน ทั้งโมโหและคับข้องใจ ฉันไม่ได้อยากคาดหวังอะไรกับแม่หรอก แต่ไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกลืมบ่อยๆ ซ้ำซาก เมื่อวานแม่บอกจะไปรับชาร์ลตั้งแต่บ่ายโมงแล้วกลับโคราชเลย นี่จนถึงห้าโมงเย็นไม่คิดจะโทรบอกฉันสักนิด
“ชมพูให้ตามารับก่อนนะ แม่คงถึงบ้านดึกๆ”
“หนูว่าแม่ไม่ต้องรีบมาหรอก มาพรุ่งนี้ หรือไม่ต้องมาเลยก็ได้”
“นี่ ชมประชดแม่ แม่ก็บอกแล้วไงว่าน้องเกิดอุบัติเหตุ” แม่กำลังตำหนิฉัน แบบนี้แหละที่ฉันคุ้นเคยตั้งแต่เด็กๆ ฉันรู้ว่าตัวเองนิสัยไม่ดี เอาแต่ใจ ขี้ประชดประชัน แต่ก็ไม่ควรทำเสียงไม่พอใจใส่ฉันในสถานการณ์แบบนี้ไหมล่ะ
“หนูพูดผิดตรงไหน ก็แม่บอกเองว่าชาร์ลเกิดอุบัติเหตุ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบมาไงคะ รอให้ชาร์ลหายดีจะชาตินี้ชาติหน้าค่อยมาก็ไม่สายหรอก” ความสัมพันธ์ของฉันกับแม่ไม่ค่อยลงรอยนัก ตาบอกว่านิสัยฉันก็เหมือนแม่นั่นแหละ ไม่ชอบยอมใคร
“ตกลงจะไม่ให้แม่กลับใช่ไหม”
“แม่ก็ไม่ได้อยากกลับอยู่แล้ว แค่นี้นะคะ จะให้ตามารับ มืดแล้ว” ด้วยความที่เมฆฝนตั้งเค้าตลอดทั้งวันเลยทำให้มืดไวกว่าปกติ ฉันวางสายและถอนหายใจ พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ขับไล่มวลความรู้สึกที่ตีขึ้นมาจุกที่คอจนร้อนขอบตาให้สงบลง
“ชม พ่อฉันมารับ กลับพร้อมกันไหม ดูเหมือนฝนจะตก” คริสถามในจังหวะที่ฉันเริ่มปรับอารมณ์ได้บ้าง ฉันมองหน้าเขา มองท้องฟ้าก็คิดว่าฝนคงจะตกในอีกไม่ช้า ให้โทรตามตาตอนนี้ก็น่าจะติดฝนพอดี และขณะที่กำลังตัดสินใจ คุณพ่อของคริสก็ลดกระจกลง ทักทายฉัน
“หนูชม ยังไม่กลับเหรอ ตาช้อยยังไม่มารับเหรอ”
“ยังค่ะคุณตา”
“แล้วตาช้อยจะมารับตอนไหน นี่ค่ำแล้ว ฝนจะตกด้วย”
“หนูยังไม่ได้โทรบอกเลยค่ะ”
“อ้าว กลับพร้อมคริสไหม เดี๋ยวตาไปส่ง” คุณพ่อของคริสเสนอแบบเดียวกันกับคริสเลย ฉันหันไปมองเขาอีกฝ่ายก็พยักหน้าให้ฉันกลับพร้อมกัน ก็เลยเดินขึ้นรถไปทั้งคู่
“ขอบคุณมากนะคะ เดี๋ยวหนูโทรให้ตามารับที่บ้านคุณตาดีกว่า” เพราะบ้านของคริสอยู่ใกล้โรงเรียนกว่าฉัน บ้านฉันจะอยู่นอกๆ หน่อย
“ไม่ลำบากหรอก ตาไปส่งแป๊บเดียว ว่าแต่ทำไมวันนี้ตาช้อยมารับค่ำล่ะลูก” คำถามนั้นสะกิดใจฉัน ต้องพยายามเอามันออกจากหัวให้ไวที่สุด
“ตอนแรกแม่บอกจะมารับค่ะ แต่พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย” ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าพ่อของคริสดูเงียบไปเหมือนกัน ก่อนที่แกจะชวนฉันคุยเปลี่ยนเรื่อง
“เป็นยังไงกันบ้างล่ะเราสองคน เข้ามอหนึ่งมาเดือนกว่าแล้ว”
“ก็ ไม่รู้ยังไงเหมือนกันค่ะตา ตอนนี้ที่รู้สึกก็คือการบ้านเยอะไปหน่อย” เยอะกว่าตอนเรียนประถมจริงๆ
“ออ อย่างนั้นเหรอ ไม่เห็นคริสทำการบ้านอะไรเลย” แกหันไปมองลูกชายตัวเองที่นั่งข้างคนขับ คริสไม่ได้เถียงพ่อ เขาทำเงียบๆ ไป
“เราสองคนเรียนห้องเดียวกันหรือเปล่า”
“ค่ะตา”
“ยังไงตาช่วยฝากดูแลตาคริสด้วยนะ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงานค้างอะไรก็ช่วยตาดูด้วย กลัวท้ายเทอมมาจะติด ร. มส. ให้วุ่น” คำขอของพ่อเขาทำให้ฉันแปลกใจ ไม่คิดว่าคริสจะเป็นเด็กเหลวไหลขนาดนั้น เขาดูเงียบๆ นิ่งๆ แต่จะว่าตามจริงฉันก็ไม่ค่อยได้สนใจใครเลยตั้งแต่เข้ามอหนึ่งมา กลุ่มเพื่อนก็ยังไม่มีกับเขา ไปกับกลุ่มนั้นกลุ่มนี้บ้างตามโอกาส หลายๆ ครั้งก็ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว สะดวกดี ไม่ต้องรอใครกว่าจะครบทีมถึงจะไปกันได้
“คริสน่ะเหรอคะ”
“อืม ตาก็บอกเขาตลอดว่าเรียนมัธยมไม่เหมือนประถมแล้ว ที่จะไม่เรียน ไม่ทำงานยังไงครูเขาก็ให้เลื่อนชั้นน่ะ” โอ คริสน่าจะอาการหนักทีเดียวถ้าฟังจากพ่อของเขาเล่า
“นอกจากเรื่องเรียนก็ช่วยให้เขาเพลาๆ เรื่องต่อยตีลงหน่อย ฝากหนูชมพูเป็นหูเป็นตาแทนตาด้วย” ฉันมองทั้งคู่สลับกัน โดยเฉพาะคริส แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวหน้าแต่ก็รู้สึกว่าเขาดูจะรำคาญพ่อตัวเองเต็มทนแล้วเหมือนกัน
“อ้อ อีกเรื่องก็เรื่องผู้หญิง ตาฝากช่วยสแกนให้หน่อย ให้มันเรียนให้จบมอหกก่อนอย่างน้อย ตาไม่ยังไม่อยากอุ้มหลาน”
“ฮะ” อย่างหลังนี้ฉันยิ่งงงหนัก นี่คริสไวไฟขนาดนั้นเลย เพิ่งมอหนึ่งเอง
“เฮ้อ ช่วยตาดูอีกทีนะชมพู มีอะไรรายงานตาได้เลย” พ่อของคริสดูผ่อนคลายขณะเล่าวีรกรรมลูกชาย จนฉันไม่มั่นใจว่าแกพูดจริงหรือพูดเล่น
“อ้าว ฝนตกเสียแล้ว ตกหนักด้วย ตาไม่ค่อยดีด้วยสิ” ซึ่งพ่อของคริสก็โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อจดจ้องถนนหนทางฝ่าสายฝนที่แน่นหนา ดูลำบากจริงๆ
“เอาอย่างนี้ แวะบ้านคริสก่อนดีไหมชมพู ให้ฝนซาก่อนเดี๋ยวตาไปส่งทีหลัง” ฉันก็ไม่ได้อยากรับเงื่อนไขนั้นเหรอก แต่ก็เกรงใจคุณพ่อของคริส
“ค่ะ เดี๋ยวหนูโทรบอกตา” เพิ่งนึกได้ตอนนี้แหละว่ายังไม่โทรบอกตากับยาย ฟังคุณพ่อคริสคุยเพลินไปหน่อย
“ฮัลโหล ตา หนูติดรถมากับคุณตาควง ฝนตกหนักมากว่าจะแวะที่บ้านคุณตาควงก่อน ตามารับหนูได้ไหม” ฉันโทรศัพท์หาตาช้อยของฉัน พอแกรับก็รีบอธิบายทันที
“อ้าว ทำไมไปกับไอ้ควงได้ล่ะลูก”
“แม่เพิ่งโทรบอกว่าไม่ได้มารับน่ะ ชาร์ลเกิดอุบัติเหตุที่โรงเรียนนิดหน่อย”
“อ้าว งั้นรึ แล้วน้องเป็นอะไรมากไหม”
“ไม่รู้ ไม่มากมั้ง เห็นว่าออกจากโรงพยาบาลก็จะพากันมาโคราชต่อ แต่ไม่รู้จะมาไหมนะเพราะหนูบอกไม่ต้องมาหรอก ดึกแล้ว” ปลายสายเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะจบประเด็นเรื่องแม่กับน้อง และมาถามเรื่องของฉันแทน
“อืม งั้นชมรออยู่บ้านตาควงนั่นแหละ เดี๋ยวตาจะไปรับ”
“อือ รอให้ฝนซาก่อนนะตา ขับรถอันตราย” ทั้งลมทั้งฝนเลยตอนนี้
“เออๆ เดี๋ยวตาโทรคุยกับไอ้ควง”
“ไม่ต้องโทรมาตอนนี้นะตา คุณตาควงขับรถอยู่”
“เอ้อ งั้นถ้าถึงบ้านไอ้ควงก็โทรบอกตาแล้วกัน”
“ค่ะ ถึงแล้วหนูโทรหา แค่นี้ก่อนนะตา” ฉันวางสาย ก่อนจะเพ่งความสนใจไปยังท้องถนนที่ปกคลุมด้วยสายฝน ช่วยคุณพ่อของคริสเพ่งสายตาเหมือนกับจะช่วยอะไรแกได้อย่างนั้นแหละ แต่ฝนตกหนักจริง มองทางลำบาก เลยรู้สึกลุ้นไปด้วย
แต่สุดท้ายฉันก็มาถึงบ้านคริสโดยสวัสดิภาพ รถจอดในโรงจอดรถที่เชื่อมกับตัวบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยแรงลมก็ทำให้เปียกหมาดๆ ได้เหมือนกันตอนที่พากันเดินจากโรงจอดรถมาหน้าบ้าน
“หนูชมพูกินข้าวกับคริสไหม รายนั้นเลิกเรียนกลับมาก็ต้องหาอะไรให้กินทุกวัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ” ฉันจะปฏิเสธอยู่แล้ว แต่ท้องดันร้องประจานเสียอย่างนั้น พ่อของคริสหัวเราะเบาๆ ขำปนเอ็นดู ส่วนคนหน้านิ่งแบบเขาก็เหมือนจะยิ้มมุมปากเล็กๆ ก่อนจะชวนฉันไปห้องครัว
“ไปหาอะไรกินในครัวเถอะ” เราสองคนแยกออกมาที่ห้องครัว ส่วนคุณพ่อเขาก็ขึ้นบ้าน คริสให้ฉันนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆ ส่วนตัวเองไปเปิดตู้กับข้าว หาของกิน
“วันนี้ป้ากรทำหมูทอดไว้ให้ แต่เย็นหน่อยเพราะกลับช้า แต่ก็น่าจะได้” เขาบอกก่อนจะถือจานหมูทอดที่ว่ามาไว้บนโต๊ะ ตักข้าวใส่จานสองจานเผื่อฉันด้วย แล้วก็ไปหาผลไม้กับขนมในตู้เย็นมาเสริม
“เอาอะไรอีกไหม ป้ากรทำไว้ให้อย่างเดียว กินรองท้องเท่านั้น ตอนเย็นฉันก็กินเป็นเพื่อนพ่ออีก” เขาอธิบาย ฉันมองหมูทอดในจานที่แม้จะดูเย็นชืดแต่ก็ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำย่อย กินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็น่าจะเข้ากัน
“ที่บ้านฉันป้าอ้อยก็ทำไว้แค่อย่างสองอย่างเหมือนกัน เน้นขนมมากกว่า เพราะตอนเย็นก็ต้องกินเป็นเพื่อนตา” หลังจากที่ยายเสียเมื่อสามปีก่อน ตาก็ดูเหงาๆ ฉันเลยพยายามที่จะกินข้าวเป็นเพื่อนตา มีกิจกรรมอะไรทำร่วมกันได้ก็ทำ ก็เหลือกันอยู่แค่สองคน คริสเองก็อยู่บ้านหลังนี้กับพ่อแค่สองคนเหมือนกัน คุณแม่ของเขาเสียตั้งแต่เด็กๆ ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ ก็แยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด
“อืม เหมือนกันเลยสิเราสองคน” คริสคงหมายถึงเรื่องอาหารนั่นแหละ แต่มันกลับสะกิดใจฉันอย่างไรไม่รู้ ต่างกันแค่คริสสูญเสียแม่ตั้งแต่เด็กๆ ส่วนฉันถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เด็กๆ เหมือนกัน