เสียงน่ารำคาญของโทรศัพท์มือถือที่ตั้งปลุกไว้ทำให้ฉันคว้ามันมาปิดด้วยความรำคาญ ผ่านไปสามนาทีมันก็ดังอีกรอบ เพราะตั้งซ้ำไว้ สุดท้ายต้องฝืนความง่วงดีดตัวลุกจากเตียง ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ วันนี้มีเรียนสิบโมงแท้ๆ แต่ต้องถ่างตาตื่นตอนหกโมงเช้าเพื่อปลุกหมอนั่น
ฉันรีบไปล้างหน้าแปรงฟันและออกจากห้อง หยิบคีย์การ์ดเปิดประตูห้องตรงข้ามที่อยู่เยื้องๆ ไปหนึ่งห้อง เมื่อคืนคริสน่าจะไปดื่มมาดึก เขาไม่ตื่นไปเรียนตอนแปดโมงแน่ๆ ปกติก็ไปเรียนยากอยู่แล้ว ฉันเปิดประตูเข้าห้องไป ในหัวเห็นเป็นภาพคนที่นอนหมดสภาพบนเตียงแต่สิ่งแรกที่เจอทำทุกอย่างหยุดชะงัก มึนเบลอ ไม่ทันรู้ตัวกับอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกข้างซ้าย ผู้หญิงที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าตัวน้อยที่แทบจะปิดอะไรไม่ได้มองฉันคล้ายประหลาดใจ
“เธอ เธอเข้ามาได้ยังไง”
ฉันรู้สึกสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ ที่ผ่านมาไม่เคยมาเจอช็อตเด็ดแบบนี้ อย่างมากก็แค่ได้ข่าวว่าเขาควงคนนั้นคนนี้ตั้งแต่สมัยมัธยม นี่ถ้ามาเจอเด็ดกว่านี้ฉันจะไม่หัวใจวายตายเหรอ...จะมากไปแล้วนะ คริสทำแบบนี้ได้ยังไง รู้ทั้งรู้ว่าฉันชอบถือวิสาสะเปิดประตูห้องเขาน่ะ ฉันเชิดคอขึ้นเล็กๆ หลังจากที่ตั้งสติได้
“มาปลุกเจ้าของห้องไปเรียน”
“หึ เป็นอะไรกับเขาล่ะ คนใช้เหรอถึงต้องมาปลุก” บ้าจริง ทำไมยายนี่ถึงได้พูดจาหาเรื่อง
“ไม่เกี่ยวกับเธอ ออกไปเถอะ”
“มีสิทธิ์อะไรมาไล่”
“ฉันไม่จำเป็นต้องมาอธิบายกับเธอ” ฉันยืนจ้องหน้าอีกฝ่าย ไล่ทางสายตา ตอนนี้ถ้าลากคอผู้หญิงคนนี้ออกจากห้องได้ก็จะทำ เธอมองฉันด้วยสายตาไม่พอใจปนไม่เข้าใจ
“ประสาท” ยายนั่นสบถอย่างไม่สบอารมณ์ แต่สุดท้ายก็ยอมออกจากห้องไป เดาว่าผู้หญิงคนนั้นคงตั้งใจจะกลับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดูจากการสะพายกระเป๋าเตรียมพร้อม ก็คงเป็นผู้หญิงที่คริสไปเจอแล้วถูกใจเลยควงกันมาต่อที่ห้อง เช้ามาก็แยกย้าย...แต่ถึงแบบนั้นก็เจ็บใจอยู่ดี ให้ตายฉันน่าจะมาช้ากว่านี้
ฉันมองบานประตูที่ถูกปิดอย่างเหม่อๆ คิดอะไรไม่ออกขึ้นมาชั่วขณะ พยายามสะบัดหัวแรงๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน คริสที่ไม่ใส่เสื้อนอนคว่ำหน้ากับเตียงในสภาพที่คุ้นตาเวลาฉันมาปลุก ผ้าห่มคลุมขึ้นมาถึงเอว แบบที่ฉันอดคิดต่อไม่ได้ว่าเขาจะใส่กางเกงนอนหรือบ็อกเซอร์อย่างเวลาปกติหรือไม่ใส่อะไร...คิดแล้วก็อดสังเกตแผ่นหลังขาวๆ นั้นไม่ได้ว่ามีร่องรอยอะไรบุบสลายหรือไม่...ก็เปล่า
ฉันถอนหายใจ อดเอามือฟาดไหล่เขาสองสามทีอย่างหมั่นไส้ไม่ได้ คิดว่าเขาคงตื่นแต่คริสแค่รู้สึกตัวและคว้าฉันลงไปนอนด้วย
“ว้าย” ฉันดันอกเขาไว้ด้วยความตกใจ แต่คริสกอดแน่น มุดหน้าออกมาก็เห็นว่าเขายังหลับตาอยู่...ไม่ตื่นอย่างนั้นเหรอ หัวใจฉันเต้นแรงกับความใกล้ชิดนี้เหมือนทุกครั้งที่เขาชอบดึงฉันไปกอด แต่มันก็เพียงแค่เสี้ยวนาทีก็คลายลง มีความรู้สึกหงอยๆ มากกว่าจะเป็นความเขินอาย ตื่นเต้น หรือรำคาญที่ถูกกอดอยู่แบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะคิดว่ากำลังกอดผู้หญิงหุ่นสะบึมคนเมื่อกี้อยู่หรือเปล่า
นอนนิ่งๆ ให้เขากอด ในใจห่อเหี่ยว คิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง เริ่มจะไม่ไหวแล้วเหมือนกันนะกับสถานะเพื่อนสนิทที่ฉันสถาปนาตัวเองขึ้นมาแบบที่คริสก็ไม่เคยยินดียินร้าย...ฉันควรเลิกสนใจเขาดีไหม
“อือ” ได้ยินเสียงในลำคอของเขาพร้อมอาการขยับตัวก็เผลอเงยหน้ามอง คริสก้มมองฉันอยู่ก่อนแล้ว
“เธอ ทำไมมาอยู่นี่” เขาถาม สายตาเขาดูเฉยชา
“มาปลุกนายไปเรียน”
“อื้อ หมายถึงที่ขึ้นมานอนบนเตียงนี่” แต่ถึงถามแบบนั้นคริสก็ยังไม่ปล่อยฉัน ใจเจ็บลึกๆ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเวลาฉันมาปลุกคริสก็ปลุกยากมากแล้วชอบคว้านู่นคว้านี่อยู่บ่อยๆ แต่จะว่าไปก็นานแล้วเหมือนกันนะที่เขาไม่ได้มีอาการมือไวแบบนี้ น่าจะสองสัปดาห์ที่เราตึงๆ ใส่กัน ตึงแบบไม่รู้สาเหตุ
“ก็ฉันปลุกแล้วนายดึงฉัน กอดหนึบแบบนี้แหละ คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่หิ้วมาเมื่อคืนสิ” ฉันเผลอกระแทกเสียง มันทั้งโมโหทั้งนอยด์ แต่อย่างหลังคงมีมากกว่า
“อืม นี่กี่โมงแล้ว”
“เจ็ดโมงมั้ง”
“ฉันมีเรียนกี่โมงนะ” ไม่รู้ว่าคริสเคยจำตารางเรียนตัวเองได้บ้างไหม
“แปดโมง”
“ไม่ไป” เขาบอกแล้วก็นอนต่อ แขนยังไม่ยกออกจากตัวฉัน มีออกแรงดึงอีกต่างหากตอนที่เขาหลับต่อได้สักพัก มันไม่แปลกหรอกที่เขาจะไม่อยากลุกไปเรียน ปกติฉันต้องทั้งบ่นทั้งลากให้เขารำคาญจนยอมตื่นไปเรียนจนได้ แต่ตอนนี้ฉันกลายเป็นหมดแรงจะทำอะไรขึ้นมาดื้อๆ
ฉันกับเขาเพิ่งมาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ได้สามเดือน เพิ่งผ่านมิดเทอมแรกมาได้ไม่นาน เราเรียนที่เดียวกันแต่คนละคณะ คริสเรียนวิศวะ ฉันเรียนบริหาร เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้ พ่อของเขาเป็นเพื่อนสนิทของคุณตาฉัน คริสน่าจะเป็นลูกหลงเขาห่างจากพี่สาวตั้งเกือบยี่สิบปี ตอนเด็กๆ ฉันจำไม่ได้ว่าสนใจเขามากแค่ไหน แต่เริ่มมาตัวติดเขาตอนเรียนมอต้นที่เพิ่งได้เรียนห้องเดียวกัน
ตอนนั้นฉันไม่ค่อยมีเพื่อน คุยกับใครก็ไม่รู้สึกอยากสนิทด้วย ก็เลยมองเห็นเขาคนที่อย่างน้อยก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ฉันพยายามตีเนียนสนิท อ้างว่าพ่อเขาฝากให้ดูแล เพราะคริสค่อนข้างเกเรมาตั้งแต่มอหนึ่งเลย ฉันจะบอกกับคนอื่นว่าเป็นเพื่อนสนิทเขา ส่วนคริสก็ไม่รู้ว่าเห็นฉันเป็นเพื่อนสนิทไหม...ก็คงเป็น แบบแปลกๆ ฉันรู้ว่าคริสจะไม่พอใจเวลาฉันวุ่นวายเรื่องเขามากๆ เขาทั้งแสดงออกให้เห็นทางสีหน้า คำพูด หรือหลบหนีไปเลย แต่ก็ยังคบกันมาเรื่อยๆ ก็เพราะพ่อของเขากับคุณตาฉันนั่นแหละส่วนหนึ่งที่ชอบบอกให้ช่วยดูแลกันมาตั้งแต่มัธยม บางครั้งก็รู้สึกเหมือนจะสนิท แต่บางครั้งก็ห่างไกล
คริสเป็นคนหล่อมาก ดูโตกว่าเด็กวัยเดียวกัน และน่าจะตั้งแต่มอหนึ่งอีกนั่นแหละที่ฉันเริ่มคิดว่าน่าจะชอบเขาเข้าแล้ว พอรู้ตัวว่าชอบก็ยิ่งทำตัวเป็นเพื่อนสนิทเขามากกว่าใคร และกันผู้หญิงทุกคนที่คิดจะเข้าหา...ก็พ่อเขาบอกเองว่าไม่อยากให้คริสใจแตกตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบห้าน่ะ ฉันก็ต้องคอยเป็นหูเป็นตา...แต่เขาก็มีนั่นแหละ มีผู้หญิงเข้าหามาตลอด
ตอนเป็นเด็กฉันไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาพลังมาจากไหนที่คอยตามกีดกันเรื่องผู้หญิงของเขา แต่ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่ามันเจ็บมากเข้าไปเรื่อยๆ เพราะฉันโตขึ้นจึงอ่อนไหวง่าย หรือเพราะรู้สึกกับเขามากไปกันแน่...มันเหนื่อยมากเลย
“ชมพู เธอจะตื่นไปเรียนไหม” เสียงทุ้มคุ้นหูปลุกให้ฉันรู้สึกตัว ตายแล้ว นี่ฉันหลับจริงจังขนาดไหนกัน จากตอนแรกว่าจะพักสายตาให้หายเหนื่อยเฉยๆ ฉันดีดตัวลุกขึ้นนั่ง หันมามองคนที่นอนข้างๆ ถามเขาอย่างคิดอะไรไม่ออกขึ้นมาชั่วขณะ
“กี่โมงแล้ว ฉันหลับไปนานไหม”
“อืม” เขาเอื้อมไปคว้ามือถือมาดูเวลาอย่างเอื่อยเฉื่อย
“เก้าโมงกว่า”
“ตายแน่” ฉันสลัดผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียงเขาเพื่อกลับห้องตัวเอง พอถึงห้องก็รีบเข้าไปอาบน้ำเพราะกลัวจะไปเรียนไม่ทันสิบโมง ฉันอาบน้ำให้ไวที่สุดในชีวิต พันผ้าขุนหนูออกมาจากห้องน้ำโดยไม่เสียเวลาเช็ดตัว รีบไปที่ตู้เสื้อผ้า และร่างที่เห็นผ่านหางตาก็ทำให้ชะงัก คริสก็หันมามองฉันเหมือนกัน ห้องของฉันไม่ได้มีห้องนอนแยกออกมา มีแค่ผนังที่กั้นเป็นสัดส่วน มันก็พอจะมองเห็นกันได้ทะลุปรุโปร่งในมุมนี้
“นายมาทำอะไรที่ห้องฉัน”
“หาอะไรกิน ที่ห้องไม่มีอะไรเลย” เขาบอกหน้าตาเฉย แล้วก็หันหลังให้ เทอาหารบางอย่างที่เขาทำใส่ถ้วยแล้วมานั่งกินที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆ ฉันถอนหายใจ เลิกสนใจเขา กลับมาแต่งตัวต่อ ในมุมนี้เขาน่าจะเห็นฉัน และคริสก็คงไม่สนใจจะมองหรอก
ฉันใช้เวลาแต่งตัวไม่ถึงสิบนาทีก็ออกมาจากห้องนอน คริสเงยหน้ามองฉันแล้วมองถ้วยไข่คนของตัวเอง
“เอาไหม เหลืออยู่นะ”
“ไม่ ฉันจะไปเรียน”
“เรียนกี่โมง”
“สิบโมง”
“เพิ่งเก้าโมงยี่สิบห้า” เขาบอกแล้วลุกไปตักไข่คนไส่ถ้วยมาวางไว้บนโต๊ะ
“ทำเหลือ เสียดาย” เขาบอกแล้วไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ และมันทำให้ฉันที่แม้จะรีบยอมนั่งลงกินไข่คนฝีมือเขา แม้จะรู้ว่าเขาแค่เสียดายของเหลือไม่ได้ตั้งใจทำให้ก็เถอะ
ฉันใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำในการจัดการไข่คนถ้วยนั้นจนหมด
“ขอบใจ ฉันไปเรียนแล้ว” ฉันลุก เขาก็ลุกตาม ฉันเพียงแค่เอะใจเล็กๆ แต่ก็เดินออกมาก่อน คริสเป็นคนปิดห้องและก็ยังเดินตามฉันมาถึงลิฟต์ เข้ามาอยู่ในลิฟต์ด้วยกันถึงได้ถามเขา
“จะไปไหนอะ”
“ไปมอ”
“ชุดนี้เนี่ยนะ” เขาไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษา ดูๆ แล้วน่าจะยังไม่อาบน้ำด้วย
“อืม” เขาตอบเพียงแค่นั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก และทำให้ฉันแปลกใจอีกหลายครั้งของวันนี้ คริสฉุดข้อมือแล้วพาเดินไปที่รถของเขาด้วยกัน คริสขับรถยนต์ไปเรียน ส่วนฉันตายังไม่ให้ขับเพราะอายุยังไม่เต็มสิบแปด ปกติก็อาศัยติดรถเขาไป หรือถ้าเวลาเรียนไม่ตรงกันก็ขึ้นรถไฟฟ้าซึ่งก็สะดวก
คริสเปิดรถและเดินอ้อมไปที่ฝั่งคนขับ เปิดประตูขึ้นไปนั่งก่อน ฉันก็รีบเปิดประตูขึ้นไปบนรถด้วยเลย ไม่ต้องรอให้เขาชวน เพราะไม่แน่ว่าหากชักช้าเขาอาจจะขับออกไปแล้วทิ้งฉันไว้คนเดียวก็ได้
คริสขับรถมาจอดที่หน้าคณะบริหาร ซึ่งก็บังเอิญว่าวิชาตอนเช้าเรียนที่นี่พอดี
“ขอบใจ เรียนที่คณะพอดี”
“อืม” เขาทำหน้าเนือยๆ แบบที่ฉันรู้สึกว่าคงอยากให้ฉันรีบๆ ลงจากรถเสียที ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะอยู่กวนเขาต่อ อีกอย่างก็ใกล้ขึ้นเรียนแล้วด้วย
ฉันยืนมองเก๋งสีดำที่ขับออกไปพลางคิดอะไรเพลินๆ ไม่อยากรู้สึกเลยว่าเขาใจดี...มันเป็นเวลาราวๆ สองสัปดาห์ที่อึดอัดและในความรู้สึกมันยาวนานกว่านั้น ความจริงตั้งแต่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ คริสช่วยฉันได้เยอะมาก ช่วงแรกๆ แทบจะมารับมาส่งทุกวัน แต่หลังๆ มาพอฉันเริ่มเดินทางเองได้ก็ไม่ค่อยไปส่ง...มันก็อาจจะปกติ แต่อะไรหลายๆ อย่างที่เจอในช่วงนี้ทำให้ฉันเองก็มีอารมณ์ไม่อยากรบกวนเขาขึ้นมา คริสก็ดูไม่สนใจฉันแล้ว และเราสองคนก็กลายเป็นห่าง แบบที่ฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่ามันโคตรทรมานเลยกับความรู้สึกในตอนนี้
ฉันมีกลุ่มเพื่อนของฉัน คริสก็มีของเขา เขาชอบเที่ยวกลางคืนกลับห้องดึก เวลาที่จะเจอเขาแต่มีแค่ช่วงเช้าที่ฉันไปปลุกนั่นแหละ และเราก็หายออกไปจากชีวิตของกันและกัน หรือฉันควรจะหาพลังงานอีกสักเฮือกกลับเข้าไปวุ่นวายในชีวิตเขาดี